มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 182 บุญคุณที่ช่วยชีวิต
บทที่ 182 บุญคุณที่ช่วยชีวิต
“ปัง!”
รัศมีอันเจิดจ้าไร้สิ้นสุดปะทุ แสงสีขาว แสงสีเลือด และเปลวไฟสีดำประสานกันกระจายไปทั่วท้องฟ้า
หลัวซิวมีเลือดออกที่มุมปาก ร่างกายซวนเซไปด้านหลัง แต่เขากลับไม่เผยความลังเลแม้แต่น้อย พลิกมือฟาดฟันดาบออกไปอีกครั้ง ทำให้ม่านแสงที่ก่อตัวขึ้นของค่ายยากเย็นระดับสี่แตกออก และกระโจนออกมา
ยี่ซวนทำได้แค่มองหลัวซิวหนีไป แต่ไม่กล้าตามไป สายตาทอดมองไปไม่ไกล เห็นเหมิงขวงยืนเหม่ออยู่กลางอากาศ
ทันใดนั้นเอง ร่างกายของเหมิงขวงก็โซเซ แล้วก็กระอักเลือดออกมาอึกใหญ่ ในเวลานี้ยี่ซวนถึงได้สังเกตว่า ตรงบริเวณอกของเหมิงขวงถูกดาบปักทะลุหลังอยู่
ยี่ซวนรีบเข้าไปพยุงเหมิงขวงไว้ และไม่ได้ฉวยโอกาสแย่งชิงยันต์หยกจากเหมิงขวง เพราะอาจารย์ของทั้งสองเป็นสหายแห่งชีวิตและความตาย และยังเป็นความตั้งใจของท่านอาจารย์ที่จะให้พวกเขาร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรูในการแข่งขันการเอาตัวรอดนี้
“ไอ้ ‘ซิวหลัว’นั่น มันเข้าใจวิชาห้วงยุทธ์ ถ้าหากข้าไม่ได้หลบตำแหน่งหัวใจ ในช่วงเวลาแห่งความเป็นตายนั้น ข้าคงตายด้วยดาบเล่มนั้นไปแล้ว” เหมิงขวงพูดด้วยน้ำเสียงอิดโรยและยังไม่หายตกใจกับสถานการณ์เมื่อครู่
ยี่ซวน ได้ยินเช่นนั้น หนังตาก็กระตุกทันที อีกฝ่ายเข้าใจวิชาห้วงยุทธ์งั้นหรือ? แต่นั่นเป็นสิ่งที่ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งยังอยากจะเข้าใจ
“ตอนนี้เจ้าบาดเจ็บ เราต้องหาสถานที่หลบภัยเพื่อรักษาตัว ระยะเวลาเจ็ดวันนั้น ยิ่งถึงช่วงท้าย ๆ ก็ยิ่งฆ่ากันอย่างเข้มข้นมากขึ้น”
ยี่ซวนพูดด้วยเสียงราบเรียบ ทันใดนั้นก็พาเหมิงขวงลงสู่พื้นนด้วยกัน เพราะว่าลอยตัวกลางอากาศนั้น มันง่ายต่อการเป็นเป้าสายตา
และการต่อสู้เมื่อครู่นี้ ย่อมดึงดูดความสนใจของผู้เข้าแข่งขันคนอื่นได้อย่างแน่นอน และเมื่อมีคนพบว่าเหมิงขวงบาดเจ็บสาหัส เกรงว่าจะมีปรมาจารย์ฝึกจิตจำนวนมากจะประดังกันเข้ามาเหมือนฉลามได้กินเลือด
ป่าดึกดำบรรพ์ในเวลานี้ กระแสการเคลื่อนไหวกำลังพลุ่งพล่านอีกทั้งเวลาก็ค่อย ๆ ผ่านไป
ผ่านไปสามวัน การล้างกระดาษผู้เล่นครั้งใหญ่ได้จบลง ผู้ที่มีพลังอ่อนแอทั้งหมดถูกคัดออก ผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งก็ต่างรวมกลุ่มกันอยู่ ไม่มีใครที่กล้าเคลื่อนไหวคนเดียว
อย่างไรเสีย ถ้าฝึกจิตขั้นหนึ่งสามถึงสี่คนรวมกัน ก็จะกลายเป็นอัจฉริยะ การฝึกฝนวิชายุทธ์อย่างน้อยต้องมีระดับเจ็ดขึ้นไป แม้ว่าจะเป็นฝึกจิตขั้นสามหรือขั้นสี่ต่างก็ต้องล่าถอย
ดังนั้น เหล่าอัจฉริยะที่มีพลังแข็งแกร่งพอ ๆ กันก็เริ่มที่จะร่วมมือกัน ยันต์หยกขาวจะถูกแบ่งตามความขยันของแต่ละคน
แต่ในช่วงเวลานี้ หลัวซิวก็ได้ซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ลับ
การใช้ดาบเมื่อสองวันก่อน แม้ว่าจะทำให้เหมิงขวงบาดเจ็บสาหัสได้ แต่เหมิงขวงก็เป็นร่างยุทธ์ขั้นสูง สำแดงการโจมตีของวิชายุทธ์ระดับเจ็ด ก็ทำให้เขาบาดเจ็บไม่เบาเช่นกัน
