มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2656 หลักฐานนักกลั่น
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2656 หลักฐานนักกลั่น
ตราประทับปรปักษ์สวรรค์พุ่งลงมาจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น ภายใต้การผนึกจากพลังอมตะดังกล่าว หยวนหลงไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะหลบหลีก ร่างกายถูกบดขยี้จนกลายเป็นหมอกเลือดภายในพริบตา
ตั้งแต่หยวนหลงสกัดหลัวซิวไว้กลางถนนกระทั่งระหว่างทั้งสองประมือกัน ตลอดขั้นตอนการก็ดำเนินการไปเพียงสิบชั่วลมหายใจเท่านั้น หยวนหลงที่มีผลการฝึกตนเทพมารระดับห้าช่วงปลายก็ถูกหลัวซิวสังหารคาที่
ยิ่งกว่านั้นคือคนจำนวนมากที่อยู่ในละแวกถนนที่มองเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวยังไม่ทันตอบสนองกลับมาได้เลยด้วยซ้ำ ทั้งถนนก็เงียบกริบไปเลย
เหมือนอย่างที่หลัวซิวกล่าว ดาราธารานิลที่อยู่ที่นี่เป็นเพียงดาราที่ธรรมดามาก ๆ เทพมารระดับห้าช่วงปลายที่อยู่บนนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจมาก ๆ แล้ว เนื่องจากความเคารพยำเกรงที่มีต่อผู้แข็งแกร่งโดยสัญชาตญาณ ทำให้สายตาของทุกคนที่มองไปทางหลัวซิว ล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวและหวาดผวา
แหวนเก็บของของหยวนหลงถูกหลัวซิวยื่นมือออกไปคว้ามา ก่อนจะใช้ตัวสำนึกแผ่สำรวจ พบว่าสิ่งของที่อยู่ภายในแหวนเก็บของวงนี้ยุ่งเหยิงมาก จึงแสดงให้เห็นเลยว่าหยวนหลงนี่มักชอบจะทำเรื่องชั่ว ๆ อย่างการฆ่าคนเพื่อชิงทรัพย์สมบัติ
ดังคำกล่าวที่ว่าสุดท้ายไม่เร็วไม่ช้าฆาตกรก็ต้องถูกผู้อื่นฆ่าอยู่ดี ในขณะที่เจ้าสังหารผู้อื่นแล้วแก่งแย่งทรัพย์สมบัติครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่แน่วันใดวันหนึ่ง เจ้าก็จะถูกผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเจ้าฆ่าอยู่ดี ซึ่งนี่ก็คือกฎเกณฑ์ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงในโลกแห่งการฝึกยุทธ์
จอมยุทธ์ทั้งสองคนที่เชิญหยวนหลงมาก็ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ เช่นกัน และมองเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว ณ บัดนี้วินาทีนี้ พวกเขาทั้งสองคนผงะไปหมดแล้ว
หากหลัวซิวนี่สามารถสังหารหยวนหลง แสดงว่าเขาเป็นอัจฉริยะราชาเทพระดับสี่ที่มาจากกองกำลังใหญ่ แต่เขากลับสามารถสังหารหยวนหลงภายในเวลาสิบชั่วลมหายใจ นี่จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวกว่ามาก อย่างน้อยเขาก็เป็นอัจฉริยะมกุฎเทพระดับสี่แล้ว
อัจฉริยะมกุฎเทพระดับสี่คนหนึ่งที่อยู่ในกองกำลังใหญ่ ก็ต้องเป็นบุคคลอัจฉริยะที่ได้รับความสำคัญอย่างมากแน่นอน คนประเภทนี้ มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับหกก็ยังไม่ยอมรุกรานง่าย ๆ
