มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2658 สยบเร็วปานสายฟ้า
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2658 สยบเร็วปานสายฟ้า
รอหลังจากที่หลัวซิวจากไปแล้ว สีหน้าของเหลยเทียนฟางก็หม่นหมองลงไปภายในพริบตา
“สืบเสาะมาได้หรือยัง?”
“รายงานเจ้าเมืองน้อยขอรับ สืบเสาะความเป็นมาของหลัวซิวนั่นไม่ได้เลยขอรับ เขาและสตรีทั้งสองนางนั้นราวกับผุดออกมากะทันหันยังไงอย่างนั้น”ผู้อาวุโสชุดคลุมยาวเขียวที่อยู่ข้าง ๆ ตอบกลับ
“หรือว่าข้าคิดมากเกินไป? บางทีมันอาจจะเป็นเพียงผู้บำเพ็ญอิสระที่มีพรสวรรค์และโชคไม่ค่อยเลวเท่านั้น ซึ่งไม่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งแต่อย่างใด?”เหลยเทียนฟางขมวดคิ้วลง
“เจ้าเมืองน้อยจักเชื้อเชิญมันไปสถานที่แห่งนั้นพร้อมกันจริง ๆ หรือขอรับ?”
“ไป ต้องไปอยู่แล้วสิ!”มีรัศมีดวงหนึ่งกระพริบผ่านไปในแววตาเหลยเทียนฟาง
กลับไปถึงเมืองหยุนเมิ่ง เหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ยังคงฝึกตนปิดขังอยู่ภายในถ้ำที่เช่ามา ค่ายกลบริเวณรอบถ้ำถูกหลัวซิวจัดวางใหม่อีกรอบแล้ว ทุกค่ายล้วนเป็นค่ายเทพระดับหก ขอแค่ไม่มีเทพมารระดับเจ็ดลงมือโจมตี ต่อให้มีเทพมารระดับหกมากันหลายคน ก็อย่าคิดว่าจะสามารถบุกเข้ามาได้ง่าย ๆ
เดิมทีคิดว่าเมื่ออาศัยฝีมือกลั่นยาของตัวเองแล้ว ก็จะสามารถจัดการปัญหาการฝึกตนต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย แต่หลัวซิวคิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะมองปัญหาง่ายเกินไป ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เขาใช้ชีวิตอยู่ในมหาโลกาพันสามได้ราบรื่นมาก เมื่อมาถึงโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด จู่ ๆ ก็พบเจอปัญหาต่าง ๆ นานา ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยจริง ๆ
ทรัพยากรการฝึกตนที่เขาทิ้งไว้ให้เยว่เอ๋อร์และซีโรว่ อย่างมากสุดใช้ระยะเวลาอีกประมาณหนึ่งปีกว่า ทรัพยากรเหล่านั้นก็จะถูกใช้จนหมดแล้ว อีกอย่างเขาจำเป็นต้องรีบบรรลุให้ถึงแดนจักรพรรดิเทพ มีเพียงบรรลุถึงแดนจักรพรรดิเทพแล้ว เขาถึงจะมีความสามารถในการเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดอย่างแท้จริง
หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน หลัวซิวก็มาถึงเมืองมังกรนิลอีกครั้ง ก่อนจะไปพบหน้าเหลยเทียนฟางในห้องใต้หลังคาแห่งหนึ่ง
เมื่อหลัวซิวมาถึงที่นี่ เหลยเทียนฟางก็มาถึงก่อนแล้ว อีกทั้งภายในห้องยังมีคนนั่งอยู่อีกสองสามคน มีหนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มที่หน้าตาดูดุร้าย ร่างกายสูงใหญ่ เมื่อเห็นหลัวซิว ก็มีชี่ฉกรรจ์ทะลุออกมาจากสายตา
“เหอะ ๆ สหายหลัวมาแล้ว……”
เหลยเทียนฟางลุกขึ้นมาต้อนรับ หากผู้ที่ไม่รู้อาจจะคิดว่าเขาและหลัวซิวเป็นสหายรักที่รู้จักกันมาหลายปีเสียอีก
เมื่อคนบางคนเห็นว่าเหลยเทียนฟางลุกขึ้นมาต้อนรับ จึงลุกขึ้นมาตาม แต่ก็มีบางคนที่สงวนตัวตน ไม่ได้ลุกขึ้นมาแต่อย่างใด
“ข้าขอแนะนำให้สหายหลัวรู้จักหน่อย คนนี้คือเจ้าสำนักน้อยแห่งเทือกเขามังกรบิน เฉิงหู่!”
เฉิงหู่ที่เหลยเทียนฟางพูดถึงก็คือชายหนุ่มหน้าตาดุร้าย ร่างกายสูงใหญ่นั่น
เมื่อได้ยินว่าเขาเป็นเจ้าสำนักน้อยแห่งเทือกเขามังกรบิน หลัวซิวก็รู้แล้วว่าเหตุใดเฉิงหู่นี่ถึงมีเจตนาร้ายต่อตนเอง พี่น้องหยวนหลงและหยวนซานที่เขากำจัดทิ้งขณะที่เพิ่งมาถึงดาราธารานิล ก็กำเนิดจากเทือกเขามังกรบินนี่แหละ
คนในเทือกเขามังกรบินคาดเดาศักยภาพที่แท้จริงของเขาไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้ลงมือทำอะไรตลอดมา ทว่าฝั่งเมืองหยุนเมิ่ง คนในเทือกเขามังกรบินก็วนเวียนอยู่บริเวณรอบถ้ำที่เขาเช่ามาเป็นประจำเช่นกัน
หลัวซิวเข้าใจดีมาก ๆ ว่าไม่เพียงแค่เทือกเขามังกรบินเท่านั้น บัดนี้เขายังถูกเจ้าเมืองน้อยแห่งเมืองเหลยเจ๋ออย่างเหลยเทียนฟางนี่หมายตาไว้อีกด้วย หากเขาไม่แสดงสิ่งที่สามารถข่มพวกเขาเอาไว้ออกมาจริง ๆ ไม่แน่สองกองกำลังนี้ก็อาจจะลงมือต่อเขาแล้ว
อัจฉริยะจากกองกำลังใหญ่จำนวนมาก ขณะที่ออกไปฝึกฝนเก็บเกี่ยวด้านนอก ถึงแม้เบื้องหลังจะมีภูมิหลังและผู้หนุนหลัง ทว่าก็มีอัจฉริยะไม่น้อยที่ดับสลายสูญสิ้นอยู่ดี ซึ่งในโลกใบนี้ก็มีคนประเภทนั้นคงอยู่ส่วนหนึ่งเช่นกัน พวกเขาได้รับโชคและโอกาสที่เป็นของอัจฉริยะเหล่านั้น จนศักยภาพพุ่งพรวดในทีเดียว และยึดครองตำแหน่งเล็ก ๆ ในโลกแห่งการฝึกยุทธ์ที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้
อัจฉริยะไม่จำเป็นต้องเป็นผู้แข็งแกร่งเสมอไป แท้จริงแล้วอัจฉริยะจำนวนมากที่อยู่ในสายตาคนจำนวนมากก็คือเหยื่อ
หลัวซิวรู้สึกว่าบางทีเขาในวินาทีนี้ ก็อาจจะเป็นเหยื่อในสายตาพวกเหลยเทียนฟางและเฉิงหู่เช่นกัน
นอกเหนือจากเฉิงหู่แล้ว ยังมีศิษย์อัจฉริยะแห่งหุบเขามังกรนิล อูหยุนเห้อ
เห็นได้ชัดเจนมากเลยว่าการเดินทางไปถ้ำของผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดในครั้งนี้ เหลยเทียนฟางไม่เพียงเชิญชวนเขาเท่านั้น ยังเชิญสองคนนี้มาด้วย
ในส่วนของผู้อาวุโสชุดคลุมยาวเขียวที่มีผลการฝึกตนเทพมารระดับหกนั้น เหลยเทียนฟางไม่มีความคิดที่จะพาเขาไปด้วย เนื่องจากเขาเป็นผู้ดูแลแห่งเมืองเหลยเจ๋อ จำเป็นต้องฝากภารกิจในเมืองเหลยเจ๋อให้เขาจัดการอีก
เหลยเทียนฟางเรียกเรือรบออกมาหนึ่งลำ พวกเขาทั้งสี่คนจึงลอยตัวขึ้นฟ้า แล้วหายไปจากสุดปลายขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว
สถานที่ตั้งของถ้ำแห่งนั้นไม่ได้อยู่บนดาราธารานิลแต่อย่างใด แต่อยู่ในกลุ่มหินอุกกาบาตที่อยู่ค่อนข้างไกลจากดาราธารานิล
เล่ากันว่าเดิมทีที่นั่นไม่ใช่กลุ่มหินอุกาบาต แต่มีดาราคงอยู่หนึ่งดวง ต่อมาในศึกสงครามครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่ง ดวงราดวงนั้นถูกผู้แข็งแกร่งโจมตีจนแตกสลาย จนกลายเป็นกลุ่มหินอุกกาบาตขนาดใหญ่อย่างทุกวันนี้
