มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1701
ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็สามารถคาดเดาได้ไม่ยาก น่าจะเป็นที่สองศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนจากสำนักเดียวกันมายังที่แห่งนี้ด้วยกัน ผู้ที่เข้าใจด้านค่ายกลเปิดประตูศิลาออก และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดที่ทำให้ทั้งสองหันหลังให้กัน ผลสุดท้ายต่างพ่ายแพ้บาดเจ็บสาหัส และล้มตายอยู่ในที่แห่งนี้
ไม่นานนัก คำตอบของคำถามก็พลันปรากฏขึ้นมา ในกำมือของโครงกระดูกโครงหนึ่ง กำแหวนเก็บของชิ้นหนึ่งเอาไว้แน่น
แหวนเก็บของมีขนาดไม่ใหญ่ อีกทั้งแหวนเก็บของชิ้นนี้ดูเหมือนว่าจะสามารถหลบหลีกการสำรวจของตัวสำนึกได้ ดังนั้นจึงเป็นเหตุที่ทำให้มันไม่ถูกหลัวซิวสังเกตเห็นในตอนแรก
แหวนเก็บของชิ้นนี้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างโบราณและเรียบง่าย ด้านบนมีมังกรตัวหนึ่งถูกแกะสลักไว้ พันล้อมอยู่รอบตัวเรือน วัสดุที่ใช้หลอมตัวเรือนของแหวนวงนี้ก็ล้ำค่ามาก ถึงขนาดที่สายตาของหลัวซิวก็ยังสามารถมองออกได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นวัสดุระดับมกุฎ
บนแหวนวงนี้ไม่ได้มีตัวต้องห้ามแต่อย่างใด ตัวสำนึกของหลัวซิวเข้าไปสำรวจได้อย่างราบรื่นไร้สิ่งกีดขวาง เมื่อเห็นสิ่งของที่อยู่ในแหวน ต่อให้เป็นเขาผู้นิ่งสงบมาตลอด ก็ยังชะงักงันไปโดยไม่รู้ตัว จากนั้นความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
ด้านในแหวนเก็บของชิ้นนี้มีของอยู่ไม่มาก มีเพียงแค่สามชิ้นเท่านั้น กลุ่มแสงเทวะเจ็ดสีสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์ ม้วนหยกหนึ่งม้วน รวมถึงหินแก้วที่แทบจะโปร่งแสงอีกชิ้นหนึ่ง
แต่สิ่งที่ทำให้หลัวซิวตกใจได้ถึงเพียงนี้ กลับเป็นเพราะกลุ่มแสงเจ็ดสีที่สว่างราวกับดวงอาทิตย์ ที่แท้มันคือกมลโลกาชิ้นหนึ่ง!
อีกทั้งระดับของกมลโลกาชิ้นนี้ก็ไม่ใช่ธรรมดาอีกด้วย มันได้ก้าวไปถึงระดับชั้นสูงแล้ว
ในตอนนั้นเขาได้รับกมลโลกาชั้นสูงชิ้นหนึ่งมาจากโลกาดาราอุดร ก็สามารถเปิดสามจุดลมปราณได้ในคราวเดียว
ถึงแม้ว่าผลการฝึกตนยิ่งสูง ความยากในการเปิดจุดลมปราณก็ยิ่งมากตามไปด้วย แต่ตัวของหลัวซิวนั้นมีผลการฝึกตนเพียงเทพฟ้าขั้นสาม ผลการฝึกตนไม่ถือว่าสูงเท่าใดนัก อาศัยพลังของกมลโลกาชั้นสูง อย่างน้อยก็สามารเทียบเคียงได้กับยาเซียนระดับเก้าหนึ่งเตาหกเม็ด เปิดสองจุดลมปราณก็ไม่น่าจะยากแต่อย่างใด
สำหรับม้วนหยกนั้น ด้านในน่าจะบันทึกเกี่ยวกับการสืบทอดประเภทวรยุทธ์ หินแก้วที่แทบจะโปร่งใสชิ้นนั้น มีออร่าของกฎเวลาไหลเวียนอยู่ ก็ไม่ใช่สมบัติที่หาได้ทั่วไป
สำหรับศิษย์ทั้งสองแห่งสำนักไท่ฉือนั้น ถึงกับตัดขาดความเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องเพียงเพื่อแย่งชิงโอกาส หลัวซิวไม่ได้รู้สึกเวทนาเลยแม้แต่น้อย เขาสะบัดชายแขนเสื้อออกไป ลมพลันกระโชกพัดมาอย่างรุนแรง กวาดเอาโครงกระดูกทั้งสองร่างนั้นขึ้นมา และโยนทิ้งออกไปจากในถ้ำหิน
ภายในถ้ำ สะอาดสะอ้าน มีแท่นศิลาอยู่แท่นหนึ่ง คาดว่าจะเป็นสถานที่ที่เจ้าของถ้ำแห่งนี้เคยใช้เพื่อฝึกตน
สองห้องที่อยู่ด้านข้างโถงหลัก หลัวซิวก็เดินวนสำรวจไปแล้วรอบหนึ่ง ไม่พบสิ่งมีค่าแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าจะมีชั้นวางเอาไว้ แต่กลับว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งใด
กลับมายังโถงหลัก หลัวซิวขึ้นไปนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นศิลานั้น ย้ายของทุกอย่างในแหวนเก็บของตนไปใส่ไว้ในแหวนเพิ่งได้รับมา
แหวนวงนี้มีความเก่าแก่ ไม่ต้องพูดถึงสลักรูปมังกรอันงดงามบนตัวเรือน พื้นที่ภายในก็ใหญ่เป็นประวัติการณ์เช่นกัน ดูเหมือนว่าจะเทียบเท่าได้กับคีตโลกาแห่งหนึ่งเลย
เมื่อจัดระเบียบอย่างพอเหมาะพอควรแล้ว หลัวซิวก็นำหินแก้วที่แทบจะโปร่งใสชิ้นนั้นขึ้นมา ชิ้นส่วนใจแห่งศุภรภายในห้วงจักรหยั่งรู้ ทันใดนั้น ก็พลันสั่นสะท้านไปด้วยความกระสับกระส่ายขึ้นมา เกิดการสะท้อนซึ่งกันและกัน
ห้วงจักรค่อย ๆ แยกออกเป็นรอยร้าว ภายใต้การควบคุมของหลัวซิวชิ้นส่วนใจแห่งศุภรก็ลอยออกมา วางเอาไว้คู่กับหินแก้วโปร่งใส
เป็นดังเช่นหลัวซิวได้คาดการณ์เอาไว้ หินแก้วโปร่งใสและชิ้นส่วนศุภรผสานเข้าด้วยกัน
“ดูแล้ว หินแก้วชิ้นนั้นก็คือชิ้นส่วนหนึ่งของใจแห่งศุภรแน่นอนแล้ว” ในใจหลัวซิวก็พลันคาดเดาได้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
การผสานรวมของชิ้นส่วนใจแห่งศุภรจำเป็นต้องใช้เวลาสักระยะ สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะนึกถึงตำหนักวัฏสงสารและลูกแก้วความเป็นตายที่อยู่ภายในตัวหยั่งรู้ของตน สมบัติทั้งสองชิ้นนี้มันผสานกันมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว จนกระทั่งในตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะสิ้นสุดแต่อย่างใด