มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1953
“เตี๊ยง!”
ปราณกระบี่ตรีภพหนึ่งทะลวงอนัตตา เลือดสีแดงสดก็กระเด็นเหมือนฝนที่ตกหนักอย่างกับน้ำรั่วทันที ย้อมช่องว่างระหว่างดวงดาวจนแดงฉาน
ผู้ที่ลงมือคือชายหนุ่มที่อยู่ในชุดสีม่วงคนหนึ่ง ซึ่งอาวุธที่อยู่ในมือเขาก็คือกระบี่ผงาดเลิศที่มีเกณฑ์ตรีภพซ่อนอยู่นั่นเอง
มีตรีภพโกลาหลที่ไร้ขอบเขตแผ่กระจายออกมาจากด้านหลังของชายหนุ่มชุดม่วงคนดังกล่าว วิวัฒนาการจนกลายเป็นมหาโลกาใบหนึ่ง และตรงจุดศูนย์กลางของมหาโลกามมีตำหนักม่วงหลังหนึ่งกดอัดอยู่ พลังออร่าดูฮึกเหิมอย่างยิ่ง
มหาโลกาใบหนึ่งก็คือหนึ่งห้วงดารา ตั้งแต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน มีเพียงก่อนผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ดับสลายสูญสิ้น ถึงจะสามารถอาศัยพลังเทพสูงสุดมาบุกเบิกมหาโลกาใบหนึ่งได้
แต่บัดนี้ชายหนุ่มชุดม่วงนั่นยังไม่อยู่ในแดนมกุฎเทพ ก็สามารถวิวัฒนาการปรากฏการณ์พิลึกสร้างมหาโลกาใบหนึ่งของตัวเองออกมาได้แล้ว เท่านี้ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่าอนาคตเขามีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ของยุคสมัยหนึ่ง!
“เคล็ดตรีภพโกลาหล!?”
มีเสียงอุทานอย่างตะลึงของหงเทียนดังออกมาจากหอกมังกรแดงเลือด
หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย ดูเหมือนกับว่าปฏิกิริยาของหงเทียนจะอยู่ในการคาดหมายของเขา ตำหนักสีม่วงที่กดอัดอยู่กลางปรากฏการณ์พิลึกในมหาโลกาที่อยู่ด้านหลังชายหนุ่มชุดม่วงที่กำกระบี่ตรีภพไว้ในมือ ค่อนข้างคล้ายคลึงกับตำหนักจื่อเซียวที่หงเทียนเคยฝึกเซ่น
“การถ่ายทอดสืบสานที่มหาจักรพรรดิยุทธ์โกลาหลทิ้งไว้หรือ?”หลัวซิวถาม
“ไม่ใช่ แม้มหาจักรพรรดิยุทธ์โกลาหลจักบุกเบิกโลกาโกลาหล ทว่าเคล็ดตรีภพโกลาหลกลับไม่ใช่วรยุทธ์ที่เขาริเริ่ม”
สิ่งที่อยู่เหนือการคาดหมายของหลัวซิวคือหงเทียนปฏิเสธการคาดคะเนดังกล่าว แล้วอธิบายว่า: “เคล็ดตรีภพโกลาหลไม่ได้เป็นของมหาโลกาพันสาม แต่เป็นการถ่ายทอดสืบสานที่มาจากโลกมหาเสวียน!”
