มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2545
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2545
ทันทีที่อสูรดูดจิตเข้าใกล้ขอบเขตสถานบรรพบุรุษตระกูลมู่สองพันไมล์ เสียงตะคอกที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินก็สะท้อนออกมาจากสถานบรรพบุรุษตระกูลมู่ น้ำเสียงก้องกังวาน และมีความข่มขู่ปนอยู่ด้วย
“ข้าน้อยหลัวซิว มาเยี่ยมเยียนสหายเก่าท่านหนึ่ง”หลัวซิวบอกให้อสูรดูดจิตหยุดลง เมื่อได้ยินคาดิสลาร์พูดพึมพำอยู่ตรงนั้นว่าจะลงมืออบรมสั่งสอนเจ้าหมอนั่นที่โวยวายเสียงดัง หลัวซิวจึงถลึงตาใส่เขารอบหนึ่ง
“หลัวซิว?”
มีตัวสำนึกหนึ่งแผ่ขยายออกมา ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้สำรวจตามอำเภอใจอย่างอุกอาจ จากนั้นก็มีแสงกลสิบกว่าดวงบินมาจากด้านหน้า
ผู้มาเยือนมีทั้งหมด 17 คน ล้วนอยู่ในชุดเกราะสงคราม ผู้ที่นำอยู่ด้านหน้าสุดอยู่ในชุดเกราะสีเงิน ส่วนคนอื่นที่เหลือนั้นล้วนอยู่ในชุดเกราะสีดำ
คนเหล่านี้คือองครักษ์ตระกูลมู่ ซึ่งเป็นตระกูลมู่องครักษ์เซียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในมหาโลกาพันสาม องครักษ์เซียนเกราะดำระดับต่ำสุด รองลงมาคือองครักษ์เซียนเกราะเงิน ซึ่งเป็นองครักษ์เซียนใหญ่ องครักษ์เซียนเกราะทองแข็งแกร่งสุด ถูกเรียกว่าหัวหน้าองครักษ์เซียน
เงื่อนไขขั้นพื้นฐานขององครักษ์เซียนเกราะดำที่ธรรมดาที่สุดคือต้องมีผลการฝึกตนแดนมกุฎเทพ ส่วนองครักษ์เซียนเกราะเงินนั้นต้องมีผลการฝึกตนจ้าวมหาเทพ หัวหน้าองครักษ์เซียนเกราะทองต้องมีผลการฝึกตนจักรพรรดิเทพ หรือผู้อาวุโสไท่ซ่างตระกูลมู่นั่นเอง
“ใช่หลัวซิว ท่านชายหลัวจากเผ่าจี้แห่งมหาโลกายอดอัมพรหรือไม่?”
เมื่อครู่องครักษ์เซียนใหญ่เกราะเงินนั่นได้ใช้ตัวสำนึกสำรวจดูก่อนแล้ว สาเหตุที่เอ่ยปากสอบถามอีกครั้งนั้น ก็เพื่อจะยืนยันตัวตนของฝ่ายตรงข้าม
ชื่อหลัวซิวนั้นดังกึกก้องในมหาโลกาพันสามมาตั้งนานแล้ว เป็นชื่อที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ระดับสูงของตระกูลมู่ยิ่งเคยออกคำสั่งว่าพยายามอย่าเป็นศัตรูกับคนดังกล่าวและเผ่าจี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ข้าน้อยเองขอรับ”หลัวซิวผงกหัวพลางตอบกลับ คนของตระกูลมู่ปฏิบัติต่อเขาอย่างเกรงใจ เขาย่อมไม่หักหน้าฝ่ายตรงข้ามอยู่แล้ว
“ท่านชาย เชิญขอรับ!”
องครักษ์เซียนใหญ่ไม่ได้ถามอะไรต่อ ยิ่งกว่านั้นคือเขาไม่ได้ถามเลยด้วยซ้ำว่าสหายเก่าที่หลัวซิวจะมาเยี่ยมเยียนคือผู้ใด เล่ากันว่าศักยภาพของหลัวซิวสามารถสังหารผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเทพได้แล้ว เมื่ออยู่ในตระกูลมู่ นั่นก็เป็นคนใหญ่คนโตระดับผู้อาวุโสไท่ซ่างเชียวนะ จากตำแหน่งตัวตนของเขา จักกล้าชักช้าได้อย่างไร?
