มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2628
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2628
สุดท้ายเขาก็ทำผิดพลาดอีกเช่นเคย เขาสำคัญตัวเองมากเกินไป คิดว่าเมื่ออาศัยศักยภาพของตัวเองแล้ว ในมหาโลกาพันสามไม่มีผู้ใดสามารถสร้างภัยคุกคามให้แก่ตนเองได้อย่างแท้จริง แต่กลับลืมไปเลยว่าคนในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดก็มีโอกาสย่างกรายลงมาเช่นกัน
เขารู้สึกเสียใจทีหลังเล็กน้อยที่เกิดอารมณ์ชั่ววูบล้มล้างตำหนักเสินหยูไป ถ้าเกิดเขาไม่ล้มล้างตำหนักเสินหยู ก็จะไม่ทำให้ตำหนักเฉินหยูแห่งโลกร้างแตกตื่น และก็จะไม่มีเหตุการณ์อย่างวันนี้เกิดขึ้น
แต่โลกใบนี้ไม่มีคำว่าถ้าเกิด ถึงแม้การย้อนเวลาใช้เพลาไหลรวยจะสามารถฟื้นคืนชีพคนคนหนึ่งให้กลับมาได้ ทว่าอุบายพลังอมตะที่เป็นปรปักษ์ต่อสวรรค์เช่นนี้ก็มีข้อจำกัดเยอะมาก เมื่อปีนั้นสาเหตุที่เขาสามารถฟื้นคืนชีพเสี่ยวเจียงหมิงได้นั้น เป็นเพราะเสี่ยวเจียงหมิงไม่ใช่เทพมารเลยด้วยซ้ำ ยังไม่ได้สัมผัสกับความล้ำลึกของกฎฟ้าดิน
ทว่านายแห่งเผ่าจี้กลับแตกต่างกัน เขามีผลการฝึกตนเทพมารระดับหก ต่อให้ผลการฝึกตนของเขาฟื้นฟูกลับคืนสู่แดนผู้สูงส่งอย่างภพชาติก่อน แล้วย้อนเวลาใช้เพลาไหลรวย ก็ไม่สามารถฟื้นคืนชีพนายแห่งเผ่าจี้ได้
บางทีหากเขาฝึกถึงระดับขั้นที่เทียบเท่าสวรรค์และจ้าววัฏสงสารก็อาจจะทำเช่นนั้นได้ แต่เขาสามารถฝึกถึงแดนระดับนั้นได้จริงหรือ?
หลังจากบูชาเซ่นไหว้เสร็จสรรพ หลัวซิวก็ก้มคำนับไปทางเหล่าผู้อาวุโสในเผ่าจี้ นายแห่งเผ่าจี้ตายเพราะเขา ภายในจิตใจเขาจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความละอายและรู้สึกผิดต่อเผ่าจี้
จีเสวียนคงสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง “หลัวซิว เจ้าก็อย่าโทษตัวเองมากนักเลย นั่นเป็นการตัดสินใจของตัวหัวหน้าเผ่าเอง”
“ลาร์บอกกับเราแล้วว่าขณะที่หัวหน้าเผ่าเผาผลาญอัคคีแห่งชีวี เคยบอกว่าท่านจะฝากฝังเผ่าจี้ของเราให้แก่เจ้า เพราะหัวหน้าเผ่ามองเห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่จากตัวเจ้า ซึ่งเราก็ต่างเห็นด้วยกับจุดนี้เช่นกัน หากถามว่าผู้ใดสามารถนำพาเผ่าจี้ของเรากลับไปรุ่งโรจน์ใหม่ได้อีกครั้ง คนคนนั้นก็ต้องเป็นเจ้าอย่างแน่นอน!”