“เมื่อก่อนข้าเคยบอกกับเจ้าแล้วว่าในอดีตตระกูลหงของข้านั้นคือตระกูลมกุฎเทพในโลกมหาเสวียน สำหรับเจ้า ณ ปัจจุบัน บางทีตระกูลมกุฎเทพอาจจะเล็กน้อยมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงเลยด้วยซ้ำ ยิ่งกว่านั้นคือแค่อาศัยกำลังแรงของเจ้าเพียงผู้เดียว ก็สามารถล้มล้างตระกูลมกุฎเทพที่กล่าวถึงได้แล้ว แต่ทว่าตระกูลหงของข้ากลับไม่ใช่ตระกูลมกุฎเทพทั่วไป!”หงเทียนกล่าวเช่นนี้
“หมายความว่าอย่างไร?”หลัวซิวรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ในอดีตตระกูลมกุฎเทพเป็นอะไรที่ไกลโพ้นสำหรับเขามาก ๆ แต่จากศักยภาพของเขา ณ ปัจจุบันการสังหารมกุฎเทพนั้นมันไม่ใช่เรื่องยากอะไรจริง ๆ เดิมทีเขาวางแผนที่จะหาโอกาสบรรลุสัญญาที่เคยให้ไว้กับหงเทียนเมื่อปีนั้น แต่หงเทียนก็ไม่เคยเป็นฝ่ายที่พูดถึงเรื่องนี้เลย นี่จึงทำให้หลัวซิวรู้สึกสงสัยตลอดมา
“ในโลกามหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งแปด ตระกูลมกุฎเทพสามารถเทียบทัดสำนักจักรพรรดิในมหาโลกาพันสาม”มีความทอดถอนใจเล็กน้อยปนอยู่ในน้ำเสียงของหงเทียน
“ตระกูลมกุฎเทพ? สำนักจักรพรรดิ?”หลัวซิวผงะไปแล้ว
“เจ้าฟังไม่ผิด ในโลกามหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งแปด มกุฎเทพไม่ใช่แดนหนึ่งแดน แต่เป็นราชทินนาม! การแบ่งแยกแดนเทพมาร เทพฟ้า ราชาเทพ มกุฎเทพ จ้าวมหาเทพและจักรพรรดิเทพที่ว่านั้น เป็นเพียงการแบ่งแยกในมหาโลกาพันสาม”
“ในโลกามหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งแปด ตั้งแต่เทพมารถึงจักรพรรดิเทพล้วนเรียกว่าเทพมาร ตั้งแต่เทพมารระดับหนึ่งถึงเทพมารระดับหก ไม่ว่าเทพมารระดับหกคนใดจะมาถึงมหาโลกาพันสาม ก็ล้วนเทียบเท่าผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์”
“ยิ่งกว่านั้นคือในโลกามหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งแปด ยังมีเทพมารระดับเจ็ดตลอดจนเทพมารระดับเก้า!”
พูดได้เลยว่าหากวาจาของหงเทียนมิอาจพูดให้น่าตื่นใจ แม้นตายไปเขาก็ไม่คิดหยุดพัก มันทำให้โลกทัศน์และความรู้ของหลัวซิวพังทลายลงไปหมดแล้วจริง ๆ
เทพมารระดับหกก็เทียบเท่ามหาจักรพรรดิยุทธ์ในมหาโลกาพันสามแล้ว เช่นนั้นผู้ที่อยู่เทพมารระดับเจ็ดตลอดจนเทพมารระดับเก้าจะน่าสยดสยองมากเพียงใด?
“บัดนี้เจ้าน่าจะเข้าใจแล้วสินะ ในโลกามหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งแปด มีเพียงเทพมารระดับหกเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ได้รับราชทินนามของมกุฎเทพ”หงเทียนกล่าว
หลัวซิวสูดหายใจเข้าลึก ๆ กว่าจะย่อยข่าวคราวอันน่าทึ่งนี้ได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ก่อนจะพูดพึมพำ: “แล้วเมื่อนั้นที่เจ้าบอกกับข้าว่าสาเหตุที่ตระกูลหงของพวกเจ้าล่มสลายนั้น เป็นเพราะมีผู้ทรยศ เจ้าบอกว่าคอยข้าบรรลุถึงแดนมกุฎเทพถึงจะสามารถช่วยเจ้าแก้แค้นได้ หรือว่าเจ้าจักให้ข้าที่มีผลการฝึกตนมกุฎเทพไปสู้กับเทพมารระดับหกที่เทียบทัดมหาจักรพรรดิยุทธ์?”