อสูรดูดจิตย่อลำตัวให้เล็กลง คลานอยู่บนไหล่หลัวซิว ส่วนคาดิสลาร์นั้นกลับเหมือนยักษ์เหล็กจิ๋ว เดินตามอยู่ด้านหลังหลัวซิวอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ไม่นานนัก ระดับสูงของตระกูลมู่ก็ทราบข่าว องครักษ์เซียนใหญ่เกราะเงินเดินนำอยู่ด้านหน้า พาพวกหลัวซิวมาถึงสำนักที่ใช้สำหรับอภิปรายงานต่าง ๆ ของตระกูลมู่
สำนักอภิปรายรายงานคือพระราชวังหลังหนึ่ง สูงหลายร้อยเมตร สูงตระหง่านยิ่งใหญ่และสง่างาม สถาปัตยกรรมวิจิตรตระการตา ประตูใหญ่ของพระราชวังเหมือนหลอมสร้างมาจากทองเซียนระดับห้า ทำให้ตระกูลมหาจักรพรรดิยุทธ์ดูหรูหรายิ่งใหญ่
ผู้อาวุโสสิบกว่าท่านได้รอคอยอยู่ด้านในสำนักแล้ว โดยผู้ที่เป็นผู้นำคือผู้อาวุโสไท่ซ่างสามคน ทุกคนล้วนมีผลการฝึกตนระดับจักรพรรดิเทพ ส่วนผู้คนที่เหลือนั้นล้วนเป็นผู้อาวุโสระดับจ้าวมหาเทพ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นรองผู้อาวุโสไท่ซ่าง
“ยินดีต้อนรับท่านชายหลัวสู่ตระกูลมู่ ได้โปรดให้อภัยด้วยนะขอรับหากดูแลไม่ทั่วถึง……”
เมื่อหลัวซิวเดินเข้ามา ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็ลุกขึ้นมาต้อนรับ ทำท่าคารวะพลางยิ้มพลางพูด
คนดังกล่าวคือหนึ่งในผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งสามของตระกูลมู่ ผู้อาวุโสไท่ซ่างสองคนที่เหลือไม่ได้ลุกขึ้นแต่อย่างใด หนึ่งในนั้นใบหน้าไร้อารมณ์ ส่วนอีกคนหนึ่งยิ่งทำเสียงหึอย่างเยือกเย็น ราวกับดูหมิ่นเล็กน้อย
“ผู้อาวุโสเกรงใจเกินไปแล้ว”
หลัวซิวก็ทำท่าคารวะตอบเช่นกัน สำหรับลักษณะท่าทีของผู้คนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ นั้น เขากลับไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ
“ข้ามีนามว่ามู่กงหมิง ท่านชายหลัวเชิญนั่งก่อน”ผู้อาวุโสตระกูลมู่ต้อนรับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม อมยิ้มพลางพูด
คอยหลังจากหลัวซิวนั่งลงแล้ว มู่กงหมิงก็ถามอีกว่า: “ไม่ทราบว่าท่านชายหลัวมาเยือนตระกูลมู่ในครั้งนี้เพราะเรื่องอันใดหรือ? จะมาเยี่ยมเยียนสหายเก่าคนใดหรือ?”
“สหายเก่าที่ข้าน้อยจะมาเยี่ยมเยียนนั้น ก็คือศิษย์พี่เซียว จะว่าไปศิษย์พี่เซียวยังติดค้างต้นยาเซียนระดับหกข้าหนึ่งต้นอยู่เลย ได้ยินมาว่าเขาก็กลับมาช่วงหนึ่งแล้ว หนี้ก้อนนี้ก็ควรชำระได้แล้วกระมัง?”
หลัวซิวก็เบื่อที่จะพูดอ้อมค้อมให้เปลืองน้ำลายเช่นกัน เพราะฉะนั้นจึงบอกจุดประสงค์ออกมาโดยตรงอย่างไม่ปิดบัง