สำหรับคำพูดทั้งหมดที่จีเสวียนคงกล่าวมานั้น แม้นผู้อาวุโสคนอื่น ๆ จะไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร แต่ก็ยอมรับเป็นนัยแล้ว
ผลการฝึกตนจ้าวมหาเทพก็สามารถสังหารจักรพรรดิเทพขั้นสูงได้แล้ว และยิ่งเป็นอัจฉริยะที่สามารถต่อกรกับมหาจักรพรรดิยุทธ์ด้วย ศักยภาพในอนาคตต้องไร้ขอบเขตแน่นอน
หากใช้มาตรฐานการวัดศักยภาพในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดมากำหนด จ้าวมหาเทพก็คือเทพมารระดับสี่ ซึ่งระดับนี้ก็ถูกแบ่งออกเป็นเทพมารระดับสี่ขั้นปฐมภูมิ ช่วงกลาง ช่วงปลาย ราชาเทพ มกุฎเทพ จักรพรรดิเทพและมหาจักรพรรดิยุทธ์ เช่นนั้นหลัวซิวก็ต้องเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับสี่อย่างไร้ข้อกังขาแน่นอน!
ตั้งแต่ราชาเทพจนถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ เป็นการเปรียบเทียบตามศักยภาพพรสวรรค์และศักยภาพในอนาคตของจอมยุทธ์ที่อยู่ในแดนเดียวกัน เมื่ออยู่ในแดนเดียวกัน ผู้ที่มีสิทธิ์ถูกเรียกว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์นั้น ก็จำเป็นต้องมีศักยภาพระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์!
แน่นอนอยู่แล้วว่าใช่ว่าศักยภาพเช่นนี้จะไร้ขอบเขตเสมอไป บางคนครั้นเมื่อเป็นเทพมารระดับหนึ่ง ก็เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับหนึ่งแล้ว กระทั่งฝึกถึงเทพมารระดับเก้า สุดท้ายก็กลายเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า!
แต่คนบางส่วนกลับแตกต่างกัน ตอนแรกเริ่มอาจจะเป็นอัจฉริยะที่เลิศล้ำ เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ในหมู่จอมยุทธ์ที่อยู่ในแดนเดียวกัน ทว่าหลังจากบรรลุถึงเทพมารระดับเจ็ดแล้ว ก็เป็นได้เพียงจักรพรรดิเทพ มกุฎเทพ ตลอดจนเป็นได้เพียงเทพมารที่ธรรมดาที่สุด
ถึงแม้จะตัดสินผลสำเร็จในอนาคตจากศักยภาพไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง นั่นก็คือคุณค่าของหลัวซิว
“หลัวซิว เข้าร่วมเผ่าจี้ของเราเถิด ที่นายแห่งเผ่าจี้เลือกเจ้านั้น ก็เพื่อหวังว่าเจ้าจะสามารถสืบทอดตำแหน่งนายแห่งเผ่าจี้ต่อไป แล้วนำพาเผ่าจี้มุ่งไปสู่ความรุ่งโรจน์ในอนาคต”
จีเสวียนคงกล่าวเช่นนี้ ในขณะเดียวกันแววตาของเหล่าผู้อาวุโสที่เหลือก็ต่างผนึกรวมกันมาทางหลัวซิวเช่นกัน
หลัวซิวส่ายหน้าแล้วพูดอย่างรู้สึกผิด “มาตรแม้นว่าข้าจักไม่เข้าร่วมเผ่าจี้ ไม่เป็นนายแห่งเผ่าจี้ ข้าก็จะนำพาเผ่าจี้เดินไปสู่ความรุ่งโรจน์ อีกทั้งไม่ใช่ความรุ่งโรจน์อย่างในอดีตด้วย แต่จะอยู่เหนือเกียรติยศสูงสุดของบรรพบุรุษเผ่าจี้ในอดีต!”
หลัวซิวย่อมทราบกฎเกณฑ์ของเผ่าจี้อยู่แล้ว ทุกคนที่เข้าร่วมเผ่าจี้จำเป็นต้องเปลี่ยนนามสกุลเป็นแซ่จี้ หลัวซิวถือทิฐิของตนเอง เขาไม่อยากเปลี่ยนแซ่ ชั่วชีวิตนี้เขาจะแซ่หลัวเท่านั้น เป็นเพียงหลัวซิว!