มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2011
นักยุทธ์แตกต่างจากชาวบ้านธรรมดาโดยสิ้นเชิง ร่างกายแข็งแกร่ง แต่ถ้าฝึกซ้อมอย่างเป็นระเบียบและมีพื้นฐานดี ก็จะสามารถปลดปล่อยศักยภาพที่น่าทึ่งออกมา
พอสิ้นเสียงคำสั่งของผู้บัญชาการเซียนเหล็กเฟยหยาง เซียนเหล็กเฟยหยางนับร้อยนายที่ดำเป็นแถบอยู่ด้านหลังเขาก็ปลดปล่อยไอหดหู่ออกมา จิตสังหารทั้งหมดรวมกันเป็นหนึ่ง มากมายมหาศาล ราวกับประกอบเป็นสนามสังหารซิวหลิว จิตสังหารสูงเทียมฟ้า
“ทลาย!”
จีเสี่ยวจื่อตวาดอย่างอ่อนช้อยน่ารักคำหนึ่ง ฟาดฟันกระบี่ออกไปหนึ่งครั้ง อนัตตาถูกทำลายล้าง
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! ……
แสงโลหิตแย้มบานกลางอากาศ ในบรรดาเซียนเหล็กเฟยหยางนับร้อยนาย มีร่างกายของคนครึ่งหนึ่งถูกฟันจนแตกสลาย กลายเป็นหมอกเลือด จากนั้นเลือดสีแดงสดก็พรั่งพรูลงมาดั่งสายฝน
เซียนเหล็กเฟยหยางเหล่านี้ไม่ใช่นักยุทธ์ธรรมดาทั่วไปเชียวนะ เงื่อนไขพื้นฐานของการเป็นเซียนเหล็กเฟยหยางนั้นต้องมีผลการฝึกตนราชาเทพ ส่วนผู้บัญชาการเซียนเหล็กเฟยหยางนั้นยิ่งมีผลการฝึกตนกึ่งมกุฎเทพ
เซียนเหล็กเฟยหยางนับร้อยสามารถจัดวางค่ายกล ปลดปล่อยศักยภาพที่เทียบเท่ามกุฎเทพขั้นปฐมภูมิออกมา ทว่ากลับเสียชีวิตไปเกือบครึ่งภายใต้กระบี่เดียวของคนคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ?
“เจ้า……เจ้าคือผู้ใดกันแน่?”ผู้บัญชาการของเซียนเหล็กเฟยหยางนั่นก็ตะลึงงันเช่นกัน เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามกล้าควบคุมเรือรบลอยอยู่กลางนภาเมืองเฟยหยาง เขาก็ทราบแล้วว่าฝ่ายตรงข้ามน่าจะไม่ธรรมดา
แต่เขาคิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะแข็งแกร่งเช่นนี้ สตรีนางหนึ่งที่อยู่ข้างกายก็เก่งกาจจนเหลือเชื่อแล้ว หนึ่งกระบี่ก็ทลายอำนาจบารมีของเซียนเหล็กเฟยหยาง สังหารคนเกือบสองร้อยคน?
“เสียงดังชิบหาย!”
ครั้งนี้หลัวซิวไม่ได้เป็นคนเอ่ยปากพูด แต่เป็นจีเสี่ยวจื่อที่ลงมือโจมตีในเมื่อครู่นี้
จากผลการฝึกตนแดนมกุฎเทพของนาง บวกกับความน่าเกรงขามของกระบี่ในเมื่อครู่นี้ เสียงตะคอกอันเยือกเย็นนี้ก็ดูมีอำนาจบารมีสูงมาก ๆ บุคลิกน่านับถือราวกับผู้มีความสามารถยอดเยี่ยมในหมู่สตรี
แน่นอนอยู่แล้วว่านางเลียนแบบมาจากหลัวซิว เนื่องจากทุกครั้งที่ศิษย์พี่หลัวรู้สึกรำคาญและตะคอกคำว่าเสียงดังชิบหายอย่างเยือกเย็น เขาก็จะลงมือโจมตีรวดเร็วปานสายฟ้าทุกครั้ง ข่มจนฝ่ายตรงข้ามไม่กล้าแม้แต่จะตด
ดังนั้นจีเสี่ยวจื่อจึงลงมือโจมตีอีกครั้ง นางก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าว กระบี่ยุทธ์ที่อยู่ในมือลอยขึ้นกลางอากาศ แสงกระบี่ที่ยาวหลายร้อยไมล์ฟาดฟันลงไป มโหฬารพันลึกดุจทางช้างเผือก
ตู้มม!
