มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2600
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2600
“มันก็มีเพียงเรื่องการฝึกตนมิใช่หรอกหรือ? จากสภาวะในปัจจุบันของข้า ยาเซียนระดับห้ายังยากที่จะทำให้ผลการฝึกตนของข้ามีการยกระดับแล้ว”หลัวซิวยิ้มอย่างขมขื่นพลางพูด
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ นายแห่งเผ่าจี้ก็ผงะไปอย่างควบคุมไม่ได้ ยาเซียนระดับห้าก็คือยาระดับจักรพรรดิเทพ ผู้ที่กล้าบอกว่ายาเซียนระดับห้ายังไม่สามารถยกระดับผลการฝึกตนของตนเองได้นั้น อย่างน้อยผลการฝึกตนก็ต้องอยู่ในระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์หรือเปล่า?
ส่วนผลการฝึกตนของหลัวซิวกลับเป็นเพียงจ้าวมหาเทพ ถึงแม้บางครั้งนายแห่งเผ่าจี้ก็รู้สึกสงสัยเช่นกันว่าหลัวซิวปิดบังผลการฝึกตนหรือเปล่า อย่างไรเสียเขาที่เป็นจ้าวมหาเทพคนหนึ่งถึงกับสามารถสังหารจักรพรรดิเทพ ตลอดจนล้มล้างตำหนักเสินหยู มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ค่อยได้จริง ๆ
แต่นายแห่งเผ่าจี้รู้อยู่ว่าจากความสัมพันธ์ของเผ่าจี้ที่มีต่อหลัวซิว เขาไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังตัวเอง เขามีโอกาสเป็นจ้าวมหาเทพจริง ๆ การที่เขามีศักยภาพที่ทรงพลังเช่นนี้นั้น พูดได้เพียงเขาเป็นคนที่น่ากลัวมากเกินไป อนาคตหากได้กลายเป็นจักรพรรดิเทพ นายแห่งเผ่าจี้คาดการณ์ว่าจากผลการฝึกตนแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ในปัจจุบันของเขา ต้องไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลัวซิวแน่นอน มิหนำซ้ำหลัวซิวยังมีองครักษ์อีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งที่ลึกซึ้งมากจนไม่อาจคาดเดาได้เช่นกัน
“ข้าก็เพิ่งจะเคยได้ยินสถานการณ์อย่างเจ้าเป็นครั้งแรกเช่นกัน แม้นยาจะสามารถช่วยยกระดับผลการฝึกตน แต่กลับไม่ใช่หนทางหลัก ไม่ว่าจะกลั่นยาได้ประณีตสวยวิจิตรมากเพียงใด ท้ายที่สุดแล้วก็จะมีพิษปนอยู่บ้าง ซึ่งจะทำให้ร่างกายเกิดการดื้อยาด้วย”
นายแห่งเผ่าจี้ค่อย ๆ เอ่ยปากพูด หลัวซิวก็ทราบทั้งหมดที่เขากล่าวมาดีเช่นกัน ในส่วนของเม็ดยาเซียนระดับหกนั้น มาตรแม้นว่าตามหาทั่วมหาโลกาพันสาม ยังยากที่จะตามหาต้นยาเซียนระดับหกเลย แล้วจะกลั่นเม็ดยาเซียนที่เขาสามารถใช้มาฝึกตนได้อย่างไรเล่า?
มิหนำซ้ำหากเขาใช้เม็ดยาเซียนระดับหกจำนวนมากฝึกตนในแดนจ้าวมหาเทพ เช่นนั้นอนาคตร่างกายก็จะต่อต้านยาเซียนระดับหก หรือว่าต่อไปเขาต้องใช้ยาเซียนที่ระดับขั้นสูงกว่ามาฝึกตน?
ในส่วนของโอสถแก่นแท้นั้น ถึงแม้มันจะเหมาะกับการนำมาฝึกตนมากกว่า แต่โอสถแก่นแท้ระดับห้าที่หลัวซิวได้รับมานั้นถูกใช้จนเกลี้ยงแล้ว หากต้องการกลั่นโอสถแก่นแท้ ก็ทำได้เพียงไปล่าอสูรกายระดับเทพมารระดับห้า ทว่าอสูรกายระดับนี้ในมหาโลกาพันสามก็มีไม่มากด้วย
แท้จริงแล้วที่หลัวซิวมาดื่มชากับนายแห่งเผ่าจี้ในครั้งนี้ เขาก็ไม่ได้มาเพราะตามหาวิธีแก้ไขปัญหา เขามีความทรงจำเมื่อชาติปางก่อนของไท่ซ่างฉิง ความรู้ที่มีมีมากกว่านายแห่งเผ่าจี้เสียอีก ปัญหาที่แม้แต่เขายังปวดหัวแก้ไขไม่ได้ แล้วนายแห่งเผ่าจี้จะช่วยเหลืออะไรได้บ้างล่ะ?
จอมยุทธ์ทั่วไปในมหาโลกาพันสามล้วนฝึกตนด้วยแก้วเทว ซึ่งในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดมีสิ่งที่เหมาะกับการฝึกตนมากกว่าแก้วเทว ยกตัวอย่างเช่นโอสถแก่นแท้
แต่จากการที่ผลการฝึกตนยิ่งอยู่ยิ่งสูง หากบรรลุถึงเทพมารระดับเจ็ดเป็นต้นไป การใช้โอสถแก่นแท้ฝึกตนก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แล้ว เนื่องจากการผลิตโอสถแก่นแท้ต้องล่าอสูรกาย ยิ่งเป็นอสูรกายที่แข็งแกร่งจำนวนก็ยิ่งน้อย ซึ่งมันไม่มีทางกลายเป็นทรัพยากรหลักที่ใช้ในการฝึกตนแน่นอน
ทรัพยากรหลักที่ใช้ในการฝึกตนของผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดเป็นต้นไป คือหินแก้วดั้งเดิมและหินบรรพไท่ชู ยกตัวอย่างเช่นหินที่หลัวซิวได้รับจากตำหนักไท่ซ่างเทียนหย่งในแดนเทวนิรันกาล ภายในมีชี่บรรพหล่อเลี้ยงออกมาเพียงกลุ่มก้อนเดียวเท่านั้น ก็สามารถทำให้เขาทลายจุดตีบตันได้อย่างง่ายดายแล้ว
แต่ทว่ามีหินบรรพไท่ชูแค่ก้อนเดียว มันน้ำน้อยแพ้ไฟไปหน่อย การที่จะหล่อเลี้ยงชี่บรรพออกมาอีกกลุ่มก้อนหนึ่งนั้น ยังต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานมาก
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว หินแก้วดั้งเดิมที่มีชื่อเสียงเท่ากับหินบรรพไท่ชูก็จะเป็นที่แพร่หลายทั่วไปมากกว่า แต่มันก็ไม่ใช่ทรัพยากรที่จอมยุทธ์ระดับต่ำสามารถครอบครองได้เช่นกัน
หลัวซิวเข้าใจดีมาก ๆ ว่าหากเขาอยากยกระดับผลการฝึกตนอย่างรวดเร็ว ทางลัดที่ดีที่สุดก็คือมุ่งหน้าไปยังโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด ครั้นเมื่อเขาตัดสินใจกลับชาติมาเกิดเมื่อปีนั้น เขาได้ทิ้งสมบัติทรัพยากรบางส่วนไว้ ซึ่งจุดประสงค์ก็เพื่อหลังจากกลับชาติมาเกิดแล้ว จะสามารถใช้ทรัพยากรเหล่านั้นมายกระดับผลการฝึกตนได้อย่างรวดเร็ว
แต่ทว่าเพื่อเป็นการไม่ให้ผู้อื่นตามหาสถานที่ที่เขาทิ้งสมบัติไว้เจอง่าย ๆ มันจึงเป็นสถานที่ที่อันตรายมากเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว จากศักยภาพของเขาในปัจจุบัน มาตรแม้นว่าเดินทางไป เกรงว่าก็น่าจะเอากลับมาไม่ได้