มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2604
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2604
ในฐานะที่เป็นประมุขเขาของเขาดึกดำบรรพ์ ซือถูเซิ่งเจี๋ยก็มีผลการฝึกตนมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงกลางเช่นกัน แม้นเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วจะอ่อนกว่าหรงเทาเล็กน้อย แต่ก็แตกต่างกันไม่มากแน่นอน
“ได้ยินมาโดยตลอดเลยว่าความเป็นมาของท่านชายหลัวลึกลับ ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงร้อยปีก็ฝึกตนถึงขั้นที่สามารถสังหารจักรพรรดิเทพได้แล้วอย่างนั้นหรือ?”ซือถูเซิ่งเจี๋ยก็มองมาทางหลัวซิวเช่นกัน บนใบหน้ามีรอยยิ้มจาง ๆ
“ประมุขเขาซือถูชมเกินไปแล้ว คำเล่าลือที่ว่าล้วนเป็นความเท็จที่พูดลือผิดต่อ ๆ กันมา ไม่ถือเป็นความจริงหรอกขอรับ”หลัวซิวไม่แน่ใจในลักษณะท่าทีของซือถูเซิ่งเจี๋ย ด้วยเหตุนี้คำพูดคำจาของเขาก็ค่อนข้างระมัดระวังเช่นกัน
“ท่านชายหลัวถ่อมตัวมากเกินไปแล้ว ดูเหมือนศิษย์ฟางห้าวหยูนั่นของข้าก็เป็นหนี้ยาเซียนระดับหกเจ้าหนึ่งต้นด้วย ข้าพกติดตัวมาหนึ่งต้นพอดี หากศักยภาพของท่านชายหลัวทำให้ข้ามันรู้สึกพึงพอใจได้ละก็ ยาเซียนต้นนี้ก็จักเป็นของเจ้า”
ซือถูเซิ่งเจี๋ยหรี่ตาลง จากนั้นเขาก็ลงมือโจมตีกะทันหัน ของขลังที่เขาเรียกออกมาคือหอคอยเวทย์สีทองหนึ่งหลัง มีรัศมีสีทองแย้มบานออกมาจากตัวหอคอย เหมือนดาบกระบี่ ฉีกกระชากอนัตตา พลานุภาพไม่ธรรมดา
“ดูท่าประมุขเขาซือถูจักเป็นศัตรูกับแซ่หลัวแล้วสินะ?”
สีหน้าของหลัวซิวหม่นหมองลงไป ซือถูเซิ่งเจี๋ยเป็นผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงกลาง เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ระดับนี้ หลัวซิวไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่เขาจะเผาผลาญพลังและเลือดทั้งร่างกายโดยตรงอย่างไม่ลังเลใจ
ร่างเนื้อของเขาคือร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิเทพ เพราะฉะนั้นเมื่ออยู่ภายใต้การเผาผลาญพลังและเลือด ผลการฝึกตนจ้าวมหาเทพขั้น 3 ในตอนแรกก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามจังหวะ ฝืนยกระดับขึ้นมาถึงจ้าวมหาเทพขั้น 6
แต่หลัวซิวเข้าใจดีมาก ๆ ว่าอย่าว่าแต่ผลการฝึกตนจ้าวมหาเทพขั้น 6 เลย มาตรแม้นว่ายกระดับขึ้นไปถึงจ้าวมหาเทพขั้นสูง เมื่อเผชิญหน้าซือถูเซิ่งเจี๋ยที่เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงกลางมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร
“บูชาด้วยเลือดข้า โลหิตแห่งชิงเทียนเผาผลาญซะ!”