ผลการฝึกตนของผู้บัญชาการเซียนเหล็กเฟยหยางนั่นเป็นเพียงกึ่งมกุฎเทพเท่านั้น อีกทั้งเป็นนักยุทธ์โลกามนุษย์ ศักยภาพของเขาและจีเสี่ยวจื่อแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว กระบี่นี้ยังไม่ทันได้ผ่าฟันลงไป แค่อำนาจบารมีของแสงกระบี่เท่านั้น ก็กดอัดจนเขากระอักเลือดเฮือกใหญ่ ร่างกายกระเด็นออกไป หนังกล้ามเนื้อตามร่างกายแตกร้าว
หลัวซิวมองดูภาพเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างเรียบนิ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับเขาแล้ว ท้ายที่สุดจีเสี่ยวจื่อก็ยังไม่มีหัวใจที่โหดเหี้ยมมากพอ พลานุภาพของการโจมตีนี้ทรงพลัง ทว่ากลับมีความเมตตาแฝงอยู่เล็กน้อย ดังนั้นจึงแค่ทำให้ผู้บัญชาการเซียนเหล็กเฟยหยางนั่นบาดเจ็บสาหัส ซึ่งไม่ถูกสังหารแต่อย่างใด
แต่ทว่าหลัวซิวก็ไม่ได้พูดอะไรต่อเรื่องนี้เช่นกัน เขาฆ่าคนโหดเหี้ยมไร้ความปราณี ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องให้ผู้คนที่อยู่ข้างกายตนเป็นอย่างตนเอง หากจีเสี่ยวจื่อเปลี่ยนเป็นคนอย่างเขาจริง ๆ เช่นนั้นนางก็จะไม่ใช่จีเสี่ยวจื่ออีกต่อไปแล้ว
อำนาจบารมีของการโจมตีในสองครั้งนี้ ข่มขวัญศัตรูได้มากพอแล้ว ในเซียนเหล็กเฟยหยางไม่มีคนใดที่ยังสามารถยืนต่อไปได้ ร่างกายของผู้บัญชาการเซียนเหล็กเฟยหยางนั่นเกือบแหลกสลาย คลานอยู่บนพื้น แม้แต่นิ้วมือก็ยังขยับไม่ได้
“เวิ่ง!”
และในเวลานี้เอง ก็มีม่านแสงที่แวววาวจับตาเลื่อนขึ้นมาจากทั่วทุกสารทิศในเมืองเฟยหยาง ประกอบเป็นม่านแสงคุ้มกันครึ่งวงกลม ทำการปกคลุมเมืองเฟยหยางเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีช่องว่างเลยแม้แต่จุดเดียว
มีพลังออร่าที่แข็งแกร่งจำนวนมากลอยออกมาจากสำนักงานใหญ่ของสมาคมเฟยหยาง สำนักหนานเหมินและผู้อาวุโสสามคนที่สีหน้าเยือกเย็นเดินออกมา
“แม่นางคือผู้ใด? เหตุใดจึงต้องยั่วยุสมาคมเฟยหยางของข้า?”สำนักหนานเหมินเขม็งมองจีเสี่ยวจื่อพลางถาม
สภาพแวดล้อมและปัจจัยในการฝึกตนของโลกามนุษย์ ไม่สามารถเทียบเคียงกับกองกำลังใหญ่ในโลกาชั้นฟ้า ดังนั้นการที่สามารถฝึกตนถึงแดนมกุฎเทพทั้งที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่นั้น มันเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในโลกามนุษย์