มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2400
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2400
“ผู้คุมกฎมู่ ตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว” หลัวซิวพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ท่านชายหลัวข้าน้อยขอลา!” มู่กว่างเต๋อไม่อยากที่จะอยู่ต่อแม้อีกเพียงหนึ่งวินาที หลังจากกำมือคารวะ ก็หมุนตัวกลายเป็นลำแสงบินออกไป
เมื่อเห็นว่าหลัวซิวปล่อยมู่กว่างเต๋อไปเช่นนี้ ฉินเฟยเสวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้พูดสิ่งใด เพราะนางรู้ดีว่าหลัวซิวกับตนก็เป็นเพียงแค่การบังเอิญพบกันเท่านั้น ความรู้สึกเช่นนี้ มันยังไม่ลึกซึ้งจนถึงขั้นที่ทำให้เขายอมก้าวล่วงตระกูลมู่สรรพสิทธิ์เพื่อเรื่องของนาง
“แม่นางฉิน ในใต้หล้านี้เดิมทีไม่มีการสืบทอดและสำนักใดที่คงอยู่เป็นนิรันดร์ไม่ล่มสลาย วังอัมพรตรีภพคือแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งของสรรพมหาโลกานั่นเป็นความจริง แต่การขึ้นสู่จุดสูงสุดของวังอัมพรตรีภพ ก็ย่อมต้องกำจัดกองกำลังจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้นมาที่ละก้าว ในเมื่อวังอัมพรตรีภพสามารถทำลายกองกำลังอื่นเพื่อเหยียบขึ้นไปได้ เช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วต้องมีวันหนึ่งที่ถูกคนทำลายได้เช่นกัน นั่นคือเรื่องหนึ่งที่เห็นได้ทั่วไป”
หลัวซิวค่อย ๆ อธิบาย “ดังนั้นในเรื่องนี้ ข้าจึงไม่มีเหตุผลที่จะเข้าไปแทรกแซง”
สำหรับหลัวซิวแล้ว เขาก็กระทำของเขาต่างก็มีหลักการของตนเอง ในความจริงตระกูลมู่ทำลายล้างวังอัมพรตรีภพ ก็เหมือนกับที่เผ่าจี้ทำลายสวนเขาเขี้ยวมังกร ทั้งหมดนี้ก็เพื่อขยายกองกำลังและมรดกของตนเอง ท่ามกลางโลกของผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ นี่เป็นเรื่องที่ปกติเป็นอย่างยิ่ง ไม่สามารถตัดสินได้ว่าถูกหรือผิด
“ท่านชายหลัวกล่าวถูกต้องแล้ว เป็นเฟยเสว่ที่คิดมากเกินไปเอง” ฉินเฟยเสวพูดอย่างขมขื่น “ถ้าหากว่าไม่ได้การปรากฏตัวขึ้นของท่านชาย บางทีข้าอาจจะตายไปแล้วก็เป็นได้ ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ก็ถือว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่งแล้ว”
ถึงฉินเฟยเสวจะพูดเช่นนี้ แต่หลัวซิวก็รู้ดีว่าในใจของนางไม่ได้คิดได้จริง ๆ กลับกันหากเป็นตัวเขาเอง หลัวซิวคาดว่าตนก็ไม่มีทางที่จะสามารถละทิ้งความแค้นที่สำนักถูกทำลายลงได้เช่นกัน ดังนั้นเขาจะมีสิทธิ์ไปว่าฉินเฟยเสวได้อย่างไร
“ท่านชาย ผังเปิดสวรรค์มหาเทวะนี้ ข้ามอบให้ท่านชาย ถือเป็นการขอบคุณและเป็นสิ่งตอบแทนต่อบุญคุณที่ท่านชายได้ช่วยชีวิตเอาไว้” ฉินเฟยเสวยื่นม้วนผังในมือส่งให้กับหลัวซิวอย่างกระทันหัน
ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าผังเปิดสวรรค์มหาเทวะนี้คือสมบัติแบบใด แต่สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งตระกูลมู่ไล่ล่ามาตลอดเพื่อที่จะแย่งชิงมันไป ย่อมไม่ใช่สิ่งธรรมดาทั่วไปแน่นอน แต่หลัวซิวกลับไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวไปกับสิ่งนี้เลย
เขากำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ แต่กลับเห็นฉินเฟยเสวพูดพร้อมรอยยิ้มขมขื่น “ขอท่านชายโปรดอย่าได้ปฏิเสธเลย ด้วยผลการฝึกตนของข้าหากครอบครองสมบัติเช่นนี้ รังแต่จะทำให้ข้าพบพานแต่เรื่องร้าย ท่านชาย จะถือว่าข้าฝากมันไว้กับท่านชายก่อนก็ได้ หากถึงวันหนึ่งที่ข้ามีผลการฝึกตนที่สูงมากพอ ท่านชายค่อยคืนมันให้กับข้าก็ได้”
คำพูดของฉินเฟยเสวนี้สมเหตุสมผลอย่างมาก นางเป็นจอมยุทธ์แดนมกุฎเทพช่วงปลายคนหนึ่ง ในมหาโลกาพันสามที่สุดแสนกว้างใหญ่นี้ไม่ได้ถือว่ามีความสำคัญแต่อย่างใดเลย การที่ในตัวมีสมบัติเช่นนี้อยู่ ตรงกันข้าม มันเป็นเรื่องง่ายที่จะดึงดูดความโลภของผู้อื่นเสียด้วยซ้ำ
อีกทั้งนางยังได้มอบสมบัติชิ้นนี้ให้กับหลัวซิวต่อหน้าสายตาของผู้คนเพื่อไหว้วานขอให้เขาช่วยเก็บไว้อย่างปลอดภัย เช่นนั้นผู้อื่นก็จะไม่จับตาดูนางอีกต่อไป อีกทั้งยังทำให้ทุกคนได้รู้ว่า เบื้องหลังของนาง ยังมีผู้แข็งแกร่งท่านหนึ่งที่แม้แต่ผู้คุมกฎตระกูลมู่ยังต้องหวาดเกรงคอยหนุนหลังอีกด้วย!
ต้องยอมรับจริง ๆ ว่า แม่นางฉินเฟยเสวผู้นี้ เป็นผู้ที่ชาญฉลาดมากจริง ๆ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะช่วยดูแลไว้ให้แม่นาง หากว่าเจ้าต้องการรับมันคืน ก็สามารถไปหาข้าได้ที่เผ่าจี้ของดารายอดอัมพร” หลัวซิวพูดพร้อมกับพยักหน้า
ทีท่าของผู้คุมกฎจ้าวมหาเทพตระกูลมู่ที่ทั้งเคารพและหวาดกลัวต่อหลัวซิว มีคนจำนวนมากที่เห็นเหตุการณ์นี้ ดังนั้นในตอนที่ฉินเฟยเสวมอบผังเปิดสวรรค์มหาเทวะให้กับหลัวซิว จึงไม่มีผู้ใดกล้าเกิดความคิดโลภขึ้นมาในใจแม้สักนิดเดียว
ผังเปิดสวรรค์มหาเทวะนี้ ว่ากันว่าอาจารย์ปู่ของวังอัมพรตรีภพได้รับสมบัติลับนี้มาโดยบังเอิญ คือผู้แข็งแกร่งจ้าวมหาเทพช่วงปลาย ว่ากันว่าอาศัยผังเปิดสวรรค์มหาเทวะ สังหารจักรพรรดิเทพคนหนึ่ง สยบใต้หล้าได้