มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1679
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมาจากปาก เหล่าราชาเทพช่วงปลายที่ไม่ชายตามองและดูหมิ่นเล็กน้อยในตอนแรก ต่างก็พากันเบิกตากว้าง สีหน้าดูตะลึงงัน
ภายในนี้ยังรวมไปถึงอัจฉริยะทั้งสองคนนั้นที่มาจากโลกาชั้นฟ้าด้วย พวกเขาต่างก็จ้องมองมาด้วยสายตาที่แปลกใจเช่นกัน
“ข้าคิดว่าทุกท่านน่าจะเข้าใจดีว่ากฎดั้งเดิมขั้น 5 นั้น โดยทั่วไปแล้วเป็นกฎที่ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งมกุฎเทพถึงจะสามารถยึดกุมได้ ยอดฝีมือราชาเทพช่วงปลายส่วนน้อยก็สามารถยึดกุมได้เช่นกัน และกฎปริภูมิก็เป็นหนึ่งในกฎชั้นยอดอีกด้วย เพราะฉะนั้นค่ายกลที่แฝงซ่อนอยู่ในผังค่ายชิ้นนี้ พลานุภาพของมันจึงมีเพียงจะแข็งแกร่งกว่าค่ายเทพระดับ 9”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลัวซิวก็ไม่ได้อธิบายต่อมากนัก เขาเชื่อว่าผู้คนที่อยู่ในงานต้องเข้าใจมูลค่าที่แท้จริงของผังค่ายชิ้นนี้แน่นอน
“ผังค่ายชิ้นนี้ ข้าต้องการแลกกับยาเซียนระดับ 8 หรือยาเซียนระดับ 9 ก็ได้เช่นกัน”หลัวซิวเอ่ยปากพูด
“เหอะ ๆ นึกไม่ถึงเลยว่าจะสามารถตามหาสมบัติเช่นนี้ในโลกามนุษย์ได้ด้วย ผังค่ายชิ้นนี้ของเจ้า ข้าขอรับไว้ล่ะ ข้าจะเอาต้นยาเซียนระดับ 8 แลกกับเจ้าหนึ่งร้อยต้น”ชายหนุ่มผู้มาจากโลกาชั้นฟ้าคนนั้นกล่าว
ทันทีที่เขากล่าวเช่นนี้ ผู้คนที่อยากเสนอราคาในตอนแรกก็ต่างขมวดคิ้วลงอย่างอดไม่ได้ เมื่อเปรียบเทียบกับผังค่ายระดับ 8 ที่มีกฎปริภูมิขั้น 5 ซ่อนแฝงอยู่ ราคาต้นยาเซียนระดับ 8 หนึ่งร้อยต้นมันต่ำเกินไปหรือเปล่า
ทว่าฐานะของคนดังกล่าวกลับมาจากโลกาชั้นฟ้า ซึ่งมีประวัติความเป็นมาที่ไม่ธรรมดามาก ๆ ทุกคนที่อยู่ในงานจึงไม่อยากเข้าไปรุกราน
โดยเฉพาะผู้ขายผังค่ายชิ้นนี้ ดูเหมือนกับว่าหมอนั่นจะเป็นเพียงราชาเทพขั้นปฐมภูมิคนหนึ่งเท่านั้น เช่นนั้นจึงยิ่งไม่มีความจำเป็นต้องไปรุกรานผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งเพราะผู้อ่อนแอคนหนึ่ง
บนใบหน้าของชายหนุ่มเปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้มที่ดูยโสโอหัง เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง โบกมือแล้วคว้าไปทางผังค่าย สำหรับเขาแล้ว นักยุทธ์ในโลกามนุษย์กระจอก ๆ ที่มีผลการฝึกตนราชาเทพขั้นปฐมภูมินั้น ก็เป็นได้เพียงมดตัวจ้อยที่ตนจะควบคุมอย่างไรก็ได้มิใช่หรือ?
