มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1932
หลัวซิวไม่ได้เล่าเรื่องหินนิรันดร์ยอมรับเขาเป็นนายให้จีเสี่ยวจื่อฟังแต่อย่างใด แต่เป็นการบอกว่าหินนิรันดร์หายไปแล้ว
อย่างไรซะนางก็เห็นเองกับตาตัวเองเลยว่าความเร็วของหินนิรันดร์มันเป็นอย่างไร อีกทั้งนางก็ไม่ได้สงสัยในคำพูดของหลัวซิวเช่นกัน
หลัวซิวก็รู้สึกละอายใจต่อเรื่องนี้เล็กน้อยอยู่ ทว่าในเกณฑ์นิรันดร์มีความเร้นลับของการเป็นอมตะซ่อนอยู่ หากปล่อยให้ผู้อื่นทราบเรื่องราวเช่นนี้ละก็ เช่นนั้นต้องเป็นหายนะครั้งหนึ่งแน่นอน ยิ่งกว่านั้นคืออาจารย์คนนั้นของตนเองก็อาจจะหวั่นไหวได้ด้วย
ถึงแม้จิตใจของหลัวซิวจะรู้สึกเชื่อใจจีเสวียนคงมาก ๆ ก็ตาม แต่ทว่าจิตใจของมนุษย์เป็นสิ่งที่คาดคะเนยากที่สุด การที่เขาที่อ่อนแอและเล็กน้อยสามารถค่อย ๆ ก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้ได้นั้น เขาเข้าใจดีมากว่าจะให้บุคคลที่สองทราบเรื่องเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด ถึงแม้จะเป็นคนที่มีความสัมพันธ์สนิทสนมกับตัวเองก็ตาม
นี่ไม่ใช่การไม่เชื่อใจแต่อย่างใด แม้ผู้คนที่อยู่รอบข้างตนจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้มั่วซั่ว ทว่าผู้อื่นก็สามารถใช้วิธีค้นวิญญาณได้เช่นกัน จึงจะไม่มีจิตใจที่ระแวดระวังไม่ได้!
“ไป ต้องไปอยู่แล้วสิ!”
ถึงแม้ตัวเองจะได้รับหินนิรันดร์แล้ว แต่ไม่มีผู้ใดรังเกียจสมบัติล้ำค่าที่มีความเร้นลับของเกณฑ์แฝงซ่อนหรอกจริงหรือไม่?
หากมีความเป็นไปได้ หลัวซิวยิ่งอยากให้อัญเกณฑ์ทั้งสามชิ้นในแดนเทวนิรันกาลตกอยู่ในกำมือของตัวเองด้วยซ้ำ
ไม่มีผู้ใดไม่มีความทะเยอทะยานอันร้อนแรง ซึ่งหลัวซิวก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน มิเช่นนั้นละก็เขาคงไม่อยากเดินบนวิถียุทธ์ที่ใช้หมื่นจักรวาลไร้รูปวิวัฒนาการสรรพวิชาหรอก
วิถียุทธ์ที่เขาจะเดินนั้น เป็นวิถีที่ครอบคลุมสรรพวิชาทุกอย่างในโลก เป็นวิถียุทธ์ที่อัดแน่นไปด้วยแก่นแท้ของวิถียุทธ์ทั้งหลาย ความเร้นลับที่แฝงซ่อนอยู่ในอัญเกณฑ์ที่แตกต่างกัน ต้องสามารถทำให้เขาได้รับการตระหนักรู้และดอกผลที่มากกว่าแน่นอน
……
แดนเทวนิรันกาลตั้งอยู่จุดศูนย์กลางของมหาโลกาพันสาม และมีอาณาเขตติดกับโลกามหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งแปด
แต่ทว่าทุกครั้งที่แดนเทวนิรันกาลเปิดออก โลกามหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งแปดกลับไม่ส่งคนเข้ามาเลย อีกทั้งโลกามหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งแปดก็ติดต่อคบค้ากับโลกภายนอกน้อยมาก ๆ เช่นกัน โลกามหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งแปดอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุดของห้วงดาราจักรวาลแห่งนี้
