มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2610
“จอมยุทธ์ระดับต่ำแค่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในช่องแคบ ถึงแม้เหมือนเจ้าและข้าจะอยู่เหนือพวกเขา ทว่าแท้จริงแล้วผู้ที่อยู่เหนือเราก็มีมากจนนับไม่ถ้วนเช่นกัน”มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิรู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือหลัวซิว อันที่จริงต่างก็เป็นผู้ที่ค่อย ๆ ปีนป่ายขึ้นมาจากจอมยุทธ์ที่อยู่ระดับต่ำที่สุดเช่นกัน จึงเข้าใจความยากแค้นและความยากลำบากต่าง ๆ นานาครั้นเมื่อผลการฝึกตนอ่อนบางดีมาก
“เราอำพรางออร่าแล้วรอคอยอยู่ที่นี่ก็เพียงพอแล้ว พวกหงหวู้ก็น่าจะมาถึงในเร็ว ๆ นี้เช่นกัน”มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิพูดประโยคหนึ่ง จากนั้นเงาร่างเขาก็กระพริบทีหนึ่ง ก่อนจะจมหายเข้าไปในป่าไม้ที่อยู่ด้านล่าง
มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิชำนาญกฎความตาย เขาสามารถเก็บพลังชีวิตทั้งร่างกายตัวเองอย่างมิดชิด หากมีตัวสำนึกแผ่สำรวจมา ก็แค่จะคิดว่าภายในพงหญ้ามีก้อนหินที่ไม่มีออร่าชีวิตใด ๆ เลยแม้แต่น้อยหนึ่งก้อน
ส่วนอุบายอำพรางตัวของหลัวซิวนั้นก็มีเยอะมาก เขาดึงดูดห้วงเวลาของพื้นที่แห่งหนึ่งมาได้อย่างง่ายดาย แล้วนำร่างกายหลบซ่อนเข้าไปในอนัตตา ไม่ว่าจะเป็นตัวสำนึกหรือเนื้อตาเปล่า ก็จับจุดพิรุธไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
เวลานี้หลัวซิวไม่ได้จัดวางค่ายกลซ่อนงำแต่อย่างใด หากหงหวู้บรรลุถึงระดับมหาปรมาจารย์ระดับหกแล้วจริง ๆ ค่ายกลซ่อนงำระดับห้าที่เขาจัดวางอย่างสบายมือก็จะถูกมองทะลุปรุโปร่งง่ายมาก
ไม่นานนัก ก็มีแสงกลรุ้งยาวสองดวงบินมาจากขอบฟ้า แล้วปรากฏในละแวกใกล้เคียงของภูเขาถูหลิง
หลังจากเงาดำสองร่างนั้นมาถึงแล้ว สิ่งแรกที่ทำก็คือแผ่ขยายตัวสำนึกออกไป ทว่ากลับไม่พบหลัวซิวและมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิที่อำพรางอยู่ในละแวกใกล้เคียงแต่อย่างใด
ตัวสำนึกของพวกเขาทั้งสองคนแทบจะทำการกวาดสำรวจพื้นที่ละแวกใกล้เคียงกับภูเขาถูหลิงหนึ่งรอบ จากนั้นก็ถูกดึงกลับไปอย่างรวดเร็ว ต่อมาหนึ่งในนั้นก็หยิบม้วนหยกส่งสารออกมาหนึ่งชิ้น
หลังจากผ่านไปอีกพักหนึ่ง ก็มีเงาดำอีกสองร่างปรากฏ ทั้งสี่คนรวมตัวกัน ก่อนที่คนหนึ่งที่เป็นผู้นำจะบินตรงไปยังภูเขาถูหลิง
ภูเขาถูหลิงไม่ใช่แค่ภูเขาลูกหนึ่ง แต่เป็นเทือกเขาแนวหนึ่ง มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิตามหลังไปอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง บนตัวเขาไม่มีออร่าชีวีเลยแม้แต่น้อย เมื่ออยู่ในกระแสสัมผัสตัวสำนึก ก็เหมือนหินก้อนหนึ่งที่กำลังเคลื่อนไหว อีกทั้งไม่มีคลื่นและเสียงใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
ทั้งสี่คนที่อยู่ด้านหน้าระมัดระวังอย่างมาก พวกเขาจะแผ่ตัวสำนึกออกมาสำรวจบริเวณรอบ ๆ อย่างระมัดระวังอยู่เป็นระยะ ทุกครั้งที่ถึงเวลานี้ มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิก็จะหยุดเคลื่อนไหวกะทันหัน ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ อีกแม้แต่น้อย
เมื่อเปรียบเทียบอุบายการอำพรางตัวแล้ว หลัวซิวมีความรู้ความสามารถที่เหนือกว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิมาก เขาใช้วิถีไร้ลักษณ์วิวัฒนาการกฎห้วงเวลา แทบจะหลอมรวมเข้ากับกฎห้วงเวลาจนเป็นอันหนึ่งเดียวกัน นอกซะจากมีผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่ชำนาญกฎห้วงเวลา มิเช่นนั้นไม่มีทางมีคนสามารถค้นพบร่องรอยของเขาได้
แม้จะมั่นใจในอุบายการอำพรางตัวของตนมาก ๆ แต่หลัวซิวก็ระมัดระวังมากเช่นกัน ในส่วนของลาร์นั้นกลับถูกเขาจัดแจงให้อยู่ในตำหนักวัฏสงสาร เนื่องจากเจ้าลาร์นั่นไม่มีวิชาอำพรางที่ปราดเปรื่องหรอกนะ
และไม่พูดก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าผู้ที่เป็นผู้นำก็คือหงหวู้ หลัวซิวไม่ได้แผ่ตัวสำนึกออกไปสำรวจ แต่จากพลังออร่าก็สามารถสัมผัสได้แล้วว่าหงหวู้นี่ไม่เพียงเป็นนักค่ายเทพระดับหก ผลการฝึกตนของตัวเขาเองก็อยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์เช่นกัน น่าจะอยู่ที่ประมาณมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2 เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิ
ทั้งสามคนที่ตามอยู่ด้านหลังเขา มีคนหนึ่งคือผู้อาวุโสที่ขนคิ้วขาวหงอกและยาวมาก มีผลการฝึกตนมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงกลาง ซึ่งเป็นบรรพอาจารย์ของสำนักจักรพรรดิแสงดาว ยังมีอีกคนหนึ่งคือชายวัยกำลังคนที่หุ่นผอมบาง ใบหน้าคมดั่งดาบ ผลการฝึกตนคือมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิ เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์อีกคนหนึ่งของสำนักจักรพรรดิจ้านเทียน เล่ากันว่าเป็นศิษย์น้องของมหาจักรพรรดิยุทธ์จ้านเทียนที่ดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว
ส่วนคนสุดท้ายก็คือบรรพอาจารย์ของวังเซียนมหาวาลแล้ว สิ่งที่ทำให้หลัวซิวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยคือ บรรพอาจารย์คนนี้ดูสาวมาก ราวกับสตรีอายุ 20 กว่าคนหนึ่ง อีกทั้งหน้าตาก็งดงามมาก ๆ ด้วย อยู่ในชุดกระโปรงยาวสีม่วงอ่อน มีรัศมีที่ขมุกขมัวแย้มบานออกมาจากตัวนาง และมีผลการฝึกตนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิเช่นกัน