แต่ใช้วิธีฟื้นฟูลายเส้นชีวิต ก็ใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็สามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้แล้ว ส่วนเวลาอีกหนึ่งวันครึ่งที่เหลือ หลัวซิวใช้ไปกับการรักษาบาดแผลให้หญิงสาวชุดขาว
หญิงสาวชุดขาวคนนี้มีผลการฝึกตนของแดนฝึกจิตขั้นสาม อีกทั้งยังบรรลุนปรมาจารย์ค่ายกลระดับสี่ เมื่อบาดแผลฟื้นฟูแล้ว จะต้องเป็นคู่หูที่ดีมากแน่ ๆ
สำหรับการเปิดเผยความลับบางอย่างของเขา หลัวซิวกลับไม่มีกะจิตกะใจไปกังวลอะไรแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นในใจเขาก็คิดแต่จะคอยช่วยเหลือเธออยู่เสมอ
ความรู้สึกเช่นนี้ ราวกับว่าหญิงสาวชุดขาวคนนี้มีความสำคัญกับเขามากกว่าสิ่งใด เขาจำเป็นต้องดูแลนาง ไม่สามารถทนดูให้นางได้รับบาดเจ็บได้
หลัวซิวแน่ใจได้ว่า ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ใช่เพราะหญิงสาวชุดขาวสำแดงวิชาเสน่ห์อะไรใส่เขา เพียงแต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถตอบได้ว่าที่แท้แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หญิงสาวชุดขาวชื่อว่า ‘เหยียนซีโรว่’
นางรู้ดีว่า บาดแผลของนางนั้น ถ้าหากไม่ได้ยาจิตสมุนไพรเพิ่มพลังที่สามารถฟื้นฟูจุดตันเถียนและเส้นลมปราณได้ คงจะไม่มีโอกาสฟื้นฟูได้แบบนี้
เปลวไฟดำแห่ง สิ่งที่เธอไม่อยากเชื่อก็คือ ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำคนนี้กลับใช้เวลาเพียงครึ่งวัน ก็สามารถฟื้นฟูเส้นลมปราณที่แตกและจุดตันเถียนที่ได้รับบาดเจ็บของนางได้
นี่ต้องเป็นพลังงานที่น่ากลัวมากอย่างแน่นอน เพราะว่าผลการฝึกตนของผู้ฝึกยุทธ์ยิ่งแข็งแกร่งมากเพียงใด บาดแผลที่ได้รับก็ยิ่งฟื้นฟูได้ยากมากเท่านั้น อีกทั้งยาระดับสูงหลาย ๆ ตัวก็หายากมาก ถึงแม้จะมีนักกลั่นยาระดับสูงหรือแม้แต่ปรมาจารย์กลั่นยา แต่การกลั่นยาวิเศษวิเศษนั้น ก็ยังเป็นสิ่งที่หาได้ยากอยู่ดี
“ข้าน้อยเหยียนซีโรว่ ขอบคุณท่านชายเป็นอย่างสูงที่ช่วยชีวิตข้าน้อยไว้”
เหยียนซีโรว่ไม่รู้ทำไมคนแปลกหน้าคนนี้ถึงใจดีกับนาง ถึงขึ้นยอมที่จะเปิดเผยความสามารถพิเศษของเขา
นางรู้ดี ในตอนแรกอีกฝ่ายไม่ได้รักษาบาดแผลให้นางเพราะว่าไม่ต้องการเปิดเผยความสามารถพิเศษ แต่สุดท้ายเพราะว่าต้องการช่วยนาง จึงไม่ได้ปิดบังความสามารถนั้นต่อไป
เหยียนซีโรว่ไม่ได้รู้สึกว่าการกระทำของอีกฝ่ายนั้นผิดแปลกอะไร เพราะเห็นได้ชัด ๆ ว่าเขาสามารถทิ้งนาง ให้นางรับผิดชอบตนเอง
และเขาก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น หรือแม้จะปกป้องเธอจากการต่อสู้ใหญ่ระหว่างยี่ซวนและเหมิงขวง ทั้งยังได้รับบาดเจ็บอีก
ไม่เพียงเท่านี้ เขายังไม่ได้เรียกร้องอะไรจากนาง และไม่ได้คิดจะล่วงเกินอะไรนางตลอดช่วงเวลาที่นางอยู่ด้วยกันที่นี่
เหยียนซีโรว่ประทับใจผู้ชายคนนี้มาก ตั้งแต่เล็กจนโต นางเป็นเด็กกำพร้าและไม่รู้ว่าพ่อแม่ของนางเป็นใครต่อมาก็ถูกผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งแห่งสำนักไป๋ซิงกู่รับไปเลี้ยง ไม่เคยมีใครใจดีกับนางขนาดนี้
