มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2044
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2044
ในส่วนของภัยพิบัติเมื่อหลายหมื่นปีก่อน เหตุการณ์ที่เทพสงครามเอกภพดับสลายสูญสิ้น ผู้เฒ่านภากาศกำลังฝึกตนปิดขัง เตรียมพร้อมที่จะบรรลุจากมกุฎเทพขั้น 3 ขึ้นไปขั้น 4 มิเช่นนั้นละก็ เมื่อปีนั้นหากมีผู้เฒ่านภากาศ ใช่ว่าเรื่องราวทุกอย่างจะเป็นอย่างปัจจุบันเสมอไป
“มิต้องพิธีรีตองหรอก”ผู้เฒ่านภากาศปัดมือไปมาโดยไม่คิดอะไรมาก จู่ ๆ เขาก็ถอนหายใจทีหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ พูด: “ซิงเฉิน ถึงแม้จะมีการคุ้มครองจากข้า แต่ก็ต้านทานสำนักที่มีอำนาจใหญ่โตอย่างสำนักไท่ฉือไม่ได้หรอก ถอยออกไปจากดาวเคราะห์ดวงนี้เพื่อหลบหลีกความอันตรายชั่วคราวก่อนไหม ถึงครานั้นหากสำนักไท่ฉือไม่พบของล้ำค่าที่นี่ ข้ายังสามารถคิดหาหนทางให้ตระกูลเทพสงครามของพวกเจ้ากลับมาที่นี่อีก”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว จึงมีความขมขื่นปรากฏบนใบหน้าของซิงเฉิน เขาต้องทราบดีอยู่แล้วว่าคำแนะนำนี้ของผู้เฒ่านภากาศเป็นหนทางที่ดีที่สุด ทว่าที่นี่คือสถานที่ของบรรพบุรุษของตระกูลเทพสงคราม จะยอมแพ้ง่าย ๆ ได้อย่างไรเล่า?
มิหนำซ้ำ จากคำพร่ำสอนของบรรพบุรุษที่สืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคนของตระกูลเทพสงคราม พวกเขาจำเป็นต้องปกป้องของชิ้นนั้นอย่างสุดกำลังสามารถ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อเห็นว่าซิงเฉินไม่พูดอะไร ผู้เฒ่านภากาศจึงขมวดคิ้วลงเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะพูด: “ตระกูลเทพสงครามของพวกเจ้าคงไม่ได้มีของล้ำค่าอะไรนั่นจริง ๆ หรอกใช่ไหม? หากมีจริง ๆ ละก็ ส่งให้สำนักไท่ฉือดีกว่า หากเป็นของล้ำค่าที่ทรงพลังจริง ๆ จากภูมิฐานของตระกูลเทพสงครามพวกเจ้าก็ปกป้องมันไว้ไม่ได้หรอก”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ผู้เฒ่านภากาศก็ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้เช่นกัน ถึงแม้เขาจะเป็นมกุฎเทพคนหนึ่ง ถือว่าพอมีสิทธิ์มีเสียงในธาตุดาราอัมพรเทวอยู่บ้าง แต่ก็ต้องดูก่อนว่าฝ่ายตรงข้ามคือผู้ใด สำหรับสำนักที่มีอำนาจยิ่งใหญ่อย่างสำนักไท่ฉือแล้ว คุณค่าของมกุฎเทพช่วงกลางอย่างเขาไม่ถือว่ายิ่งใหญ่อะไร
“สำนักไท่ฉือเลยนะนั่น หนึ่งในสามสำนักหกตระกูลในธาตุดาราอัมพรเทว อีกทั้งศักยภาพของสามสำนักแข็งแกร่งกว่าหกตระกูลเล็กน้อย ตำแหน่งของเทพธิดานั่นในสำนักไท่ฉือแทบจะใกล้เคียงกับผู้อาวุโส ข้าก็จนปัญญาเช่นกัน!”