ผู้แข็งแกร่งต่าง ๆ ที่มาจากมหาโลกาพันสามล้วนรวมตัวกันอยู่นอกแดนเทวนิรันกาล ปราการดาราไร้รูปนั่นได้ทำการกีดกั้นผู้แข็งแกร่งทุกคนไว้ข้างนอก อีกทั้งทุกครั้งที่แดนเทวนิรันกาลปรากฏ ก็มีโอกาสทลายปราการดาราได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และจะไม่สามารถส่งจำนวนคนที่มากกว่าเข้าไปภายในได้อีกเลย
สีหน้าอารมณ์ของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพเหล่านี้ต่างดูตึงเครียดเล็กน้อย มีสีหน้าของผู้แข็งแกร่งบางคนยิ่งหม่นหมองมาก จิตสังหารโอบล้อมอยู่รอบกาย ราวกับดินระเบิดที่แค่จุดไฟเล็กน้อยก็ระเบิดแล้ว
ทุกครั้งที่แดนเทวนิรันกาลเปิดออกล้วนต้องมีคนตาย บ้างก็ตายอยู่ภายใต้เขี้ยวเล็บของอสูรโบราณ ทว่าผู้ที่ตายอยู่ในกำมือของอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศคนอื่น ๆ กลับมีมากกว่า
นี่เป็นการขัดเกลาที่เหมือนล้างทรายในคลื่นยักษ์ มีเพียงผู้ที่โดดเด่นเหนืออัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศคนอื่น ๆ ในมหาโลกาพันสาม ถึงจะได้รับโอกาสสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีชีวิตรอดกลับมา ตั้งแต่บัดนี้เป็นไปคนดังกล่าวก็จะเดินลงบนเส้นทางของผู้แข็งแกร่งที่เป็นของตัวเอง
ณ อีกทิศทางหนึ่ง เงาร่างของคนที่อยู่ในชุดคลุมยาวสีเขียวล้วนคนหนึ่งกำลังลอยอยู่กลางห้วงอากาศที่ว่างเปล่า พลางเบิ่งมองไปยังทิศทางที่ตั้งของแดนเทวนิรันกาล
“ยุคสมัยใหม่จักย่างกรายมาถึงแล้วหรือ?”เขาดื่มเหล้าหนึ่งกา สีหน้าอารมณ์ดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูก
คนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเดินทางมาถึงตำแหน่งที่ปราณกระบี่ตรีภพปรากฏ ปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดจากปราณกระบี่นั้นปรากฏไม่นานนัก จากนั้นมันก็เริ่มค่อย ๆ จางสลายหายไป
แต่ทว่าเมื่อผู้คนมาถึงดวงดาวดวงนี้ ก็ยังคงสัมผัสปราณกระบี่อันดุดันอย่างไร้ขอบเขตและกว้างใหญ่ไพศาลที่ตลบไปทั่วทุกสารทิศของห้วงดาราบริเวณรอบ ๆ ได้อยู่
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ทุกคนมาถึงดวงดาวดวงนี้แล้ว มาตรแม้นว่าเป็นผู้ที่มีความกล้าหาญหน่อย สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างควบคุมไม่ได้เช่นกัน มีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวใจ
เนื่องจากทุกจุดบนดวงดาวดวงนี้เต็มไปด้วยโครงกระดูก ขอแค่เป็นตำแหน่งที่สายตาสามารถมองเห็น ล้วนมีโครงกระดูกที่กองสูงเท่าภูเขา ในโครงกระดูกเหล่านี้มีโครงกระดูกของทุก ๆ เผ่าพันธุ์เลย มีทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าปีศาจ เผ่าพันธุ์มารและยิ่งมีโครงกระดูกของอสูรโบราณด้วย