“ไม่เป็นไร รักษาเจ้าหายแล้ว ถ้ามีเจ้าคอยช่วย ก็จะสามารถเก็บรวบรวมยันต์หยกได้มากขึ้น” หลัวซิวพูดออกไปเช่นนี้
“ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ช่วยชีวิตข้าไว้” เหยียนซีโรว่ยืนขึ้น พร้อมทั้งทำความเคารพหลัวซิว
“ข้าหวังว่า เจ้าจะไม่บอกบุคคลที่สามเกี่ยวกับเรื่องราวของข้า” หลัวซิวพูดเสียงราบเรียบ
เหยียนซีโรว่ตอบตกลงในทันที ต่อให้อีกฝ่ายไม่เอ่ยปาก นางก็ไม่เคยคิดจะพูดอะไรมั่วซั่ว นางจะไม่ทำอะไรที่จะเป็นการทรยศต่อผู้มีพระคุณของนาง
“ข้าชื่อหลัวซิว” เนื่องด้วยความรู้สึกพิเศษต่อเหยียนซีโรว่ในใจ ทำให้หลัวซิวเผลอตัวบอกชื่อตัวเองออกมา
จากนั้นอีกสามวันต่อมา หลัวซิวร่วมมือกับเหยียนซีโรว่ ออกล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่เข้าแข่งขันจำนวนมาก ได้รับยันต์หยกขาวจำนวนมาก
ทุกครั้งที่ได้รับยันต์หยกขาว ทั้งสองคนจะแบ่งเท่ากัน ท่ามกลางการออกล่าอย่างบ้าคลั่ง ในมือของทุกคนต่างก็มียันต์หยกขาวนับพันชิ้น
เจ็ดวันกับการแข่งขันเอาชีวิตรอด เหลือเพียงวันสุดท้ายแล้ว ในขณะนี้ ผู้คนที่ยังอยู่ในป่าดึกดำบรรพ์เหลือไม่ถึงสองพันคนแล้ว
จากหลักแสน เหลือเพียงสองพัน แค่เพียงรอบแรกของการแข่งขันคัดจำนวนเท่านั้น ก็สามารถคัดคนส่วนใหญ่ออกไปได้มากถึงเพียงนี้
มากกว่าครึ่งหนึ่งของ 2,000 คนที่เหลือเป็นปรมาจารย์ฝึกจิต ระดับฝึกจิตครึ่งส่วนน้อยก็ภายใต้คำสั่งของปรมาจารย์ฝึกจิต ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการง่ายที่จะถูกปรมาจารย์ฝึกจิตล่า และแย่งยันต์หยกไป
เมื่อเดินเข้าป่า ทั้งสองคนต่างก็กระจายการสำนึกของตนออกไป สังเกตกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวคุณ
ทันใดนั้น สายตาของหลัวซิวและเหยียนซีโรว่ ก็มองไปในทิศทางเดียวกัน
ภายใต้การสำนึกของหลัวซิว มีผู้ฝึกยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์หกคนปล่อยลมหายใจแห่งชีวิต และทั้งหมดนั้นคือปรมาจารย์ฝึกจิต
หัวหน้าคือชายหนุ่มที่มีสีหน้าเย็นชา มีผลการฝึกตนแห่งฝึกจิตขั้นสี่ ท่ามกลางอัจฉริยะผู้เข้าแข่งขันนับแสน เขาคือหนึ่งในคนที่ผลการฝึกตนสูงที่สุด
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็สังเกตได้ว่ามีหนึ่งในหกคนนั้น คือหญิงสาวผมทองที่เคยไล่ตามฆ่าเหยียนซีโรว่ก่อนหน้านี้
ยังมีอีกสองคน คือคนที่หลัวซิวเคยประมือมาก่อนหน้านี้ แก๊งนักหลอมอาวุธอัจฉริยะเหมิงขวงและแก๊งนักค่ายกลอัจฉริยะยี่ซวน
เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในไม่กี่วันที่ผ่านมาซึ่งนำพวกเขามารวมกลุ่มกัน
“นั่นคือช่าวชูเจิ้งฉี!” เหยียนซีโรว่พูดถึงผู้นำหนุ่มคนนั้น
ช่าวชูเจิ้งฉีคือศิษย์อัจฉริยะที่มีพลังอันดับหนึ่งแห่งสำนักชิงเทียนเจี้ยน เขตการปกครองชิงฮัว อายุ 28 ปี ฝึกตนถึงแดนฝึกจิตขั้นสี่
ทำไมช่าวชูเจิ้งฉีถึงลงไม้ลงมือกับเหยียนซีโรว่ หลัวซิวก็ไม่อาจจะรับรู้เหตุผลนั้นได้ เหยียนซีโรว่เองก็ไม่ได้อธิบายออกมา
ในขณะที่ทั้งสองพบคนกลุ่มนี้ การสำนึกทั้งหกของอีกฝ่ายนั้นก็กวาดเข้ามาเช่นกัน
“‘ซิวหลัว’!”
########################