มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2568
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2568
“ทำให้ผู้อาวุโสทั้งเก้าท่านมาเสียเที่ยวเลยนะขอรับ”
ใช้ตัวสำนึกแผ่สำรวจทั้งวังเทียนหมิงรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นร่องรอยออร่าใด ๆ ที่ชางเทียนหมิงทิ้งไว้เลย หลัวซิวจึงพูดกับเงาที่รางเลือนทั้งเก้าร่างด้วยความรู้สึกผิด
“เรื่องนี้ไม่โทษเจ้าหรอก ชางเทียนหมิงมันเจ้าเล่ห์มากเกินไป เมื่อปีนั้นครั้นเมื่อเราร่วมมือกันสังหารมัน เดิมทีนึกว่าเป็นเรื่องที่มีโอกาสทำสำเร็จสูงมาก แต่ก็นึกไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายจะปล่อยให้ปณิธานเสี้ยวหนึ่งของมันหนีรอดไปได้”
หนึ่งในเงาร่างส่ายหน้าไปมา แม้นใบหน้าจะรางเลือนมากจนมองไม่เห็นสีหน้า ทว่าหลัวซิวก็ยังคงได้ยินเสียงถอนหายใจของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
เห็นได้ชัดเจนมากเลยว่าการที่เสี้ยวจิตปณิธานของชางเทียนหมิงหายไปนั้น มันไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
“เศษจิตปณิธานของชางเทียนหมิงหลบหนีออกแล้ว มันต้องนอนจำศีลเพื่อฟื้นฟูศักยภาพแน่นอน และสักวันมันก็ต้องไปกู้ร่างกายตัวเองกลับมาจากแท่นบูชาเทพมารอย่างแน่นอน”
“น่าเสียดายที่เมื่อปีนั้นเราไม่สามารถสังหารมันได้อย่างแท้จริง ทำได้เพียงกดอัดผนึกร่างเนื้อมันเอาไว้ หากปล่อยให้มันยึดครองร่างกายกลับคืนไปได้ เช่นนั้นมันต้องฟื้นฟูผลการฝึกตนกลับไปถึงจุดสูงสุดได้อย่างแน่นอน ซึ่งมันเป็นภัยพิบัติต่อทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้”
“คนหนุ่ม เจ้าชื่อหลัวซิวใช่หรือไม่? ในฐานะที่เป็นบำเพ็ญปรปักษ์ ผู้ซึ่งเป็นคู่อาฆาตของสวรรค์ จิตตั้งร่างผันของเราไม่สามารถออกจากโลงศพเทวในฌาปนนภาสวรรค์ได้นาน ภารกิจสำคัญสำหรับการตามหาเศษจิตปณิธานของชางเทียนหมิงนั้น คงทำได้เพียงฝากฝังให้เจ้าแล้วล่ะ”
“เราล่วงลับไปโดยไม่มีอะไรติดห่วงแล้ว แต่ถ้าเกิดปล่อยให้ชางเทียนหมิงอุบัติขึ้นมาในฟ้าดินผืนนี้อีกครั้ง ทุกสิ่งอย่างที่เราทำเมื่อปีนั้นก็จะสูญเปล่า ฝากฝังเจ้าด้วยล่ะ!”
“……”
ผู้แข็งแกร่งแห่งยุคทั้งเก้าคนต่างพากันเอ่ยปากพูด นี่จึงทำให้หลัวซิวรู้สึกว่าภารกิจบนบ่าตนหนักอึ้งขึ้นกะทันหัน
เขาไม่ได้ปฏิเสธ และไม่มีเหตุผลไปปฏิเสธเช่นกัน เพราะเหมือนอย่างที่พวกเขากล่าวมา บำเพ็ญปรปักษ์และสวรรค์เป็นคู่อาฆาต หากสวรรค์จะควบคุมทุกสรรพสิ่งในโลกหล้า ก็จะไม่มีทางอนุญาตให้มีมนุษย์คนใดอยู่เหนือฟ้าดิน อยู่เหนือการควบคุมของตัวเอง
ต่อให้เขาจะทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนบุคคล เขาก็จะไปตามหาเศษจิตปณิธานของชางเทียนหมิง จะปล่อยให้เขามีโอกาสแก่งแย่งร่างกายของตัวเองกลับมาจากโลงศพเทวฌาปนนภาสวรรค์บนแท่นบูชาเทพมารไม่ได้
หลังจากออกจากวังเทียนหมิงแล้ว หลัวซิวก็จัดวางค่ายกลใหม่ ทำการผนึกแผ่นดินใหญ่แห่งนี้อีกครั้ง
ระดับของค่ายกลที่เขาจัดวางในอดีตไม่สูงมากนัก เพราะฉะนั้นจึงต้องมีคนเฝ้ารักษาดูแล ทว่าค่ายกลที่เขาจัดวางอย่างสบายมือในปัจจุบันกลับสามารถต้านทานผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเทพได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงให้ผู้คนในเผ่าจี้ที่เฝ้าดูแลรักษาสถานที่แห่งนี้กลับไปหมดแล้ว
แม้การเดินทางมาวังเทียนหมิงในครั้งนี้จะไม่ได้รับดอกผลอะไร แต่เศษปณิธานของชางเทียนหมิงที่หายไปก็ทำให้จิตใจหลัวซิวกระวนกระวายอยู่
ตั้งแต่ยุคไท่ชูจวบจนปัจจุบัน สามารถพูดได้เลยว่าสวรรค์เป็นการคงอยู่ที่สูงสุดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ มาตรแม้นว่าเป็นจิตปณิธานเสี้ยวเดียว ระดับความเร็วในการฟื้นฟูศักยภาพของเขาก็ต้องเร็วมากแน่นอน ถ้าเกิดศักยภาพของเขาไม่สามารถแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว บางทีเขาอาจจะไม่ต้องไปตามหาเศษปณิธานของชางเทียนหมิง ฝ่ายตรงข้ามก็จะมาหาตัวเองก่อนแล้ว และทำการขจัดเขาทิ้ง
พวกเหยียนเยว่เอ๋อร์ยังคงฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์อยู่ด้านนอก ผลการฝึกตนของหลัวซิวเพิ่งบรรลุสู่แดนจ้าวมหาเทพ และเขาก็ไม่ได้ปิดขังต่อเช่นกัน วางแผนที่จะออกไปตามหาพวกนาง ถึงครานั้นค่อยฝึกตนยกระดับพลางคอยคุ้มกันพวกนางอยู่ในที่ลับ
“ยัยหนูนี่ แจ้นมาไกลเช่นนี้เลยหรือ?”
อ้างอิงจากข่าวคราวที่เผ่าจี้ได้รับ เหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ได้เดินทางไปมหาโลกะแสงดาวพร้อมกัน อิงจากความคิดของพวกนางทั้งสอง ในเมื่อเป็นการฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เช่นนั้นก็ย่อมต้องพึ่งพาได้เพียงตนเองอยู่แล้ว หากอยู่ในมหาโลกายอดอัมพร มีการช่วยเหลือและคุ้มกันจากเผ่าจี้ แล้วมันจะเกิดประสิทธิผลด้านการฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้หรือ?
สำหรับความคิดประเภทนี้ของสตรีทั้งสองนางนั้น หลัวซิวก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรจะพูดอย่างไรดี หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น เขาจะรู้สึกว่าความคิดประเภทนี้ถูกต้องมาก ๆ ยิ่งกว่านั้นคือหากเปลี่ยนเป็นตัวเขาเอง เขาก็จะทำแบบนี้เหมือนกัน