มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1972
ดังนั้นเสิ่นปิงหยูจึงสามารถสัมผัสได้อยู่ว่าเหยียนโม่จงใจปิดบังตัวตนและความเป็นมาของตัวเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทันทีที่พระโอรสจ้านเทียนออกจากแดนเทวนิรันกาล เมื่อเขาไม่ทราบตัวตนของเหยียนโม่และศิษย์น้องเขา พระโอรสจ้านเทียนก็จะเบี่ยงเบนความสนใจมาทางเสิ่นปิงหยูและศิษย์น้องของนาง เนื่องจากสำหรับพระโอรสจ้านเทียนแล้ว ในเมื่อนางกับศิษย์น้องนางอยู่ร่วมกับศิษย์พี่ศิษย์น้องเหยียนโม่ เช่นนั้นพวกนางก็น่าจะทราบความเป็นมาของพวกเขาอยู่
เรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้ดูเหมือนซับซ้อน ทว่าแท้จริงแล้วคิดและประสานจุดสำคัญที่ซ่อนอยู่ภายในได้ง่ายมาก แต่ตอนแรกเริ่มนางและศิษย์น้องแค่ไม่ได้นึกคิดในเรื่องนี้เท่านั้นเอง
ยิ่งกว่านั้นคือไม่ใช่แค่พระโอรสจ้านเทียนเท่านั้น มู่ช่าวหวงและโอรสสวรรค์โชคลาภก็ต่างถูกเหยียนโม่สังหารเช่นกัน ตระกูลมู่สรรพสิทธิ์และตระกูลหงก็ไม่มีทางจบเรื่องนี้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามดังกล่าวของเสิ่นปิงหยู หลัวซิวแค่อมยิ้ม ไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด
เมื่อเสิ่นปิงหยูเห็นปฏิกิริยาของเขา นางก็รู้แล้วว่าเขาจะไม่บอกตัวเอง อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องถึงชีวิตของตนและครอบครัว
“อ้างอิงจากที่ท่านกล่าวมา ถึงแม้ข้าและศิษย์น้องกลับไปแล้ว ก็ต้องตกอยู่ในกำมือของสำนักจักรพรรดิจ้านเทียนหรือไม่ก็ตระกูลมู่และตระกูลหงแน่นอน พวกข้าต้องเดือดร้อนเพราะท่าน ท่านไม่คิดที่จะชดใช้บ้างเลยหรือ?”
วินาทีนี้เสิ่นปิงหยูที่เย็นเยือกดุจเทพธิดากลับเหมือนสาวน้อยที่สีหน้าอารมณ์เคียดแค้นคนหนึ่ง มองหน้าหลัวซิวด้วยความออดอ้อนเล็กน้อย
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร แต่หากไม่มีข้า เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้าพิโรธอย่างราบรื่น แล้วบรรลุสู่แดนมกุฎเทพสำเร็จหรือ?”
หลัวซิวยิ้มอ่อน “ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ข้าก็ลองนึกคิดดูแล้วเช่นกัน หากเจ้าอยากได้กระบี่ตรีภพและวิชาร่างตรีภพจริง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากหรอก เจ้าแค่ต้องตอบตกลงเงื่อนไขหนึ่งกับข้า”
“เงื่อนไขอะไรหรือ?”แววตาของเสิ่นปิงหยูดูเป็นประกายขึ้นมาในทันที ชั่วชีวิตนี้สิ่งที่นางไล่แสวงหาก็คือกลายเป็นจักรพรรดิหญิงของยุคสมัยหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขใด นางก็เตรียมพร้อมที่จะตอบตกลงแล้ว
เสิ่นปิงหยูรู้จักพรสวรรค์และสติปัญญาของตนเองดี อนาคตบางทีการบรรลุสู่แดนจักรพรรดิเทพอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าหากอยากกลายเป็นจักรพรรดิหญิงผู้ไร้เทียมทานในห้วงดาราของหนึ่งยุคสมัยละก็ ความหวังกลับมีริบหรี่มาก
ทว่าสำหรับนางแล้ว กระบี่ตรีภพและร่างตรีภพเป็นโอกาสที่เป็นหนึ่งไม่เป็นสองอย่างแน่นอน หากได้รับมันมา การจะบรรลุเป็นจักรพรรดิหญิงของยุคสมัยหนึ่งนั้น ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสมอไป
“เงื่อนไขนี้ของข้าพูดแล้วดูง่าย แต่ทว่ามันกลับไม่ง่ายเช่นกัน”หลัวซิวเขม็งมองดวงตาของเสิ่นปิงหยูพลางพูด: “ข้าจักให้เจ้าสาบานด้วยตัวธรรม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปต้องติดตามข้า และจักไม่มีวันทรยศ!”
“ไม่เพียงเจ้าผู้เดียวเท่านั้น ศิษย์น้องเจ้าก็ต้องสาบานด้วยตัวธรรมเช่นกัน อีกทั้งข้าจักร่ายตราประทับไว้ในช่องจิตหยั่งรู้ของพวกเจ้า”
เมื่อพูดคำพูดดังกล่าวออกมา สีหน้าของเสิ่นปิงหยูและเชี่ยนหยุนก็เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นการสาบานด้วยตัวธรรมหรือทิ้งตราประทับ ต่างสามารถพูดได้เลยว่าเป็นการฝากฝังความเป็นความตายของตัวเองไว้ในมือหลัวซิวโดยสิ้นเชิง
การสาบานด้วยตัวธรรมไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย ทันทีที่ทรยศจิตวิญญาณก็จะดับสลายสูญสิ้น เนื่องจากในการฝึกยุทธ์ ตัวธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เมื่อฝ่าฝืนตัวธรรมก็จะเป็นการฝ่าฝืนความคิดในวิถียุทธ์ของตน การตบะทั้งปวงจักพังทลายและไหลไปตามกระแสน้ำ
สำหรับเรื่องนี้ หลัวซิวก็ผ่านการตรึกตรองอย่างลึกซึ้งมาก่อนแล้วจริง ๆ
เขายืนยันทิศทางการฝึกยุทธ์ของตัวเองได้อย่างมั่นคงแล้ว นั่นก็คือฝึกวิถีแห่งหมื่นจักรวาลไร้รูป กระทั่งถึงขณะนี้สิ่งที่เขายังขาดแคลนก็คือต้องฝึกเซ่นอาวุธสงครามหรือของขลังแบบใด ถึงจะสอดคล้องกับวิถีแห่งหมื่นจักรวาลไร้รูปของตนเอง
เมื่อยืนยันวิถียุทธ์อย่างมั่นคงแล้วก็จะไม่เปลี่ยนแปลงอีก ซึ่งนี่คือการตัดสินใจของหลัวซิว
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นหินนิรันดร์ หรือกระบี่ตรีภพ วิถีแห่งเกณฑ์ที่แฝงซ่อนอยู่ภายในมันไม่เหมาะสมกับหลัวซิวแล้ว อนาคตหากเขาเดินขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของวิถียุทธ์ เขาก็ต้องใช้หมื่นจักรวาลไร้รูปของตัวเองไปวิวัฒนาการเกณฑ์ที่เป็นของตัวเอง