ผู้เฒ่านภากาศส่ายหน้า “ฟังคำแนะนำของข้า ยอมแพ้ซะเถิด มิเช่นนั้นทันทีที่ทำให้สำนักไท่ฉือกราดเกรี้ยวขึ้นมาจริง ๆ มันจะนำพาหายนะแห่งการถูกล้มล้างมาสู่ตระกูลเทพสงครามของพวกเจ้า”
และในเวลานี้เอง ผู้เฒ่านภากาศก็มองเห็นพวกหลัวซิว โดยเฉพาะเมื่อสายตาล่วงลงบนตัวจีเสี่ยวจื่อ ฉียู่หรงและหนิงหานยู่ สีหน้าอารมณ์เขาก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
เขาคือผู้แข็งแกร่งที่มีผลการฝึกตนมกุฎเทพขั้น 4 ส่วนจีเสี่ยวจื่อและฉียู่หรงก็เป็นมกุฎเทพเช่นกัน อีกทั้งผลการฝึกตนต่ำกว่าเขาเล็กน้อย เรื่องนี้ต้องหนีไม่พ้นกระแสสัมผัสของผู้เฒ่านภากาศอยู่แล้ว วินาทีนี้มีมกุฎเทพสองคนปรากฏในตระกูลเทพสงคราม จะทำให้ผู้เฒ่านภากาศไม่ตกตะลึงได้อย่างไรเล่า?
“ไม่ทราบว่าเทพธิดาทั้งสองท่านนี้คือ?”ผู้เฒ่านภากาศเดินตรงมา เอามือทั้งสองประสานกันแล้วยกขึ้นในระดับหน้าอกพลางสอบถามอย่างเกรงใจมาก
“พวกข้ามาพร้อมกับคุณชายเจ้าค่ะ”ฉียู่หรงยิ้มอ่อนพลางตอบกลับ
บัดนี้ผู้เฒ่านภากาศถึงจะสังเกตเห็นหลัวซิว เนื่องจากพลังออร่าที่ปลดปล่อยออกมาจากตัวหลัวซิว ณ วินาทีนี้เป็นเพียงเทพฟ้าขั้นปฐมภูมิ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้ใส่ใจเลยด้วยซ้ำ
แต่ทว่าเมื่อลองสังเกตดูดี ๆ อีกรอบหนึ่ง ก็จะค้นพบว่า สตรีทั้งสองนางที่มีผลการฝึกตนมกุฎเทพต่างยึดชายหนุ่มคนดังกล่าวเป็นหลักอย่างนั้นหรือ ราวกับว่าในบรรดาพวกเขาทั้งหมด ชายหนุ่มที่เป็นราชาเทพขั้นปฐมภูมิถึงจะเป็นบุคคลที่เป็นแกนสำคัญ
ในฐานะที่เป็นเฒ่าประหลาดที่มีชีวิตมานานหลายแสนปี ผู้เฒ่านภากาศไม่มีทางเป็นคนที่ไร้สมองคนหนึ่ง ถึงแม้ผลการฝึกตนของชายหนุ่มดังกล่าวจะไม่ได้โอ่อ่าอะไร แต่ฐานะตัวตนเขาอาจจะสูงส่ง ดังนั้นเขาจึงทำท่าคารวะพลางถามอย่างเกรงใจมาก ๆ อีกเช่นเคย: “ไม่ทราบว่าควรเรียกคุณชายท่านนี้อย่างไรดีขอรับ?”
ซิงเฉินที่อยู่ข้าง ๆ ไม่ได้พูดอะไร แท้จริงแล้วเขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าความเป็นมาของชายหนุ่มที่ส่งซากกระดูกของท่านพ่อกลับมานี้เป็นอย่างไรกันแน่ ยิ่งกว่านั้นคือเขาไม่ทราบแม้กระทั่งชื่อของฝ่ายตรงข้าม