มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2631
“คนจริงไม่ชอบอ้อมค้อม เห็นได้ชัดเจนเลยว่าทั้งสามท่านมาเผ่าจี้ของข้าด้วยความบริสุทธิ์ใจ หากตระกูลมู่ยินดีร่วมมือกับเผ่าจี้เรา เช่นนั้นมันก็ต้องเป็นเรื่องที่น่ายินดีอยู่แล้ว”
หลัวซิวรู้อยู่ว่าตระกูลมู่อยากแสวงหาโอกาสในการเข้าสู่โลกมหาศักดิ์ทั้งแปดผ่านเผ่าจี้ แม้นมหาจักรพรรดิยุทธ์สรรพสิทธิ์ในอดีตจะมุ่งหน้าไปยังโลกร้างผ่านเส้นทางดารา ทว่าดูเหมือนจะไม่ได้บุกเบิกฟ้าดินแห่งหนึ่งออกมา อีกทั้งหลังจากไปถึงโลกร้างแล้ว ก็ไม่ได้รับข่าวคราวจากมหาจักรพรรดิยุทธ์สรรพสิทธิ์อีกเลย
ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ สาเหตุที่ตระกูลมู่สามารถมีจุดยืนอันน้อยนิดอยู่ในมหาโลกาพันสามได้นั้น ล้วนเป็นเพราะอาศัยพลังสามัคคีของผู้คนในตระกูลมู่ ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเหล่าตระกูลสำนักจักรพรรดิที่มีที่พึ่งพิงในโลกร้าง ตระกูลมู่ก็ยังแตกต่างจากกองกำลังเหล่านั้นไม่น้อยเลย อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่มีความมั่นใจในตนเองเลยสักนิด
สำหรับการคัดเลือกพันธมิตรนั้น หลัวซิวก็มีการตรึกตรองของตนเองเช่นกัน หากตระกูลมู่ไม่ยอมเสี่ยงภัยแม้แต่น้อยละก็ แล้วจะมีพันธมิตรประเภทนี้ไว้เพื่ออะไร? แล้วจะคุ้มแก่การเชื่อใจได้อย่างไร?
เพราะฉะนั้นถึงแม้เขาจะมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าสามารถต้านทานการโจมตีจากเขาดึกดำบรรพ์และกองกำลังทั้งหลาย เขาก็จะไม่พูดออกมาเช่นกัน เพราะเขาจะดูว่าตระกูลมู่จะตัดสินใจอย่างไร
สีหน้าของนายแห่งตระกูลมู่ดูอึดอัดเล็กน้อย เขาย่อมฟังนัยยะแฝงในคำพูดของหลัวซิวออกอยู่แล้ว ตระกูลมู่ของพวกเขาไม่ยอมเสี่ยงภัยจริง ๆ เนื่องจากทันทีที่ตัดสินใจผิดพลาด ติดอยู่บนรถรบเครื่องเดียวกับเผ่าจี้ ถ้าเกิดเผ่าจี้ถูกล้มล้างแล้ว เช่นนั้นเป้าหมายต่อไปที่เหล่ากองกำลังเขาดึกดำบรรพ์จะโจมตีก็ต้องเป็นตระกูลมู่ของพวกเขาอย่างแน่นอน
เมื่อเดินผิดพลาดก้าวหนึ่ง ก็จะไม่มีทางที่จะฟื้นคืนได้ตลอดไป ตระกูลมู่จึงจำเป็นต้องพิจารณาในเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง
แต่ตระกูลมู่ก็ทราบเช่นกันว่าหากพลาดโอกาสในการได้ร่วมมือกับเผ่าจี้ไป อนาคตเมื่อเผ่าจี้รุ่งโรจน์ขึ้นมาแล้วหวนกลับไปยังโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด ตระกูลมู่ก็จะสูญเสียโอกาสอันดีงามไปด้วย มาตรแม้นว่าบรรพอาจารย์มหาจักรพรรดิยุทธ์ในตระกูลก็สามารถใช้ราคาอันสูงลิ่วเพื่อแลกกับการข้ามผ่านเส้นทางดาราแล้วมุ่งหน้าไปยังโลกมหาศักดิ์ ทว่าความหวังนั้นกลับริบหรี่มาก