……
เนื่องจากการคงอยู่ของธารานิล ทำให้กองกำลังทั้งหลายบนดาราธารานิล ยุ่งเหยิงเหมือนยุงตีกัน แต่กองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดที่ผู้คนต่างให้การยอมรับก็คือเจ้าแห่งหุบเขามังกรนิล และถูกเรียกขานว่าเป็นเจ้าแห่งดาราธารานิลเช่นกัน
เล่ากันว่าผลการฝึกตนของประมุขหุบเขามังกรนิลคนนี้เป็นเทพมารระดับเจ็ดแล้ว ซึ่งดาราธารานิลก็คืออาณานิคมของเขา
ในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด มีเพียงผู้ที่มีผลการฝึกตนบรรลุถึงเทพมารระดับเจ็ดถึงจะถูกเรียกว่าผู้แข็งแกร่ง และมีเพียงบรรลุถึงแดนระดับนี้เท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์ยึดครองดาราดวงหนึ่งให้กลายเป็นอาณานิคมของตน
ผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดส่วนมากล้วนจะมีดาราที่เป็นของตนเอง ผู้แข็งแกร่งเทพมารบางส่วนที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง ยิ่งมีดาราเป็นร้อยเป็นพันดวง ยิ่งกว่านั้นคือมีอาณาจักรดาราและแสงดาวเป็นของตัวเองด้วย
นอกเหนือจากหุบเขามังกรนิลที่มีตำแหน่งค่อนข้างอยู่เหนือกองกำลังทั้งหลายแล้ว บนดาราธารานิลยังมีกองกำลังอื่น ๆ ที่ศักยภาพค่อนข้างแข็งแกร่งด้วย ซึ่งเมืองเหลยเจ๋อก็คือหนึ่งในนั้น
เมืองเหลยเจ๋อตั้งอยู่ในละแวกใกล้เคียงของธารานิล เขตพื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ที่เป็นแอ่งน้ำ ต่อมามีผู้แข็งแกร่งที่ฝึกกฎธาตุอัสนีคนหนึ่งได้มาก่อสร้างเมืองเหลยเจ๋ออยู่ที่นี่ แล้วค่อย ๆ พัฒนามันขึ้นมา
“ได้ยินมาว่าช่วงนี้มีคนที่น่าสนใจคนหนึ่งมายังดาราธารานิลหรือ?”
ณ เมืองเหลยเจ๋อ ผู้พูดคือชายคนหนึ่งที่ดูหนุ่มมาก ๆ เขาอยู่ในชุดแพรที่ดูหรูหรามาก ในมือยังถือถ้วยเหล้าหนึ่งถ้วยด้วย
“ตอบกลับเจ้าเมืองน้อยขอรับ ดูเหมือนผู้ที่มาจากถิ่นอื่นจักมีนามว่าหลัวซิว ได้ทำการสังหารทูตนำทางคนหนึ่งของเทือกเขามังกรบินขณะอยู่ในสถานชี้นำ จากนั้นก็สังหารผู้ดูแลของเทือกเขามังกรบินอีกคนหนึ่งด้วยขอรับ”
“เป็นเพียงผู้ดูแลกระจอก ๆ ของเทือกเขามังกรบินเอง”ชายหนุ่มดูหมิ่นดูแคลนมาก ผู้ดูแลของเทือกเขามังกรบินมากสุดก็เป็นเพียงเทพมารระดับห้าช่วงปลายเท่านั้น เขาก็สามารถสังหารได้ง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปากเช่นกัน
“หากเจ้าเมืองน้อยทราบผลการฝึกตนของหลัวซิวนั่นละก็ บางทีท่านก็อาจจะไม่พูดเช่นนี้แล้วขอรับ”ผู้อาวุโสยิ้มพลางพูด
“โอ๊ะ? หรือว่าผลการฝึกตนของเขาคือเทพมารระดับห้าขั้นปฐมภูมิ”ชายหนุ่มยักคิ้วทีหนึ่ง การใช้ผลการฝึกตนเทพมารระดับห้าขั้นปฐมภูมิข้ามขั้นสังหารเทพมารระดับห้าช่วงปลายนั้น ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่ค่อนข้างแข็งแกร่งในหมู่ราชาเทพระดับห้าแล้ว
“ผลการฝึกตนของเขาคือเทพมารระดับสี่ขั้นสูงขอรับ!”