มีความโกรธปรากฏขึ้นมาในแววตาหลัวซิว ทว่าเขายังไม่ได้ทำอะไร อิงบูเฉิงที่อยู่ข้าง ๆ กลับดึงแขนเขาเงียบ ๆ แล้วพูดกดเสียงต่ำ: “ผู้เพื่อนยุทธ์เย่ ความเป็นมาของคนดังกล่าวยิ่งใหญ่มาก เจ้าทนไปก่อนเถอะ”
ภายในเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น ชายหนุ่มนั่นก็เก็บผังค่ายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะโยนแหวนเก็บของวงหนึ่งมาเหมือนให้ทาน
หลัวซิวสำรวจดูสิ่งของที่อยู่ภายในแหวนเก็บของ มีต้นยาเซียนระดับ 8 หนึ่งร้อยต้นจริง ๆ ทว่าในจำนวนทั้งหมด ส่วนมากเป็นเพียงยาเซียนคุณภาพทั่วไป ซึ่งมีราคาไม่สูง
แม้จะเป็นยาเซียนระดับ 8 เหมือนกัน แต่ก็มีการแบ่งแยกระดับ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อกลั่นเม็ดยาเซียนระดับ 8 มีต้นยาเซียนบางอย่างที่สามารถนำมาเป็นยาหลักได้ แต่ต้นยาเซียนส่วนมากกลับเป็นได้เพียงวัตถุดิบยาที่ช่วยเสริมประกอบ ไม่สามารถนำมาเป็นยาหลักได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการกลั่นยาเซียนก็คือยาหลัก ส่วนยาเสริมประกอบนั้นสามารถใช้วัตถุดิบที่คล้ายคลึงกันมาทดแทนได้ ทว่ายาหลักกลับเป็นสิ่งที่ทดแทนง่าย ๆ ไม่ได้
และภายในแหวนเก็บของที่ฝ่ายตรงข้ามให้เขามานั้น ในจำนวนทั้งหนึ่งร้อยต้น มียาหลักเพียงสองสามต้นเท่านั้น เห็นได้ชัดเจนเลยว่าฝ่ายตรงข้ามมองว่าผลการฝึกตนของเขาต่ำ จึงจงใจกดขี่เขา
แต่วินาทีนี้หลัวซิวกลับหัวเราะออกมา แน่นอนอยู่แล้วว่าการหัวเราะเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาอารมณ์ดี แต่เป็นปฏิกิริยาที่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเขากำลังจะระเบิด
ยิ่งสงบมากเท่าไหร่ อำนาจที่ปะทุออกมาก็จะยิ่งสยองมากเท่านั้น ซึ่งนี่ก็คือหลัวซิว
“ผังค่ายชิ้นหนึ่งที่สามารถแลกกับต้นยาเซียนระดับ 8 สามร้อยต้นได้เป็นอย่างต่ำ แต่เจ้ากลับให้ข้าเพียงหนึ่งร้อยต้น อีกทั้งล้วนเป็นยาที่มีตำหนิด้วย การที่เจ้าทำเช่นนี้นั้น มีเพียงจะทำให้ข้าอยากฆ่าเจ้ามากยิ่งขึ้น”
เขาเก็บแหวนเก็บของเข้าที่ จับจ้องไปทางชายหนุ่มคนนั้นด้วยสายตาที่เรียบนิ่งรอบหนึ่ง สภาพจิตใจที่เงียบสงบกลับเหมือนดั่งอสูรโหดโบราณที่นอนจำศีลในฤดูหนาว
ชายหนุ่มนั่นขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อครู่นี้เสี้ยววินาทีที่ถูกหลัวซิวจ้องเขม็งด้วยสายตาเช่นนั้น ทำให้เขารู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาอย่างฉับพลัน แม้ความรู้สึกเช่นนี้จะเกิดขึ้นเพียงแวบเดียวก็ตาม หรือว่าเป็นเพียงจิตปรุงแต่ง?
“หลิวเทียนลู่ เจ้าทำเกินไปหน่อยนะ”
หนึ่งในอัจฉริยะที่ลงมาจากโลกาชั้นฟ้าพร้อมกับเขา ผู้บำเพ็ญเซียนหญิงที่งดงามคนนั้นขมวดคิ้วพลางพูดออกมาคำหนึ่ง
“ทำเกินไปแล้วอย่างไร? เป็นเพียงราชาเทพขั้นปฐมภูมิกระจอก ๆ คนหนึ่ง แค่ดีดนิ้วก็ฆ่ามันได้แล้ว”หลิวเทียนลู่กวาดมองไปฝั่งหลัวซิวด้วยสายตาที่มีความดูหมิ่นปนอยู่เล็กน้อย