มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1922
เห็นเพียงมีรอยแตกค่อย ๆ แยกออกจากหว่างคิ้วของหยุนเทียนหยู เมื่อมองเข้าไปในรอยแตกนั่น หลัวซิวพบว่าภายในตัวหยั่งรู้ของเขามีวังอัมพรหลังนี้ และเหนือนภามีดวงดาวที่เต็มท้องฟ้าโคจรอยู่รอบวังอัมพร
ขลือกันว่าเมื่ออัจฉริยะไร้เทียมทานบรรลุสู่เทพฟ้า ตัวหยั่งรู้ของคนดังกล่าวจะกลายเป็นวังอัมพร จากนั้นเมื่อบรรลุสู่ราชาเทพ บนวังอัมพรก็จะมีดวงดาวที่ลอยเต็มท้องฟ้าปรากฏ แสดงให้เห็นว่าสติปัญญาของหยุนเทียนหยูนี้ไม่ธรรมดามากจริง ๆ
ฝ่ามือข้างหนึ่งที่มีแสงสีเขียวขมุกขมัวยื่นออกมาจากนภาในตัวหยั่งรู้ ความเร็วของมันดูช้ามาก ๆ ทว่าแท้จริงแล้วความเร็วของมันกลับรวดเร็วถึงขีดสุด ดังนั้นถึงได้ทำให้คนมองรู้สึกเหมือนเห็นภาพลวงตา
“ไอ้แซ่หลัว มึงคิดว่ามึงสามารถฆ่ากูได้จริง ๆ หรือ? ถึงพรสวรรค์ของมึงจักสูงกว่ากู ศักยภาพแข็งแกร่งกว่ากูแล้วอย่างไร? ภายในตัวหยั่งรู้ของกูมีกึ่งอมตะที่เจ้าหอทิ้งไว้ ซึ่งเพียงพอที่จะสามารถสังหารทุกคนที่คิดจะปลิดชีพกูได้!”มีรอยยิ้มที่ดุร้ายปรากฏบนใบหน้าหยุนเทียนหยู
กึ่งอมตะของเจ้าหอยอดอัมพร?
เมื่อจีเสี่ยวจื่อที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลได้ยินคำพูดดังกล่าว ใบหน้าที่เรียวบางจึงขาวซีดลงไปภายในพริบตา ก่อนจะอุทานอย่างตะลึง: “ศิษย์พี่หลัว รีบหลบออกให้เร็ว!”
เจ้าหอยอดอัมพรเป็นคนแบบใด? นั่นมันผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งในมหาโลกายอดอัมพรเชียวนะ เป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่มีผลการฝึกตนจักรพรรดิเทพช่วงปลาย!
ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ เมื่อมองในมุมทั้งมหาโลกาพันสาม ก็ถือเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นสุดยอดเช่นกัน
เขม็งมองมือใหญ่ที่มีแสงสีเขียวขมุกขมัวนั่นปรากฏ สภาพจิตใจของหลัวซิวก็ตึงเครียดอย่างยิ่งเช่นกัน
อย่าว่าแต่ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเลย มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งจ้าวมหาเทพที่อ่อนที่สุด ก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับเขา
ถึงแม้มือใหญ่ที่มีแสงสีเขียวขมุกขมัวนี่จะเป็นเพียงพลังอมตะหนึ่งที่ไม่สมบูรณ์ ทว่าจากอำนาจบารมีของจักรพรรดิเทพ กระบวนท่าที่ปลดปล่อยออกมาอย่างง่ายดายนั้น พลานุภาพของมันก็เพียงพอที่จะสามารถบดขยี้ผู้น้อยอย่างเขาให้ตายเป็นหมื่นรอบได้แล้ว
หลัวซิวก็ได้ยินเสียงอุทานอย่างตะลึงของจีเสี่ยวจื่อแล้ว และเขาก็อยากหลบออกเช่นกัน แต่ทว่าเขาถูกพลังออร่าของมือใหญ่แสงเขียวนั่นผนึกไว้แล้ว ร่างกายเหมือนถูกตะปูตอกนิ่งอยู่กับที่ ขยับไปที่ใดไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ภายใต้การกดอัดจากอำนาจบารมีจักรพรรดิเทพ ถึงกับทำให้การประสานกฎฟ้าดินของเขาถูกตัดขาด ไม่สามารถโคจรพลังแห่งกฎใด ๆ ได้เลย
ไม่สามารถหลบหลีก ศักยภาพก็ถูกกดอัดอีก นี่แทบจะเป็นสถานการณ์ที่ต้องได้ตายอย่างแน่นอน
“ฮ๊ากก!”
ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็ตะคอกเสียงดังลั่น เห็นเพียงเขายกหอกมังกรแดงมืดที่อยู่ในมือขึ้นมา มีดาราที่เต็มท้องฟ้าปรากฏด้านหลังเขา หนึ่งหอกทะลุฟ้า พร้อมกับพลังที่ถูกปลุกเสกโดยพลังดาราที่เต็มท้องฟ้า
ในขณะเดียวกัน เคล็ดเทวกลั่นวิญญาณก็ถูกโคจรอย่างบ้าคลั่ง ตัวสำนักทั้งหมดเหมือนดั่งดาบกระบี่ ฟันเฉือนไปทางหยุนเทียนหยูโดยไร้รูปไร้เงา
มือใหญ่แสงเขียวยื่นนิ้วออกมาหนึ่งนิ้ง จิ้มเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หอกมังกรแดงมืดก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ถูกสะเทือนจนกระเด็นออกไปภายในพริบตา ชี่จิ้งอันทรงพลังที่ส่งตรงมาจากหอกมังกร ยิ่งทำให้แขนทั้งสองข้างของหลัวซิวระเบิดกลายเป็นหมอกเลือดจนเลือดอาบท่วมตัว
ถัดจากนั้นความเร็วของมือใหญ่แสงเขียวไม่ได้ลดน้อยลงเลยแม้แต่น้อย ยังคงยื่นจับมาทางหลัวซิวอีกเช่นเคย
“เวิง!”
ตำหนักวัฏสงสารบินออกมาจากกลางหว่างคิ้ว พุ่งชนเข้ากับมือใหญ่แสงเขียวจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น แต่ทว่าก็ถูกมือใหญ่ตบจนกระเด็นออกไปอยู่ดี ต้านทานได้เพียงชั่วขณะเท่านั้น
“มึงได้ตายแน่!”หยุนเทียนหยูหัวเราะอย่างดุร้าย แต่ทว่าจู่ ๆ ก็มีความเจ็บปวดรวดร้าวส่งตรงมาจากตัวหยั่งรู้ เหมือนกับว่าวิญญาณของเขาถูกดาบกระบี่นับหมื่นนับพันตัดสับออกเป็นชิ้น ๆ ยังไงอย่างนั้น
“อ๊ากก! ……”
หยุนเทียนหยูกรีดร้องอย่างน่าเวทนา วังอัมพรที่กลายมาจากตัวหยั่งรู้ของเขาแตกสลายภายในชั่วพริบตาเดียว
ส่วนกึ่งอมตะที่อยู่ในวังอัมพรตัวหยั่งรู้ของเขานั้น เนื่องจากไม่มีตัวพาหะ เสี้ยววินาทีที่เห็นว่ามันกำลังจะบีบหลัวซิวให้ตายอยู่นั้น เสียงปังก็ดังขึ้น จากนั้นมันก็แตกสลายหายสาบสูญไปก่อน
หยุนเทียนหยูเบิกตากว้าง ความรู้สึกทั้งใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความไม่ยอมและความเคียดแค้น
ตัวหยั่งรู้เป็นสถานที่อยู่ของวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณ
วินาทีนี้ตัวหยั่งรู้ของหยุนเทียนหยูแตกสลายไปแล้ว ถึงแม้ช่องจิตของเขาจะไม่ได้ซ่อนอยู่ในตัวหยั่งรู้ แต่ทว่าก็หนีการติดตามจากตัวสำนึกของหลัวซิวไม่ได้ และดาบกระบี่ที่กลายมาจากตัวสำนึกก็โจมตีช่องจิตของเขาจนแตกสลาย