“ว่าอย่างไรนะ!?”
รูม่านตาของหนุ่มเจ้าเมืองน้อยหดลงกะทันหัน เขาคุยโวโอ้อวดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าตนเป็นอัจฉริยะขั้นสุดยอดในดาราธารานิล ซึ่งเป็นราชาเทพในเทพมารระดับห้าช่วงกลาง อดีตเคยข้ามขั้นสังหารยอดฝีมือเทพมารระดับห้าขั้นสูงมาก่อน
ทว่าท้ายที่สุดแล้วระหว่างราชาเทพและมุกฎเทพก็ต่างกันไม่น้อยอยู่ดี ถึงแม้มุกฎเทพแค่สามารถข้ามขั้นได้มากกว่าราชาเทพหนึ่งแดนเล็ก แต่สำหรับจอมยุทธ์ที่ผลการฝึกตนบรรลุมาถึงระดับนี้แล้ว ระยะความต่างเพียงหนึ่งแดนเล็ก ก็แตกต่างกันมาก ๆ
มุกฎเทพระดับสี่คนหนึ่ง หากเขาบรรลุถึงแดนเทพมารระดับห้าแล้ว แต่ยังสามารถรักษาความสามารถในการข้ามขั้นสังหารเช่นนี้ได้อีก อย่างนั้นเมื่ออาศัยผลการฝึกตนเทพมารระดับห้าขั้นปฐมภูมิ เขาก็ไม่อ่อนกว่าเขาที่เป็นราชาเทพในเทพมารระดับห้าช่วงกลางแล้ว
สำหรับหนุ่มเจ้าเมืองน้อยแล้ว เขาเป็นผู้ที่ข้ามขั้นท้าประลองผู้อื่นมาโดยตลอด ปัจจุบันกลับมีอัจฉริยะที่มีโอกาสข้ามขั้นท้าประลองตนในอนาคตโผล่หัวมากะทันหัน ทำให้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่ดี
“น่าสนใจดีแฮะ……น่าสนใจ……”
มีความเจ้าเล่ห์เสี้ยวหนึ่งกระพริบหายไปในแววตาเจ้าเมืองน้อย “อัจฉริยะทุกคนที่สามารถข้ามขั้นท้าประลอง ต้องมีจุดที่พิเศษอย่างแน่นอน หากไม่มีพรสวรรค์ฐานร่างบางประเภทที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่กำเนิด เช่นนั้นวรยุทธ์พลังอมตะที่ฝึกก็ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน หรือไม่ก็ยึดกุมอุบายไพ่เด็ดสุดยอด”
“ไม่ว่าคนดังกล่าวจะได้เปรียบในด้านใด หากข้าสามารถได้ครอบครองละก็ เช่นนั้นมันก็จะทำให้ท่านชายอย่างข้าพัฒนาขึ้นอีกก้าว บรรลุเป็นมุกฎเทพระดับห้าในรวดเดียว!”
ในกองกำลังใหญ่ทั้งหลาย อัจฉริยะระดับราชาเทพก็ถือว่าค่อนข้างหาพบได้บ่อยอยู่ แต่ถ้าเกิดเป็นอัจฉริยะระดับมุกฎเทพ เช่นนั้นไม่ว่าจะเดินไปถึงสถานที่ใด ก็ล้วนสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ไม่น้อยเลย ซึ่งคุ้มแก่การให้กองกำลังใหญ่เหล่านั้นทุ่มแรงกายแรงใจมาบ่มเพาะ อนาคตมีโอกาสกลายเป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทาน
ตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ หลัวซิวสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยว่ามีคนจำนวนไม่น้อยต่างสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของตัวเองอยู่ในที่ลับ
สำหรับเรื่องนี้ เขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจมากเท่าไหร่นัก เนื่องจากสถานที่เล็ก ๆ อย่างดาราธารานิล อัจฉริยะมุกฎเทพระดับสี่คนหนึ่งก็ถือว่าเป็นที่โดดเด่นในสายตาผู้คนมากอยู่
แท้จริงแล้วหลัวซิวก็จงใจทำเช่นนี้ด้วย มิฉะนั้นเขาก็คงไม่ลงมือฆ่าคนอย่างแข็งกร้าวเช่นนั้น ซึ่งจุดประสงค์ของเขาก็คือจะทำให้ผู้คนเกิดความเข้าใจผิด ทำให้คนที่อยู่บนดาราธารานิลนี่มองว่าเขาเป็นอัจฉริยะที่มาจากกองกำลังใหญ่ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว กองกำลังทั้งหลายบนดาราธารานิลก็จะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
หลัวซิวก็สืบเสาะมาได้ตั้งนานแล้วเช่นกันว่าสถานที่ที่เขามาถึงก็คือโลกร้าง ด้วยเหตุนี้จึงแสดงให้เห็นเลยว่าในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด โลกร้างน่าจะเป็นโลกที่อยู่ค่อนข้างใกล้กับมหาโลกาพันสาม ฉะนั้นหลังจากใช้ยันต์ทะลุฟ้าฉีกกระชากพื้นโลกปริภูมิทิ้งแล้ว โอกาสที่จะถูกส่งมายังโลกร้างจึงสูงที่สุด
ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นตัวเองหรือเหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ ผลการฝึกตนของพวกเขาทั้งสามคนยังค่อนข้างต่ำ ซึ่งไม่เหมาะกับการเร่ร่อนพเนจรอยู่ในห้วงดาราของโลกร้างแต่อย่างใด ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ หลัวซิวก็ไม่มีแผนการที่จะออกจากดาราธารานิล
ภายในเมืองมีถ้ำสำหรับการฝึกฝนปล่อยให้เช่าโดยเฉพาะ ถ้ำแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างมีระดับ เมื่อจ่ายด้วยโอสถแก่นแท้ระดับห้าหนึ่งล้านเม็ด ก็สามารถเช่าได้สิบปีแล้ว
หลัวซิวสังหารสองพี่น้องหยวนหลงและหยวนซาน แล้วได้รับโอสถแก่นแท้มาหลักล้านเม็ด ดังนั้นเขาจึงเช่าถ้ำแห่งหนึ่งโดยตรง ก่อนจะจัดแจงให้เหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ฝึกตนด้านใน
ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว พวกหลัวซิวทั้งสามคนก็มาถึงดาราธารานิลครึ่งปีกว่าแล้ว หลัวซิวสะสมผลการฝึกตนของตัวเองมาโดยตลอด หลังจากผลการฝึกตนสะสมถึงขีดจำกัดของจ้าวมหาเทพแล้ว เขาก็จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับปัญหาในการบรรลุสู่แดนเทพมารระดับห้าแล้ว
การยกระดับผลการฝึกตนนั้นจำเป็นต้องใช้ทรัพยากร เหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ต่างมีผลการฝึกตนเทพมารระดับห้าแล้ว ทรัพยากรที่พวกนางต้องใช้ในแต่ละวัน ก็ไม่ใช่จำนวนที่น้อย ๆ ด้วย
หลัวซิวขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เดินออกไปจากถ้ำ มาถึงเมืองหยุนเมิ่ง ถ้ำที่เขาเช่าก็อยู่ในเมืองหยุนเมิ่งเช่นกัน
นอกจากทรัพยากรที่ทิ้งให้สตรีทั้งสองนางแล้ว ในมือหลัวซิวยังเหลือโอสถแก่นแท้อีกสองล้านกว่าเม็ด ความคิดของเขาคือจะทำการเช่าร้านค้าในเมืองหยุนเมิ่งหนึ่งร้าน เพื่อประกอบธุรกิจยา
ไม่ว่าจะไปถึงสถานที่แบบใด อาชีพนักกลั่นยาล้วนเป็นอาชีพที่ค่อนข้างขาดแคลน เมื่ออยู่บนสถานที่เล็ก ๆ อย่างดาราธารานิล นักยาเซียนระดับหกคนหนึ่งต้องได้รับการสรรเสริญเยินยอมากอย่างแน่นอน
หลังจากหลัวซิวได้เปิดร้านแล้ว ลูกค้าคนแรกของร้านยาเขาก็มาเยือน
“ไม่รับต้นยาเซียน รับเพียงโอสถแก่นแท้หรือ?”นี่คือชายหนุ่มที่มีผลการฝึกตนเทพมารระดับห้าขั้นปฐมภูมิ โดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อมาขอให้นักกลั่นยากลั่นยา ล้วนต้องจ่ายด้วยวัตถุดิบสามส่วนแล้วแลกมากับยาหนึ่งเตา หากเป็นยาที่กลั่นค่อนข้างยาก ราคาก็จะสูงขึ้น
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจมากคือร้านยาที่เหมือนเพิ่งเปิดใหม่นี้ ถึงกับไม่มียาประเภทใดขายอยู่เลยไม่ว่า เมื่อกลั่นยาให้ผู้อื่นก็รับแค่โอสถแก่นแท้เท่านั้น ไม่ขอค่าตอบแทนอย่างต้นยาเซียนเพิ่มต่างหาก?
“หากต้องการกลั่นเม็ดยาเซียนระดับห้าละก็ ค่ากลั่นคือโอสถแก่นแท้หนึ่งแสนเม็ด หากกลั่นเม็ดยาเซียนระดับหก ก็เก็บโอสถแก่นแท้เตาละหนึ่งแสนเม็ดเช่นกัน”หลัวซิวนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง
โอสถแก่นแท้ที่เขาพูดถึงนั้น ต้องสอดคล้องกับระดับขั้นของยาอยู่แล้ว กลั่นยาเซียนระดับห้า ต้องจ่ายโอสถแก่นแท้ระดับห้าเป็นค่าตอบแทน หากกลั่นยาเซียนระดับหก ฝ่ายตรงข้ามก็ต้องจ่ายโอสถแก่นแท้ระดับหกเช่นกัน เขาถึงจะลงมือกลั่นยาให้
ปัจจุบันเขากำลังเผชิญหน้ากับด่านยากอย่างการบรรลุสู่เทพมารระดับห้า ประสิทธิผลของโอสถแก่นแท้ระดับห้าไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อการฝึกตนของเขาแล้ว ซึ่งไม่เพียงพอต่อการทลายจุดตีบตัน หากเขาจะยกระดับผลการฝึกตน ก็ต้องใช้โอสถแก่นแท้ระดับหกจำนวนมาก
“เจ้าคือนักยาเซียนระดับหกหรือ?”เมื่อชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้ยินคำพูดดังกล่าว ก็เบิกตากว้างจนดวงตากลมโต
ในโลกร้างก็ตามหานักยาเซียนได้ค่อนข้างน้อยเช่นกัน สถานที่เล็ก ๆ อย่างดาราธารานิลก็มีเพียงนักยาเซียนระดับห้า อดีตเคยมีปรมาจารย์ยาเซียนระดับหกเช่นกัน แต่ท่านออกไปพัฒนาในที่ที่ดีกว่าตั้งนานแล้ว