ตั้งแต่โบราณกาลมา มีมหาจักรพรรดิยุทธ์อุบัติขึ้นมาเยอะมาก ๆ นอกเหนือจากมหาจักรพรรดิยุทธ์ผู้มีอิทธิพลในยุคสมัยนี้ที่มองเห็นภายนอกแล้ว อันที่จริงมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังก็มีเยอะมากเช่นกัน ซึ่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ส่วนมากล้วนเคยข้ามผ่านเส้นทางดารา ทว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์ส่วนมากที่ข้ามผ่านไปแล้วกลับหายเข้าไปในกลีบเมฆเลย
นี่จึงทำให้ทุกคนล้วนเข้าใจดีว่าอีกฟากหนึ่งของเส้นทางดาราคือโลกร้าง อีกทั้งมันไม่ได้รอดง่ายขนาดนั้น ถึงแม้มหาจักรพรรดิยุทธ์จะข้ามผ่านไปแล้ว เมื่ออยู่ในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดก็เป็นเพียงมดตัวจ้อยที่แข็งแกร่งเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ในการถูกเรียกขานว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง
ท้ายที่สุดนายแห่งตระกูลมู่ก็ไม่สามารถตัดสินใจได้อยู่ดี เนื่องจากนี่ไม่ใช่การตัดสินใจของเขาเพียงคนเดียว แต่เป็นการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องถึงโชคชะตาของคนทั้งตระกูล
เขาจำเป็นต้องกลับไปปรึกษาหารือร่วมกับบรรพอาจารย์มหาจักรพรรดิยุทธ์ดี ๆ ก่อน
หลัวซิวก็ไม่ได้บังคับให้ตระกูลมู่ตัดสินใจทันทีเช่นกัน เขาเข้าใจความลังเลใจและความหวาดกลัวของตระกูลมู่อยู่ อย่างไรพวกกองกำลังเขาดึกดำบรรพ์ก็ไม่บุกโจมตีเข้ามาในเร็ว ๆ นี้อยู่แล้ว ตระกูลมู่ยังมีเวลาสามารถพิจารณาดี ๆ ได้
หลังจากทั้งสามคนจากตระกูลมู่กลับไปแล้ว เหล่าผู้อาวุโสในตำหนักอภิปรายรายงานก็พากันวิพากษ์วิจารณ์อย่างอดไม่ได้ มีเพียงสีหน้าของหลัวซิวเท่านั้นที่ยังคงเรียบนิ่ง มาตรแม้นว่ามีการเข้าร่วมจากตระกูลมู่ มันก็ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเอง ภูมิฐานของเผ่าจี้แข็งแกร่งมากเพียงใดนั้น ต่อให้เป็นนายแห่งเผ่าจี้รุ่นก่อนที่ดับสลายสูญสิ้นไปแล้วก็รู้ไม่มากกว่าเขา
เมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน ขณะที่เขายังเป็นไท่ซ่างฉิง ก็เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเผ่าจี้มาหลายครั้งแล้ว จี้หวูชวงยิ่งเป็นสตรีที่เป็นนายแห่งเผ่าจี้ จากความสัมพันธ์ของจี้หวูชวงกับเขา เขาทราบเรื่องราวในเผ่าจี้เยอะมาก ยิ่งกว่านั้นคือเขาก็เข้าใจในวรยุทธ์หลักที่เผ่าจี้ถ่ายทอดสืบสานด้วย
บนสนามจัตุรัสนอกตำหนักเผ่าจี้ มีรูปปั้นบรรพบุรุษของแต่ละยุคตั้งตระหง่านอยู่หลายรูป ซึ่งบรรพบุรุษเหล่านี้ล้วนเป็นนายแห่งเผ่าจี้ในอดีต นายแห่งเผ่าจี้ผ่านการสืบทอดนายแห่งเผ่าจี้มาร้อยกว่ารุ่นแล้ว ถึงแม้จะเสื่อมทรุดถึงจุดต่ำสุด แต่ก็อย่าได้ดูถูกกองกำลังนี้เป็นอันขาด