ในระหว่างทางที่บินตรงไปยังจุดหมายปลายทาง อูหยุนเห้อและเฉิงหู่ไม่ได้พูดคุยกับหลัวซิวแต่อย่างใด ส่วนเหลยเทียนฟางนั้น ตั้งแต่เริ่มต้นกระทั้งบัดนี้ บนใบหน้าเขามีรอยยิ้มจาง ๆ มาโดยตลอด
ทว่าแท้จริงแล้วระหว่างเหลยเทียนฟางและอูหยุนเห้อกับเฉิงหู่ ต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดด้วยตัวสำนึกมาโดยตลอด พวกเขาคิดไปเองว่าการทำเช่นนี้มันแนบเนียนมาก แต่กลับหนีการสำรวจจากตัวสำนึกของหลัวซิวไม่พ้น
วิญญาณดั้งเดิมของหลัวซิวกลายเป็นญาณเทวแล้ว ระดับตัวสำนึกของเขาสูงมาก แต่ก็สัมผัสได้แค่ว่าพวกเขากำลังสื่อสารพูดคุยกันผ่านตัวสำนึก ในส่วนของเรื่องที่ว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไรกันนั้น หลัวซิวกลับไม่ทราบเลย
ไม่ว่าพวกเขาทั้งสามจะมีแผนชั่วหรือคิดที่จะร่วมมือกันอย่างไร หลัวซิวก็ล้วนไม่ได้นำมาใส่ใจ ผลการฝึกตนของเหลยเทียนฟางทั้งสามคนต่างเป็นเทพมารระดับห้าช่วงกลาง ถึงแม้จะแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิเทพช่วงกลางในมหาโลกาพันสามมาก ๆ หลัวซิวก็ไม่นำมาใส่ใจอยู่ดี
เวลาล่วงเลยไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ใช้เวลาไปเกือบครึ่งวัน เรือรบก็มาถึงละแวกใกล้เคียงของหินอุกกาบาตลูกหนึ่งที่ใหญ่โตมโหฬารมาก เหลยเทียนฟางใช้นิ้วชี้ไปข้างหน้าพลางพูด: “ถ้ำแห่งนั้นก็อยู่บนหินอุกกาบาตลูกนี้แหละ”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ภายใต้การควบคุมของเหลยเทียนฟาง เรือรบจึงพุ่งลงไปด้านล่าง เหลยเทียนฟางหยิบม้วนหยกชิ้นหนึ่งออกมาสัมผัสตำแหน่งทิศทางอยู่เป็นระยะ กระทั่งหลังจากผ่านไปพักหนึ่ง พวกเขาก็มาถึงจุดพิกัดแห่งหนึ่งบนหินอุกกาบาตลูกนี้
“ที่นี่ไม่มีอะไรเลยนี่”
เฉิงหู่ขมวดคิ้วลง ตัวสำนึกของเขาได้แผ่ขยายออกไปแล้ว แต่กลับไม่พบทางเข้าแดนปริศนาที่เหลยเทียนฟางพูดถึงเลย
ทว่าหลัวซิวกลับยักคิ้วครั้งหนึ่ง ตัวสำนึกของเขาสัมผัสคลื่นปริภูมิที่เล็กมาก ๆ ได้จริง ๆ ที่นี่มีทางเข้าที่เชื่อมไปสู่แดนปริศนาแห่งหนึ่งจริง ๆ แต่ทว่าทางเข้านั้นซ่อนเร้นมาก ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะเขามีญาณเทว ตัวสำนึกพิเศษ ก็คงสัมผัสไม่ได้เช่นกัน
“ไม่ว่าที่นี่จะเป็นทางเข้าของแดนปริศนาหรือไม่ เรื่องบางเรื่องก็ควรจัดการล่วงหน้าแล้ว”อูหยุนเห้อพูดกระแทกเสียงต่ำประโยคหนึ่ง ถัดจากนั้นสายตาของเขาก็ร่วงลงบนตัวหลัวซิว
“แหะ ๆ สหายหยุนเห้อพูดถูก”
มีรอยยิ้มที่ดูดุร้ายปรากฏบนใบหน้าเฉิงหู่ มีจิตสังหารหนึ่งแผ่กระจายออกมาจากร่างกายและผนึกไปที่หลัวซิว
“จักลงมือบัดนี้เลยหรือ?”
หลัวซิวไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย สายตาเขามองไปทางเหลยเทียนฟาง “สหายเหลยก็วางแผนที่จะร่วมมือพร้อมกับพวกมันหรือ?”
เมื่อเห็นว่าลักษณะท่าทีของหลัวซิวดูสุขุมใจเย็นเช่นนี้ เหลยเทียนฟางจึงขมวดคิ้วลง เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าหลัวซิวนี่มีความมั่นใจอะไรกันแน่ ถึงสามารถเผชิญหน้ากับพวกเขาทั้งสามคนได้อย่างสุขุม?
อย่างไรเสียผลการฝึกตนของเขาก็เป็นเพียงเทพมารระดับสี่ มาตรแม้นว่าเป็นอัจฉริยะระดับมกุฎเทพ เมื่อเผชิญหน้ากับพวกเขาทั้งสามคนที่เป็นเทพมารระดับห้าช่วงกลาง สถานการณ์ก็มีแต่ได้ตายสถานเดียวอย่างแน่นอน
หรือว่าเขาอำพรางผลการฝึกตน บางทีเขาอาจจะเป็นอัจฉริยะระดับจักรพรรดิเทพคนหนึ่ง?
โอกาสในการเป็นอัจฉริยะจักรพรรดิเทพแทบจะถูกเหลยเทียนฟางปัดทิ้งภายในพริบตา มีแต่อัจฉริยะจักรพรรดิเทพที่กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำเท่านั้นแหละ ถึงจะแจ้นมาสถานที่เล็ก ๆ อย่างดาราธารานิล
มิหนำซ้ำต่อให้เป็นอัจฉริยะระดับจักรพรรดิเทพ จากผลการฝึกตนเทพมารระดับสี่ของเขา ก็แค่มีศักยภาพเทพมารระดับห้าขั้นสูงเท่านั้น พวกเขาทั้งสามคนต่างเป็นราชาเทพในเทพมารระดับห้าช่วงกลาง และล้วนมีศักยภาพเทพมารระดับห้าขั้นสูง ภายใต้สถานการณ์สามต่อหนึ่ง สามารถพูดได้เลยว่ามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมเลย
“หึ แสร้งความลี้ลับซับซ้อนเพื่อที่จะทำให้พวกกูสับสน ไม่ว่ามึงจะมีอุบายอะไร วันนี้มึงก็จะเป็นเพียงศพร่างหนึ่งเท่านั้น!”
เฉิงหู่เป็นคนแรกที่อดกลั้นต่อไปไม่ไหว เงาร่างหายวับไปกับที่กะทันหัน ก่อนจะปรากฏตรงหน้าหลัวซิวในวินาทีต่อไป แล้วต่อยหมัดออกมา
เดิมทีพวกเขาทั้งสามคนได้ปรึกษาหารือร่วมกันเสร็จแล้ว ขอแค่เจอสถานที่ที่เป็นทางเข้าของแดนปริศนา ก็จะทำการกำจัดหลัวซิวนี่ทิ้งก่อน แล้วดูซิว่าบนตัวอัจฉริยะระดับมกุฎเทพจากกองกำลังใหญ่ที่ไม่ทราบความเป็นมานี้จะมีของดีอะไรหรือไม่
ตู้มม!
ภายในเวลาเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น หลัวซิวก็ง้างกำปั้นขึ้นมาปะทะกับเฉิงหู่โดยตรง ซึ่งนี่เป็นการปะทะกันในด้านร่างยุทธ์ร่างเนื้ออย่างเดียวเท่านั้น กำปั้นที่พุ่งชนกันทำให้มีเสียงระเบิดที่ต่ำทุ้มดังขึ้น ระลอกคลื่นที่สามารถมองเห็นได้ด้วยเนื้อตาเปล่ากระเพื่อมออกไปกลางอากาศ จนเกิดเป็นเสียงแผะ ๆ ๆ
เงาร่างของหลัวซิวไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามเฉิงหู่กลับกระเด็นออกไป มีรังสีแห่งความตะลึงปรากฏบนใบหน้าที่ดุร้าย
“ช่างเป็นร่างเนื้อที่แข็งแกร่งยิ่งนัก!”
เฉิงหู่เป็นจอมยุทธ์กลั่นร่าง แม้นผลการฝึกตนจะเป็นเทพมารระดับห้าช่วงกลาง แต่ร่างเนื้อกลับชุบถึงเทพมารระดับห้าขั้นสูงแล้ว
“เอาอีก!”
เฉิงหู่ตะคอกเสียงดังลั่น จากนั้นก็มีแสงสีทองที่แวววาวจับตาแย้มบานออกมาจากร่างกาย กฎธาตุทองที่มีพลังโจมตีแข็งแกร่งที่สุดในเบญจธาตุถูกเขาผนึกรวมออกมา ปลดปล่อยพลังอมตะแห่งร่างเนื้อออกมา ทำให้พลังและเกราะป้องกันร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเขาพุ่งขึ้นไปถึงระดับที่เกะกะระรานภายในพริบตา
สภาพของหลัวซิวยังคงสุขุมเรียบนิ่งอยู่เช่นเคย ง้างกำปั้นขึ้นมา แล้วชกออกไปอย่างธรรมดาเรียบง่าย
ทว่าหมัดในครั้งนี้ หลัวซิวได้ใช้อุบายบางอย่าง ปลดปล่อยพลังอมตะของหมัดจ้านเทียนออกไป
ตู้มม!
กำปั้นของทั้งสองคนประสานงากันอีกครั้ง แสงทองอันแวววาวจับตาที่อยู่บนตัวเฉิงหู่แตกร้าวแล้วพังทลาย แหงนหน้าขึ้นฟ้าแล้วมีเลือดสีแดงสดพุ่งออกมาจากปาก มีเสียงแคว็ก ๆ ดังออกมาจากร่างกาย ผิวหนังชั้นนอกเริ่มแตกร้าวแล้ว ราวกับเครื่องลายครามที่เกือบถูกหลัวซิวต่อยจนแตกสลาย
“ศักยภาพแค่นี้ก็คิดที่จะฆ่ากูอย่างนั้นรึ พวกมึงประเมินตัวเองสูงเกินไปหรือเปล่า กูใช้พลังเพียงครึ่งเดียว มึงก็อดทนต่อไปไม่ไหวแล้วหรือ?”
หลัวซิวอมยิ้มพลางพูดอย่างเย็นชาหนึ่งประโยค จากนั้นสายตาเขาก็มองไปทางอูหยุนเห้อและเหลยเทียนฟางที่รู้สึกช็อกเช่นกัน “เมื่อกี้พวกมึงบอกว่าจะฆ่ากูไม่ใช่หรือ? หากยังไม่ลงมืออีกละก็ เช่นนั้นกูจะลงมือแล้วนะ”
“อัจฉริยะระดับจักรพรรดิเทพ!”
