มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 249 วิชาสยบวิญญาณได้ถูกถอนออก
บทที่ 249 วิชาสยบวิญญาณได้ถูกถอนออก
“หลัวซิว ข้ามอบหยวนหยินให้เจ้า จากนั้นเจ้าค่อยฆ่าข้าเถอะ!” นางมองหลัวซิวทั้งน้ำตาพลางกล่าว
นางยินยอมที่จะมอบหยวนหยินให้กับหลัวซิว ก็ไม่ยอมที่จะมอบให้ราชวงศ์ตระกูลฝาน เพราะในหัวใจของนางนั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้นที่มีต่อราชวงศ์ตระกูลฝาน
หลัวซิวไม่ได้ตอบอะไร แต่ได้ส่งเสียงผ่านตัวสำนึกเพื่อสื่อสารกับหลงหมิง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำเช่นไรถึงจะสามารถถอนวิชาสยบวิญญาณได้?”
ในปัจจุบัน วิชาสยบวิญญาณเป็นเคล็ดวิชาที่แทบจะไม่สามารถทำลายถอดถอนได้ ทำได้เพียงอาศัยผลการฝึกตนของตัวเองทะลวงพันธนาการ
“ถ้าหากเป็นวิชาสยบวิญญาณระดับล่าง ข้าพอจะรู้เคล็ดวิชาอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่การถอน แต่เป็นการแย่งชิงอำนาจในการควบคุม” หลังจากที่หลงหมิงครุ่นคิดอยู่สักพัก ก็ได้ค้นพบบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับวิชาสยบวิญญาณจากความทรงจำในสมัยโบราณ
“แย่งชิงอำนาจในการควบคุม?” หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย ตามที่หลงหมิงได้กล่าวมานั้น เขาสามารถควบคุมวิชาสยบวิญญาณในตัวหยั่งรู้ของปี้เซียนเสว่ได้โดยใช้เคล็ดวิชาวิญญาณโบราณบางอย่างได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ราชวงศ์ตระกูลฝานก็จะไม่สามารถควบคุมการเป็นตายของนางผ่านทางวิชาวิญญาณโบราณได้ การควบคุมความเป็นตายของนางจะตกมาอยู่ในมือของตน
“แหะ ๆ ร่างแห่งเสวียนหยินนั้นเป็นหนึ่งในสุดยอดเตากลั่นยา นอกจากจะสามารถทำให้ผลการฝึกตนเพิ่มระดับขึ้นอย่างรวดเร็วในตอนที่ได้รับครั้งแรกแล้ว การฝึกตนด้วยกันโดยเปลื้องอาภรณ์ระหว่างหญิงชายยังสามารถดูดซับพลังเสวียนหยินผนึกรวมปราณแท้ ผลดีไม่มีที่สิ้นสุด” หลงหมิงยิ้มกริ่มพลางกล่าว
หลัวซิวไม่ได้สนใจคำพูดเหล่านี้ของหลงหมิง และได้หันกลับไปหาปี้เซียนเสว่ กล่าว: “วิชาสยบวิญญาณของเจ้าข้าไม่อาจถอนได้ แต่ข้าสามารถใช้เคล็ดวิชาบางอย่างแย่งชิงอำนาจในการควบคุมวิชาสยบวิญญาณมา เจ้าคิดเอาเองแล้วกัน”
“จริงหรือ?” คำพูดของหลัวซิว ทำให้ปี้เซียนเสว่เป็นเหมือนดั่งคนจมน้ำที่คว้าฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้ “ข้ายินดีให้เจ้าควบคุมวิชาสยบวิญญาณของข้า”
แม้ว่านางจะไม่รู้จักนิสัยของหลัวซิวสักเท่าไร แต่อย่างน้อยในความทรงจำของนางนั้น เขาดีกว่าคนของราชวงศ์ตระกูลฝานหลายเท่า
ยังไงเสียวิชาสยบวิญญาณก็ไม่สามารถถอนได้ แทนที่จะถูกราชวงศ์ตระกูลฝานควบคุมต้องกลายเป็นเตากลั่นยาที่คนอื่นใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มระดับผลการฝึกตนในไม่ช้าก็เร็ว ไม่สู้ลองเดิมพันสักครั้ง ให้หลัวซิวควบคุมวิชาสยบวิญญาณ ไม่แน่ว่าโชคชะตาอาจจะไม่หดหู่เช่นนั้นก็เป็นได้
“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะให้ข้าควบคุมวิชาสยบวิญญาณ?” หลัวซิวถามอีกครั้ง
