มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 17 เข้ากลุ่ม
บทที่ 17 เข้ากลุ่ม
“ตุบ !”
ภายใต้สายตาที่จับจ้องของทุกคน หลัวซิวเดินไปยังโต๊ะรับรอง แล้วฟาดใบสมัครลงโต๊ะ จากนั้นจึงหันมองเจียงชานชานด้วยรอยยิ้ม
“น้องชาย ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้รับบาดเจ็บนะ หรือว่าเจ้ากลัวจึงถอนตัวเสียก่อน ไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบ ?” เจียงชานชานมองพิจารณาหลัวซิว แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“พี่สาวคนสวย แล้วถ้าข้าบอกว่าข้าผ่านการทดสอบล่ะ ?” หลัวซิวเองก็ยิ้มเช่นกัน อันที่จริงแล้วเขารู้ดีว่าการที่เจียงชานชานเตือนเขาก็เพราะเป็นห่วง เขาแค่รู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้น่าสนใจ อาจเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากบรรยากาศของแก๊งนักล่าอสูรภายในห้องโถงใหญ่ ทำให้นิสัยของเขาดูโผงผางขึ้นมาก
คนของโจวหลงและโกวหูจื่อทั้งสองฝ่าย ต่างก็กำลังจับจ้องความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น พวกเขาอยากรู้ว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไรกันแน่
เจียงชานชานมองค้อนหลัวซิว จากนั้นจึงชี้นิ้วไปที่ริมฝีปากแดงระเรื่อแล้วหัวเราะ : “น้องชาย ไม่ใช่ว่าพี่สาวดูถูกเจ้าหรอกนะ ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น5แทบจะไม่มีโอกาสผ่านการทดสอบเลยด้วยซ้ำ ถ้าหากเจ้าผ่านการทดสอบจริง พี่สาวจะขอตามจีบเจ้าเป็นอย่างไร ?”
“พรวด !”
หลายคนที่กำลังดื่มเหล้าอยู่ในห้องโถงใหญ่ เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ต่างก็สำลักออกมา และตกตะลึงอ้าปากค้าง
“โถ่เอ๊ย ทำไมข้าถึงไม่โชคดีแบบนี้บ้างนะ ให้สาวงามชานชานตามจีบ !”
“ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี หรือว่าชานชานจะชอบเจ้าหมอนี่จริง ๆ ชอบหญ้าอ่อนอย่างนั้นหรือ ?”
“บ้าเอ๊ย ข้าขอสาปแช่งให้เจ้าหมอนี่ไม่ผ่านการทดสอบ !”
คนในห้องโถงเริ่มกรูกันเข้ามาแล้วส่งเสียงตะโกน : “เจ้าหนู รีบบอกมาเร็วเข้าว่าตกลงเจ้าผ่านการทดสอบหรือไม่”
หลัวซิวหัวเราะเบา ๆ จากนั้นจึงเลื่อนฝ่ามือออกจากใบสมัคร “คนสวย อย่าลืมคำพูดเมื่อครู่ของเจ้านะ”
สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปที่ใบสมัคร คำว่า “ผ่าน” ปรากฏอยู่อย่างชัดเจน ทำให้บรรยากาศในห้องโถงใหญ่เงียบสงัดลงทันที
“บ้าเอ๊ย นี่มันเรื่องโกหกใช่ไหม ?”
ดวงตาของโกวหูจื่อเบิกโพลง บนกระดาษทดสอบเขียนคำว่า “ผ่าน” เอาไว้ ราวกับว่าเขาถูกตบหน้าฉาดใหญ่
“พูดจาเหลวไหลอะไรกัน ! ใครจะกล้าโกงการทดสอบนักล่าอสูร ?” โจวหลงแสยะยิ้ม เขาจ้องมองโกวหูจื่อ และพูดว่า : “ชื่อที่เขียนอยู่บนใบสมัครเป็นชื่อของผู้อาวุโสจวง เจ้ากล้าสงสัยผู้อาวุโสอย่างนั้นหรือ ?”
จากการวิพากษ์วิจารณ์ของบรรดานักล่าอสูร ทำให้หลัวซิวได้รู้ว่าชายชราชุดขาวที่รับผิดชอบการทดสอบของเขาเมื่อครู่ เป็นผู้อาวุโสของแก๊งนักล่าอสูรแห่งเมืองชิงหยุน มีนามว่าจวงหนานเทียน
อีกทั้งจวงหนานเทียนผู้นี้ ยังเป็นนักค่ายกลระดับ3อีกด้วย !
ทั่วทั้งเมืองชิงหยุน นักค่ายกลที่ไต่เต้าจนถึงระดับ3มีอยู่ไม่เกิน5คน
เจียงชานชานเองก็ผงะไปเช่นกัน โดยเฉพาะกับคำพูดของตนเองที่พูดว่าหากเด็กหนุ่มผ่านการทดสอบ นางจะขอตามจีบเขา
เมื่อเห็นหลัวซิวจ้องมองตนเองด้วยรอยยิ้ม แก้มของเจียงชานชานก็แดงระเรื่อขึ้นมา
“หึ น้องชาย เรื่องนี้ไว้เจ้าโตอีกหน่อยแล้วค่อยว่ากันเถอะนะ” นางมุ่ยปาก ริมฝีปากแดงระเรื่อของนางช่างเย้ายวน และทำท่าทีไม่รู้ไม่ชี้
“ฮ่าฮ่า หมอนี่จงใจแน่นอน อายุยังน้อยแต่กล้ามาจีบสาวงามที่สุดในแก๊งนักล่าอสูรของเมืองชิงหยุนเรา หูตากว้างไกลเสียจริง ๆ!”
“นี่ โกวหูจื่อ เมื่อครู่เจ้าพูดว่าหากน้องชายผู้นี้ผ่านการทดสอบ เจ้าจะก้มหัวลงมาให้เขาเตะเป็นลูกบอลไม่ใช่หรือ ?”
“จริงด้วย หากเจ้ายังเป็นลูกผู้ชาย ก็จงก้มหัวลงมาเสียดี ๆ !”
หลายคนในห้องโถงใหญ่เริ่มส่งเสียงตะโกนขึ้นมา
ตอนนี้เอง เจียงชานชานหยิบตราสัญลักษณ์ดาบคู่ยื่นให้กับหลัวซิว “น้องชาย ยินดีด้วย เจ้าได้เป็นหนึ่งในนักล่าอสูรแล้ว”
ตราสัญลักษณ์เป็นสีขาว นอกจากจะมีสัญลักษณ์ของแก๊งนักล่าอสูรแล้ว ยังมีดาวอีกหนึ่งดวง หมายความว่าหลัวซิวเป็นนักล่าอสูรระดับ1ดาว !
นักล่าอสูรมีทั้งสิ้น9ระดับ 1ดาวถึง3ดาวเป็นนักล่าอสูรระดับต้น 4ดาวถึง6ดาวเป็นนักล่าอสูรระดับกลาง ส่วน7ดาวถึง9ดาวเป็นนักล่าอสูรระดับสูง
ระดับของนักล่าอสูรยิ่งสูง ก็จะยิ่งมีสิทธิพิเศษมากขึ้น แต่แก๊งนักล่าอสูรในเมืองชิงหยุน อย่างมากสุดก็มีเพียงแต่ตราสัญลักษณ์นักล่าอสูรระดับ3ดาว ส่วนระดับ4ดาวขึ้นไปจำเป็นจะต้องเดินทางเข้าไปในตัวเมืองของเขตการปกครองหยุนหลง
ตอนนี้สีหน้าของโกวหูจื่อหมองคล้ำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ต้องสูญเสียเงินหนึ่งพันตำลึง มิหนำซ้ำยังต้องถูกเหล่าสหายหัวเราะเยาะอีก สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกขายหน้าเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่า หากจะให้เขายอมก้มหัวคงเป็นไปไม่ได้ คนอื่นก็เพียงแค่นำมาพูดหยอกล้อเป็นเรื่องสนุกก็เท่านั้น และไม่มีใครเก็บเอามาใส่ใจ
“ตุบ !”