หลัวซิววางมือตัวเองลงตรงหัวใจกะทันหัน ใช้เล็บกรีดผิวหนัง เลือดสีแดงสดไหลออกมาแล้วตะคอกเสียงดังลั่น
เมื่อปีนั้น เขาได้กลั่นแปรโลหิตแห่งชิงเทียนหยดหนึ่งที่ได้รับจากโลกาเสวียนหมิงเข้าไปในร่างกายตัวเอง ซึ่งโลหิตแห่งชิงเทียนหยดดังกล่าวถูกเก็บอยู่ในหัวใจเขาตลอดมา
เนื่องจากพลังและพลังเต๋าที่แฝงซ่อนอยู่ในโลหิตแห่งชิงเทียนทรงพลังมากเกินไป จากผลการฝึกตน ณ ปัจจุบันของเขา ไม่สามารถกลั่นแปรในครั้งเดียวได้เลยด้วยซ้ำ
เดิมทีหลัวซิววางแผนที่จะอาศัยพลังของโลหิตแห่งชิงเทียนเมื่อประสบจุดตีบตันที่บรรลุยาก วินาทีนี้เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ เขาจึงทำได้เพียงอาศัยพลังของโลหิตแห่งชิงเทียนเวลานี้แล้ว
มีความทรงจำเมื่อชาติปางก่อนของไท่ซ่างฉิง ทำให้การพันธนาการของแดนยุทธ์ไม่ใช่ปัญหาอะไรต่อหลัวซิว ขอแค่มีพลังที่มากมายมหาศาลมายืนหยัดได้เพียงพอ เมื่อพูดตามหลักทฤษฎีแล้วผลการฝึกตนของเขาก็จะสามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างไม่หยุดหย่อน แล้วจะไม่มีแดนใด ๆ มาผูกมัด
พลังของโลหิตแห่งชิงเทียนเริ่มเผาผลาญ ความรู้สึกที่เร่าร้อนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้หมุนเวียนไปทั่วทั้งร่างกาย เปลวไฟสีเขียวที่สูงหลายเมตรได้ทำการปกคลุมทั้งร่างกายของหลัวซิวเอาไว้โดยสิ้นเชิง
และในเวลานี้เอง ผลการฝึกตนที่เขาฝืนยกระดับถึงจ้าวมหาเทพขั้น 6 ในตอนแรกก็เริ่มเพิ่มขึ้นตามจังหวะอย่างบ้าคลั่ง จ้าวมหาเทพขั้น 7 ขั้น 8 ขั้น 9 ขั้นสูง!
ตู้มม!
ขณะที่ประตูแห่งกฎเกณฑ์ถูกทลายอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงความล้ำลึกต่าง ๆ ของแดนจักรพรรดิเทพ เขารู้สึกว่าบัดนี้เมื่อควบคุมวิถีไร้ลักษณ์ จักสามารถวิวัฒนาการกฎบริบูรณ์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ออกมาได้อย่างง่ายดายเลย
เตี๊ยงง!
ฟาดฟันกระบี่ร่องฟ้าออกไปกะทันหัน เมื่อควบคุมกระบี่ร่องฟ้าด้วยผลการฝึกตนจักรพรรดิเทพ ทำให้พลานุภาพของกระบี่เทพทรงพลังมากยิ่งขึ้น ห้วงดาราถูกผ่าจนเกิดเป็นร่องลึกหนึ่งร่อง
แสงกระบี่ฟาดฟันลงหอคอยเวทย์สีทองจนเกิดเป็นเสียงดังลั่นที่สนั่นหวั่นไหว สีหน้าของซือถูเซิ่งเจี๋ยเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย “เจ้าถึงขั้นสามารถระเบิดกำลังรบที่เทียบเท่ามหาจักรพรรดิยุทธ์ออกมาได้อย่างนั้นหรือ?”
แม้นจะรู้สึกตะลึง แต่กิริยาท่าทางในมือซือถูเซิ่งเจี๋ยกลับไม่ช้าลงเลย ง้างมือปล่อยฝ่ามือสีม่วงขนาดใหญ่ออกไป บนฝ่ามือใหญ่มีมังกรม่วงเก้าตัวลอยคดเคี้ยวไปมา และมีพลังเกณฑ์แผ่กระจายออกมาเสี้ยวหนึ่งด้วย
เห็นได้ชัดเจนมากว่านี่ยังไม่ใช่ของขลังระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ แต่เป็นอาวุธเทพระดับเจ็ด!