“ถูกต้อง ข้าคือปรมาจารย์ยาเซียนระดับหกคนหนึ่งจริง ๆ หากเจ้ามีสหายที่รู้จัก ก็สามารถแนะนำให้มากลั่นยาที่ข้าได้เช่นกัน เรามีการรับประกันคุณภาพของยาอย่างแน่นอน”หลัวซิวยิ้มพลางตอบกลับ
“มีหลักฐานนักกลั่นหรือไม่?”ชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เนื่องจากคนที่อยู่ตรงหน้านี้ดูหนุ่มมากเกินไป เขาก็ยากที่จะเชื่อได้เช่นกันว่าคนที่ยังหนุ่มขนาดนี้จะเป็นปรมาจารย์ยาเซียนระดับหกคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ
ยิ่งกว่านั้นคือไม่ต้องพูดถึงปรมาจารย์ยาเซียนระดับหกเลย ต่อให้เป็นนักยาเซียนระดับห้า เขาก็ไม่เชื่อว่าชายหนุ่มคนนี้จะมีฝีมือระดับนั้น
“หลักฐานนักกลั่น?”หลัวซิวขมวดคิ้วลง เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าหลักฐานนักกลั่นมันคืออะไร
“เจ้าไม่มีหลักฐานนักกลั่นหรือ?”เป็นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้จริง ๆ ด้วย เมื่อเห็นสีหน้าอารมณ์ของหลัวซิว สีหน้าของชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็เปลี่ยนไปภายในพริบตาเช่นกัน ทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง ก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกไปจากร้านยาของหลัวซิว
สีหน้าของหลัวซิวหม่นหมองลง เขานึกไม่ถึงเลยว่าธุรกิจแรกของตนเองจะลอยน้ำเช่นนี้ ไม่มีหลักฐานนักกลั่น? ไม่มีหลักฐานนักกลั่นแล้วจะกลั่นยาออกมาไม่ได้หรือ?
เมื่อออกไปสืบเสาะด้านนอก ในที่สุดหลัวซิวก็เข้าใจสักทีว่าหลักฐานนักกลั่นคืออะไร หลักฐานนักกลั่นที่กล่าวถึงนั้น ก็คือสัญลักษณ์ที่แสดงถึงตัวตนอันสูงส่งของนักกลั่นยา นักกลั่นยาที่มีหลักฐานนักกลั่นถึงจะถือว่าเป็นนักกลั่นที่ได้รับการยอมรับ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วผู้อื่นก็จะวางใจมาให้เจ้ากลั่นยา ไม่ต้องกังวลว่าเจ้าจะหลอกวัตถุดิบของผู้อื่น
หากต้องการหลักฐานนักกลั่น ก็ต้องไปเข้ารับการประเมินผลที่หอโอสถศักดิ์สิทธิ์ ในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด หอโอสถศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่ที่มีอำนาจที่สุดในด้านกลั่นยา เล่ากันว่าผู้มากอิทธิพลที่ริเริ่มหอโอสถศักดิ์สิทธิ์คือผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเทพระดับเก้าคนหนึ่ง
ในยุคสมัยที่ไท่ซ่างฉิงคงอยู่ หลัวซิวไม่เคยได้ยินหอโอสถศักดิ์สิทธิ์อะไรมาก่อนเลยด้วยซ้ำ จึงแสดงให้เห็นเลยว่าหอโอสถศักดิ์สิทธิ์ที่กล่าวถึงนั้น น่าจะเป็นกองกำลังหนึ่งที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาในยุคหลัง
ถึงแม้ในใจจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจก็ตาม แต่ตราบใดที่เขายังไม่มีศักยภาพที่แน่นอน ก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของโลกาใบนี้ มีเพียงไปหอโอสถศักดิ์สิทธิ์และได้รับหลักฐานประเมินผลของนักกลั่น ผู้อื่นถึงจะมากลั่นยากับเขา มิเช่นนั้นต่อให้เขาจะพูดได้น่าฟังมากเพียงใด ก็ไม่มีคนเชื่อในฝีมือการกลั่นยาของเขา