กระเป๋าเงินถูกโยนลงด้านหน้าหลัวซิว โจวหลงซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่กำยำแสยะยิ้มแล้วพูดว่า : “น้องชาย นี่คือเงินห้าร้อยตำลึง ในเมื่อโกวหูจื่อเดิมพันว่าเจ้าจะไม่ผ่านการทดสอบ เดิมพันทั้งสิ้นหนึ่งพันตำลึง พวกเราแบ่งกันคนละครึ่ง”
หลัวซิวผงะไปเล็กน้อย ห้าร้อยตำลึงสำหรับเขาถือเป็นเงินจำนวนมหาศาล โจวหลงวางเดิมพันกับโกวหูจื่อ อันที่จริงแล้วก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา หากจะว่ากันตามเหตุผลแล้ว เงินที่โจวหลงชนะเดิมพัน ก็ไม่จำเป็นต้องแบ่งให้กับเขา
“เฮียโจวหลง เงินนี่ท่านเป็นคนชนะเดิมพัน ข้าไม่อาจรับไว้ได้” หลัวซิวปฏิเสธด้วยความเกรงใจ เขาไม่ชอบรับผลประโยชน์จากผู้อื่นโดยไร้เหตุผล
“หากไม่ใช่เพราะน้องชาย ข้าคงไม่อาจชนะเดิมพันจำนวนนี้ได้ เจ้าอย่าปฏิเสธอีกเลย ไม่เช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้าไม่ไว้หน้าข้า โจวหลง”
สำหรับโจวหลงแล้ว เรื่องเงินถือเป็นเรื่องเล็ก การที่ทำให้โกวหูจื่อต้องเสียหน้าต่างหาก จึงจะเป็นเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกดีใจ
หลัวซิวยิ้ม ในเมื่อโจวหลงพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาจึงไม่กล้าปฏิเสธอีกต่อไป
“ถ้าอย่างนั้นต้องขอบคุณน้ำใจของเฮียโจวหลงมากครับ” เขากล่าวขอบคุณ แล้วหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา
เด็กหนุ่มที่มีอายุไม่ถึง14ปี จึงกลายเป็นจุดสนใจอย่างมากภายในห้องโถงของนักล่าอสูร นักล่าอสูรจำนวนมากที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ราว ๆ 25 ปีขึ้นไป
โจวหลงต้องการเชิญชวนหลัวซิวดื่มเหล้า ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยดื่มเหล้ามาก่อน จึงดูเหมือนแทบจะถูกลากไปที่โต๊ะในห้องโถง
เมื่อนับรวมโจวหลงและหลัวซิวแล้ว บนโต๊ะนี้มีทั้งหมด 5 คน คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง สีหน้าเย็นชา ส่วนอีกสองคนเป็นหญิงสาวฝาแฝดสองพี่น้อง หน้าตาธรรมดา แต่มีรูปร่างที่เร่าร้อน สวมใส่ชุดต่อสู้รัดรูป เผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างชัดเจน
“มานี่สิ น้องหลัวซิว ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก……”
จากการแนะนำของโจวหลง หลังซิวขึงรู้ว่า ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางที่มีใบหน้าเย็นชาผู้นั้นมีชื่อว่า โกวอ๋าง ส่วนหญิงสาวฝาแฝดสองพี่น้องมีชื่อเรียกต่างกันว่าจี้โหรวและจี้เซว่
เมื่อนับรวมโจวหลงแล้ว พวกเขาทั้งสี่คือกลุ่มนักล่าอสูรกลุ่มหนึ่ง หัวหน้าโจวหลงเป็นนักยุทธ์แดนฝึกชี่ไห่ขั้น2 โกวอ๋างอยู่ระดับการกลั่นร่างขั้น9 จี้โหรวและจี้เซว่สองพี่น้องล้วนอยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น8
อย่าว่าแต่เมืองหลัก ๆ ในประเทศเทียนหวูเลย แม้กระทั่งประเทศอื่น ๆ ในโลก นักล่าอสูรถือเป็นกลุ่มของนักยุทธ์ที่พบเห็นได้มากที่สุด อย่างเช่นกลุ่มของโจวหลง สามารถพบเห็นได้ทั่วไป
“หลัวซิว ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดเอาไว้ว่า หากเจ้าผ่านการทดสอบ ข้าจะรับเจ้าเข้ามาในกลุ่มของข้า จะว่าอย่างไร ?” โจวหลงดื่มเหล้าเข้าไปอึกใหญ่ แล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ครึ่งชั่วยามก่อนหน้า ตอนที่หลัวซิวเข้ามาสมัครเป็นนักล่าอสูร ไม่มีใครในห้องโถงใหญ่ที่คิดว่าเขาจะผ่านการทดสอบมาได้ ในตอนแรกโจวหลงเองก็เพียงพูดล้อเล่นสองสามประโยคเท่านั้น ในใจของเขาเองก็ไม่คิดว่าหลิวซิวจะมีโอกาสผ่านการทดสอบมาได้เช่นเดียวกัน
แต่ผลลัพธ์กลับออกมาเหนือความคาดหมายของทุกคน ดังนั้นการที่โจวหลงเชิญหลัวซิวเข้ามาร่วมกลุ่มของตน ก็เท่ากับเป็นการรักษาสัจจะของตนเอง
ในป่าลึกมีอันตรายแอบแฝงอยู่มากมาย มีทั้งอสุรกายที่ดุร้ายและทรงพลัง นอกเสียจากจะเป็นนักยุทธ์ที่มีความสามารถส่วนตัวที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งเท่านั้น นอกนั้นนักล่าอสูรส่วนใหญ่มักจะออกล่ากันเป็นกลุ่ม
########################