“ข้ามั่นใจ” ปี้เซียนเสว่ตอบอย่างไม่ลังเล
ในขณะเดียวกันนั้น หลงหมิงก็ได้ใช้ตัวสำนึกส่งเสียง สอนเคล็ดวิชาแย่งชิงอำนาจในการควบคุมวิชาสยบวิญญาณให้กับเขา “เคล็ดวิชาชนิดนี้ทำได้เพียงแย่งชิงอำนาจในการควบคุมวิชาสยบวิญญาณระดับล่าง ถ้าหากวิชาสยบวิญญาณที่ถูกลงในร่างกายของแม่นางน้อยคนนี้เป็นระดับกลางขึ้นไป เคล็ดวิชานี้ก็จะใช้ไม่ได้ผล”
ปี้เซียนเสว่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น หลัวซิวใช้นิ้วมือหนึ่งนิ้วจิ้มลงไปบนบริเวณจุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วของปี้เซียนเสว่ “เจ้าจะเปลี่ยนใจในตอนนี้ก็ยังทัน”
ดวงตาของปี้เซียนเสว่สั่นไหว “รบกวนเจ้าแล้ว”
จากนั้นนางก็หลับตาลง เหมือนกับได้ยอมจำนนแก่ชะตากรรม
เมื่อเห็นว่านางได้ตัดสินใจแล้ว หลัวซิวก็ไม่พูดมากอะไรอีก ตัวสำนึกเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของนาง
“ผู้ใดกันที่กล้าแตะต้องวิชาสยบวิญญาณของข้า?”
ในตอนที่หลัวซิวใช้เคล็ดวิชาเพื่อแย่งชิงอำนาจในการควบคุมวิชาสยบวิญญาณนั่นเอง คลื่นพลังตัวสำนึกสายหนึ่งก็ได้ดังลอยมาจากแสงสีทอง
เป็นที่ประจักษ์ ในตอนที่เขาแย่งชิงอำนาจในการควบคุมวิชาสยบวิญญาณ เจ้าของคนเดิมของวิชาสยบวิญญาณได้สัมผัสถึงมันแล้ว
หลัวซิวส่งเสียงหึออกมาหนึ่งครั้ง และแสดงเคล็ดวิชาต่อไป ในเมื่อได้ลงมือแล้วก็ไม่มีทางที่จะหันหลังกลับ ต้องเป็นปรปักษ์กับราชวงศ์ตระกูลฝานแล้วยังไง?
ไม่นานหลังจากนั้น หลัวซิวก็ได้แย่งชิงอำนาจในการควบคุมวิชาสยบวิญญาณมาได้ และได้ทิ้งตราของตนเอาไว้ในแสงที่ของที่เกิดจากวิชาสยบวิญญาณ
เพียงแค่เขาคิด ก็สามารถควบคุมการเป็นตายของปี้เซียนเสว่ได้ตามอำเภอใจ และสำหรับทุกคำสั่งของตน นางล้วนไม่สามารถขัดขืนได้
นี่ก็คือความน่ากลัวของวิชาสยบวิญญาณ นักยุทธ์จำนวนมากยอมที่จะตาย แต่ก็ไม่ยอมที่จะถูกผู้อื่นลงวิชาสยบวิญญาณมา กลายเป็นหุ่นเชิดให้ผู้อื่นควบคุมไปตลอดชีวิต
……
เมืองเทียนหวู ในส่วนลึกของพระราชวังที่ราชวงศ์ตระกูลฝานพำนัก
ตูมมม!
เสียงดังกระหึ่มดังลอยออกมาจากตำหนักหนึ่ง ชายชราในชุดสีทองผู้หนึ่งโกรธจัดจนผมตั้งชัน ลอยตัวออกมาจากตำหนัก ยืนอยู่กลางอากาศ ที่รอบการแผ่ซ่านไปด้วยรัศมีพลังอันทรงพลังของผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์
ที่บริเวณหน้าอกของเขา แขวนตราปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 5 เอาไว้
การเคลื่อนไหวทางด้านนี้ ได้ดึงดูดผู้แข็งแกร่งตระกูลฝานที่อยู่ในวังทันที เงาร่างสายหนึ่งลอยออกมา ซักถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“วิชาสยบวิญญาณถูกถอนเช่นนั้นรึ?”
“มันเป็นไปได้ยังไง วิชาสยบวิญญาณโบราณเป็นเคล็ดวิชาที่ไม่อาจถอนได้ ใครกันที่มีความสามารถเช่นนั้น?”
“นั่นน่ะสิ ร่างแห่งเสวียนหยินเข้าไปในแดนปริศนา ที่ร่วมเดินทางนั้นต่างก็มีผลการฝึกตนที่ต่ำกว่าแดนราชายุทธ์ แค่ผู้ฝึกจิตจะสามารถถอนเคล็ดวิชาโบราณได้อย่างไรกัน?”
“ไปสืบมาให้ข้า รีบส่งคนไปเฝ้าที่ด้านนอกแดนปริศนา สืบที่มาที่ไปของทุกคนที่เข้าไปในแดนปริศนาให้ชัดเจนอีกรอบ!”
เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความปั่นป่วนไม่น้อยขึ้นในวังตระกูลฝาน ไม่นานก็มีผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์นำทัพ ขับเคลื่อนเรือรบอีกลำของราชวงศ์ตระกูลฝาน ทหารเสือดำนับพันยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือรบไอสังหารแผ่ซ่านไปทั่วร่าง บินมุ่งหน้าไปทางแดนปริศนา
ขณะเดียวกันนั้น ในแดนปริศนา หลัวซิวพาปี้เซียนเสว่เดินมุ่งหน้าต่อไปยังส่วนลึกของแดนปริศนา
หลังจากที่ได้แย่งชิงอำนาจในการควบคุมวิชาสยบวิญญาณตัวหยั่งรู้ของปี้เซียนเสว่มา หลัวซิวก็รู้สึกหนักใจขึ้น
เรื่องตระกูลเหยียนยังไม่ทันคลี่คลาย ตอนนี้ยังได้สร้างปัญหาแคลงใจกับราชวงศ์ตระกูลฝาน ในเวลานี้ราชวงศ์ตระกูลฝานคงได้นำกองกำลังทหารมาปิดล้อมแท่นบูชาค่ายวาร์ปโบราณแห่งนี้ไว้แล้วเป็นแน่
แต่ในเมื่อได้ทำลงไปแล้ว ก็ไม่อาจที่จะหันหลังกลับ หลัวซิวทำได้เพียงสลัดความคิดเหล่านี้ออกไปก่อน พยายามเพิ่มระดับความแข็งแกร่งของตนในตอนที่อยู่ในแดนปริศนาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ถึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้
ตูมมม!
จู่ ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังกระหึ่มขึ้น ดึงดูดความสนใจของหลัวซิว นอกจากนี้แล้วเขายังสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังจิตอันแข็งแกร่ง
เขารีบเหยียบลอยไปในอากาศทันที ปี้เซียนเสว่ติดตามอยู่ที่ข้างกายของเขา โดยไม่ห่างไปไหน
ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งสองก็ได้มีถึงจุดที่ส่งเสียงระเบิด ที่แห่งนี้เป็นแอ่งเตี้ย ๆ ที่มีขอบเขตไม่ใหญ่สักเท่าไร ปรมาจารย์ฝึกจิตของกองกำลังต่าง ๆ ราวยี่สิบกว่าคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ มีบางคนที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือด และมีบางคนที่กำลังขุดหลุมอยู่ในแอ่งเตี้ย ๆ เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง กระแสสัมผัสของตัวสำนึกแพร่กระจายออกไป หลัวซิมพบว่ามีปราณหยินอยู่ในแอ่งเตี้ย ๆ แห่งนี้อย่างหนาแน่น บางทีอาจจะมีสมบัติบางอย่างอยู่จริง ๆ
ทันใดนั้น ตัวสำนึกของหลัวซิวก็สังเกตเห็นปรมาจารย์ฝึกจิตผู้หนึ่งได้ขุดเอาหินแก้วดำขนาดเท่าเล็บมือออกมาจากดินโคลน แผ่ซ่านพลังหยินสุดขั้วที่บริสุทธิ์ออกมา
“หินหยิน?” หินแก้วดำที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายนั้น ทำให้รู้ม่านตาของหลัวซิวหดลงเล็กน้อย
ตอนที่อยู่หุบเขากุ่ยอินในเทือกเขากวนเหลยในตอนนั้น หลัวซิวเคยได้หินหยินมาก้อนหนึ่ง เป็นธรรมดาที่จะคุ้นเคยกับกลิ่นอายเช่นนี้ เพียงแต่หินหยินที่ปรมาจารย์ฝึกจิตคนนั้นขุดออกมา เล็กกว่าที่เขาได้รับในตอนนั้นมาก
แม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีปริมาณมาก มีบางคนถึงกับขุดเจอสายแร่หินหยิน เก็บเอาหินหยินหลายร้อยนับพันก้อนเข้าไปในแหวนเก็บของ
ถึงขนาดที่ว่า หลัวซิวสัมผัสได้ถึงพลังที่หนาแน่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าหินหยินที่เข้าได้มาจากหุบเขากุ่ยอินก้อนนั้นเสียอีก เห็นได้ชัดว่าคุณภาพของหินหยินนั้นสูงยิ่งกว่า