สีหน้าของเหลยเทียนฟางเปลี่ยนแปลงไปภายในพริบตา ศักยภาพของเฉิงหู่ไม่ค่อยแตกต่างจากเขามากเท่าไหร่นัก ทว่าด้านกลั่นร่างที่แข็งแกร่งมากที่สุดก็ถึงขั้นถูกหลัวซิวกดอัดทุกด้านเลยอย่างนั้นหรือ แสดงว่าร่างเนื้อของหลัวซิวนี่ต้องแข็งแกร่งมากกว่าแน่นอน
“สหายหลัว นี่เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดนะ……”เหลยเทียนฟางรู้สึกเสียใจทีหลังเล็กน้อยแล้ว เทพมารระดับสี่คนหนึ่งก็ฝึกร่างเนื้อจนแข็งแกร่งปานนี้ หลัวซิวนี่ไม่ใช่บุคคลที่กองกำลังใหญ่ทั่วไปสามารถบ่มเพาะออกมาได้อย่างแน่นอน ไม่แน่เขาอาจจะเป็นอัจฉริยะที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นได้!
หากเป็นศิษย์อัจฉริยะจากกองกำลังใหญ่ทั่วไป พวกเขายังกล้าลอบกัดอยู่ หากเป็นอัจฉริยะจากแดนศักดิ์ ต่อให้มอบความกล้าให้เขาอีกร้อยเท่า เขาก็ไม่กล้าแตะต้อง ต่อให้สามารถฆ่าหลัวซิว แดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องหลังเขาก็ต้องตรวจสอบเรื่องนี้ได้แน่นอน
“เข้าใจผิดมะเขืออะไรล่ะ ลงมือ!”
อูหยุนเห้อทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง โบกมือแล้วเรียกดาบรบสีดำสนิทออกมาหนึ่งเล่ม ก่อนจะฟาดฟันไปทางหลัวซิว
โครม!
เปลวไฟที่เดือดพล่านลุกโชนขึ้นมาบนร่างกายหลัวซิว พลังและเลือดที่มากมายมหาศาลม้วนซัดเชี่ยวกรากอยู่ภายในร่างกาย ภายใต้การสนับสนุนจากเคล็ดวิชาเผาผลาญพลังและเลือด ทำให้ผลการฝึกตนของเขาทลายพันธนาการภายในระยะเวลาสั้น ๆ ก้าวขึ้นไปสู่ระดับจักรพรรดิเทพ
สำหรับหลัวซิวแล้ว จ้าวมหาเทพขั้นสูงและจักรพรรดิเทพ มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย
เงาร่างเขากระพริบทีหนึ่ง ก่อนจะปรากฏด้านหลังเฉิงหู่ กฎห้วงเวลาแผ่กระจายออกไปจนประกอบเป็นอาณาจักร เฉิงหู่รู้สึกแค่ว่ากิริยาท่าทางของตัวเองถูกทำให้ช้าลงหลายเท่าตัวมาก จากนั้นก็ถูกหลัวซิวฉีกกระชากร่างกาย เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดไปทั่วทุกสารทิศ
และในเวลานี้เอง ดาบรบของอูหยุนเห้อก็ฟาดฟันมาอย่างรุนแรง หลัวซิวไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย มีรัศมีของยันต์ค่ายคุ้มกันทั้ง 33 ยันต์แย้มบานออกมาจากร่างกาย เสียงเตี๊ยงดังขึ้น ดาบรบฟันลงบนตัวเขา ทว่ามีเพียงสะเก็ดไฟแตกกระเด็นเท่านั้น
สีหน้าของอูหยุนเห้อเปลี่ยนไป ทว่ายังไม่ทันมีความคิดที่รู้สึกเสียใจทีหลังผุดขึ้นมาในหัว มือใหญ่ข้างหนึ่งก็ครอบคลุมหัวกะโหลกของเขาแล้ว ถัดจากนั้นเขาหมดความรู้สึกไปโดยสิ้นเชิง
เรียบง่ายเด็ดขาด เฉิงหู่และอูหยุนเห้อถูกหลัวซิวสยบสังหารไปแล้ว เมื่อสายตาของเขาร่วงลงบนตัวเหลยเทียนฟาง สีหน้าของเจ้าเมืองน้อยแห่งเหลยเจ๋อเฉิงนี่ก็ขาวซีดถึงขีดสุด
เขาไม่เคยเข้าใจหลักการหนึ่งได้ลึกซึ้งอย่างวินาทีนี้เลย นั่นก็คือเมื่ออยู่ต่อหน้าศักยภาพที่แท้จริง แผนชั่วและแผนการกลับกลอกทั้งปวงล้วนเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ!