มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1938
โครมม!
เรือรบทองคำเคลื่อนพล พระโอรสจ้านเทียนก็ปลดปล่อยพลังออร่าทั้งหมดออกมาเช่นกัน กลายเป็นแสงกลสีทอง อัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศทุกคนที่มั่นใจในศักยภาพของตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม ล้วนปลดปล่อยอุบายต่าง ๆ ของตัวเองออกมาพลางพุ่งลงไปยังส่วนลึกของเหว
ณ กองหินทิ้งแห่งหนึ่ง มีกระบี่ยาวสีดำล้วนเล่มหนึ่งปักอยู่บนพื้นที่แข็งทื่อ มีภูตผีลอยวนบริเวณรอบ ๆ ของกระบี่ยาวอย่างหนาแน่น ญาณอาฆาตคำราม ความเคียดแค้นทะยานขึ้นฟ้า
“นะนี่……”
แม้แต่อัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศอย่างมู่ช่าวหวงและพระโอรสจ้านเทียน เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว จู่ ๆ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างควบคุมไม่ได้ เนื่องจากจำนวนภูตผีญาณอาฆาตที่ลอยวนเป็นเกลียวอยู่บริเวณรอบ ๆ กระบี่ยาวเล่มนั้นมีมากกว่าหลักล้านตัวแน่นอน เหมือนดั่งทะเลวิญญาณผูกอาฆาตแห่งหนึ่ง!
“หวู๊!”
วิญญาณผูกอาฆาตนับล้านตัวร้องเสียงแหลมพร้อมกัน ปริภูมิถูกสั่นสะเทือนจนแตกสลายเป็นฝุ่นผง ม่านแสงคุ้มกันการโจมตีวิญญาณบนตัวมู่ช่าวหวงที่ยืนอยู่บนชั้นดาดฟ้าเรือรบก็พังทลายลงไปภายในพริบตาเช่นกัน ร้องเฮือกทีหนึ่งแล้วกระอักเลือดเฮือกหนึ่ง
อีกฝั่งหนึ่ง คนอื่น ๆ ที่ครอบคลุมพระโอรสจ้านเทียนก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่ ล้วนสัมผัสได้ว่าวิญญาณหยั่งรู้ถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง จนมีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก ใบหน้าขาวซีด
“นี่มันกระบี่เทวอะไรกัน นี่มันกระบี่ผงาดเล่มหนึ่งชัด ๆ!”
“คาดว่าเจ้าของโครงกระดูกที่กองเกลื่อนอยู่บนดวงดาวดวงนี้ น่าจะเป็นอสูรจิตที่ตายอย่างน่าอนาถอยู่บนกระบี่ผงาดเล่มนี้เมื่อหลายปีก่อน!”
“ดวงดาวดวงหนึ่งนั้นกว้างใหญ่มากเพียงใด? ต้องสังหารอสูรจิตไปมากเท่าใดถึงจะมีโครงกระดูกกองอยู่ทุกจุด? คงมีมากกว่าสิบล้านถึงหลายร้อยล้านเลยกระมัง?”
จิตใจของทุกคนล้สนหวาดหวั่นพรั่นพรึง กระบี่เทวตรีภพในตำนานอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้าขึ้นไปจับ
วิญญาณญาณอาฆาตที่มากมายเช่นนี้ ครั้นเมื่อยังมีชีวิตอยู่พวกเขาล้วนเป็นอสูรจิตที่ตายอย่างน่าอนาถอยู่ภายใต้กระบี่ผงาดเล่มนี้ ทันทีที่มีคนหยิบกระบี่ไป ก็จะถูกวิญญาณเหล่านี้แว้งกัดและโจมตีแน่นอน
หลัวซิวก็มาถึงที่แห่งนี้แล้ว เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวจิตใจเขาก็เข้มงวดขึ้นมาเช่นกัน เดิมทีตรีภพควรดูมืดครึ้ม แต่ทว่าสิ่งที่เขามองเห็นกลับเป็นกลิ่นคาวเลือดและการเข่นฆ่าอย่างโหดร้ายทารุณอย่างไร้ที่สิ้นสุด
กระบี่ผงาดอยู่ตรงหน้า ผู้คนกลับยั้งเท้า
เมื่อเห็นวิญญาณและญาณอาฆาตนับไม่ถ้วนที่ลอยวนวนเป็นเกลียวอยู่รอบกระบี่ผงาดนั่นแล้ว มาตรแม้นว่าเป็นผู้ที่ถือดีอย่างพระโอรสจ้านเทียนและมู่ช่าวหวงก็ไม่กล้าก้าวขึ้นไปข้างหน้าง่าย ๆ เช่นกัน
แม้แต่ตัวหลัวซิวก็ขมวดคิ้วลงด้วย สีหน้าท่าทางเข้มงวด หากวิญญาณและญาณอาฆาตนับล้านปะทุละก็ ต่อให้ผู้แข็งแกร่งจ้าวมหาเทพคนหนึ่งมาถึง เกรงว่าก็ต้องถูกกลืนกินจนไม่เหลือแม้แต่ซากกระดูก
ไม่มีผู้ใดสามารถสยบกระบี่ผงาดเล่มนั้นได้ นอกเสียจากว่าผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพจะย่างกรายมาด้วยตนเอง ทว่าผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพไม่สามารถเข้ามาในแดนเทวนิรันกาลได้เลยด้วยซ้ำ มาตรแม้นว่าเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็เข้ามาไม่ได้เช่นกัน
“เราไปกันเถอะ”
ในขณะที่สายตาของทุกคนล้วนถูกกระบี่ผงาดเลิศดึงดูดไปอยู่นั้น หลัวซิวก็พาจีเสี่ยวจื่อหันหลังแล้วเดินจากไป
“ศิษย์พี่ กระบี่ผงาดเล่มนี้……”ถึงแม้นี่จะเป็นกระบี่ผงาดเล่มหนึ่ง ทว่าสิ่งไม่ต้องสงสัยเลยก็คือมันต้องเป็นอาวุธเทพที่ไม่อาจมีสิ่งใดมาเทียบเทียมได้แน่นอน ไม่ว่าผู้ใดจะได้รับมันไป ศักยภาพล้วนต้องพุ่งพรวดอย่างมากแน่นอน ได้รับโชคที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่ง
ดังนั้นการเลือกที่จะจากไปของหลัวซิวจึงทำให้จีเสี่ยวจื่อรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
“ไม่มีผู้ใดสามารถแตะต้องกระบี่เล่มนั้นได้ ข้าทำไม่ได้ พวกมันก็ทำไม่ได้เช่นกัน”หลัวซิวพูดโดยการส่งเสียงผ่านตัวสำนึก
ในระหว่างที่คุยกันอยู่นั้น จีเสี่ยวจื่อก็ถูกเขาลากออกมาจากเหวลึกแล้ว เห็นเพียงนางหันหน้ากลับไปมองอยู่เป็นระยะ ส่วนหลัวซิวนั้นกลับไม่กังวลเลยแม้แต่น้อยว่าจะมีคนสามารถสยบและเอากระบี่ผงาดเล่มนั้นไปได้
หลัวซิวพาจีเสี่ยวจื่อเลือกจุดหยุดพักอยู่บนดวงดาวอีกดวงที่อยู่ในละแวกของดวงดาวที่มีกระบี่ผงาดตรีภพปักอยู่
“ข้าเตรียมพร้อมที่จะฝึกตนระยะหนึ่ง เจ้าก็ต้องทุ่มเวลาฝึกกฎปริภูมิให้มากกว่าเดิม หากสามารถฝึกกฎปริภูมิขึ้นไปถึงแดนขั้น 6 ได้ละก็ ศักยภาพของเจ้าจะไม่อ่อนกว่าพระโอรสจ้านเทียนนั่นมากเท่าไหร่นัก”หลัวซิวพูดกับจีเสี่ยวจื่อ