มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2662 เกิดความวุ่นวายอีกครั้ง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2662 เกิดความวุ่นวายอีกครั้ง
หุบเขาเทพจันทราเป็นหนึ่งในสถานที่ฝึกฝนที่ดีที่สุดบนภูเขาว่านเริ่น มีถ้ำทั้งหมดสิบแห่งในหุบเขา ซึ่งแสดงถึงตัวตนของศิษย์ใจกลางสิบอันดับแรกในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของภูเขาว่านเริ่นในอดีต
น่าเสียดายที่ภูเขาว่านเริ่นในวันนี้ได้เสื่อมทรามลง และไม่มีใครได้เข้าสู่หุบเขาเทพจันทรามาเป็นเวลานานแล้ว นับประสากับศิษย์ใจกลางสิบอันดับแรก เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ไม่มีแม้แต่ศิษย์ใจกลางสักคนเดียว
หลัวซิวถูกพาไปยัง หุบเขาเทพจันทราโดย อิงฉง ถ้ำทุกแห่งที่นี่ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีต ไม่ต้องพูดถึงค่ายผนึกปราณ แต่ยังมีเทพมารระดับเจ็ดขึ้นไปที่ผู้แข็งแกร่งได้จารึกลายค่ายพลังเต๋าอีกด้วย ฝึกฝนในนั้น จะสามารถเข้าใจพลังเต๋าของผู้แข็งแกร่งได้ตลอดเวลา และเพิ่มแดนวิถียุทธ์ของตนเอง
“ศิษย์พี่ แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ข้ามาที่ หุบเขาเทพจันทราแต่ข้าได้ยินมาว่าถ้ำของศิษย์ใจกลางสิบอันดับแรกมีข้อดีในแต่อย่าง ศิษย์พี่อยากจะเลือกถ้ำใด?”
ก่อนหน้านี้อิงฉงยังเรียกหลัวซิวว่า ศิษย์น้อง แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนการเรียกอย่างรวดเร็ว และเรียกเขาศิษย์พี่อย่างเต็มใจเช่นกัน
ศิษย์ใจกลางมีตำแหน่งที่น่านับถือในภูเขาว่านเริ่นและโดยพื้นฐานแล้วสามารถเทียบได้กับผู้อาวุโส ในฐานะศิษย์ใจกลางเพียงคนเดียว ศิษย์อื่น ๆ ทั้งหมดในภูเขาว่านเริ่นไม่ว่าพวกเขาจะเข้ามาเร็วหรือช้า ผลการฝึกตนสูงหรือต่ำเพียงใดจะต้องเรียกหลัวซิวว่าศิษย์พี่
หลัวซิวจ้องมองไปทั่ว หุบเขาเทพจันทรามีร่องรอยของความคิดถึงในดวงตาของเขา หุบเขาเทพจันทราในตอนนั้นเป็นสถานที่ที่เขาและราชาเทพว่านเริ่นร่วมกันสร้างขึ้นมา
จุดประสงค์ของการมาที่ภูเขาว่านเริ่นคือหุบเขาเทพจันทราแห่งนี้ และเขามีบางสิ่งอยู่ในถ้ำศิษย์ใจกลางในหุบเขาเทพจันทรา
อาณาเขตของ หุบเขาเทพจันทรานั้นไม่เล็ก มียอดเขาเล็ก ๆ ที่มีเรือนหนึ่งอยู่ สถานที่แห่งนี้เรียกว่า ยอดเขากูหยุนเป็นหนึ่งในถ้ำของศิษย์ใจกลางสิบอันดับแรก
แต่หลัวซิวไม่ได้มองไปที่ยอดเขากูหยุนด้วยซ้ำ เขาเดินตรงไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของหุบเขาเทพจันทรา
ที่นี่มีเรือนเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยดอกไม้และต้นไม้ ตรงกลางเรือน มีบ้านไม้หลังหนึ่ง เมื่อเทียบกับถ้ำของศิษย์ใจกลางคนอื่น ๆ สถานที่นี้ดูค่อนข้างโทรมและเรียบง่าย
“เลือกที่นี่ก็แล้วกัน”
หลัวซิวมาถึงประตูของเรือนนี้ ดูเหมือนว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลานานหลายปีและดูทรุดโทรมเล็กน้อย
“ขอรับ ศิษย์พี่ ข้าจะกลับไปรายงานต่อผู้อาวุโสเดี๋ยวนี้” อิงฉงพยักหน้า จากนั้นคำนับแล้วหันหลังเดินจากไป
เอี๊ยด…
ประตูไม้ถูกผลักเปิดโดยหลัวซิว เหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่เดินเข้ามาพร้อมกับเขา เมื่อมองดูสภาพแวดล้อมที่นี่ เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็อดสงสัยไม่ได้ “สามี ตลอดทางที่พวกเรามานี้ ถ้าอีกเก้าถ้ำดีกว่าที่นี่มากนัก เหตุใดสามีถึงเลือกที่นี่?”
อีกเก้าถ้ำมีข้อดีในแต่ะละอย่าง แต่ถ้ำนี้ดูไม่เด่น ไม่เพียงแต่เหยียนเยว่เอ๋อร์เท่านั้นที่งงงวย เหยียนซีโรว่ก็มีข้อสงสัยเช่นกัน และอิงฉงที่จากไปแล้วก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
“พวกเจ้าเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดในโลกนี้หรือไม่?” หลัวซิวไม่ได้อธิบาย แต่พูดเรียบๆ
“กลับชาติมาเกิด?” เหยียนเยว่เอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ข้าเชื่อ เหยียนซีโรว่พยักหน้าโดยไม่ลังเล เพราะตัวนางเองก็คือกลับชาติมาเกิด และชาติก่อนของนางมีชื่อว่าหยุนซี
นางหลอมรวมความทรงจำของหยุนซีและไม่ได้รับผลกระทบจากหยุนซี ดังนั้นนางจึงติดตามหลัวซิวตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้และไม่เคยจากไปไหน
หลัวซิวยิ้ม เขายื่นมือออกไปและชี้ไปกลางอากาศ เงาลวงวัฏจักรก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศในเรือนเล็ก ๆ แห่งนี้
“นี่คือวัฏจักร แม้ว่าจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวัฏจักร แต่ก็สามารถสะท้อนชีวิตในอดีตและปัจจุบันของพวกเจ้าได้”
หลัวซิวพูดช้าๆ ในขณะที่แสงแห่งวัฏจักรส่องลงมา ในสมองของเหยียนซีโรว่ก็ปรากฏภาพประสบการณ์ชีวิตในอดีตของหยุนซี
สำหรับเหยียนเยว่เอ๋อร์ สายตาของนางก็เหม่อลอยไปเช่นกัน นางพบว่าตัวเองเปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่งในโลกที่แปลกประหลาด
นี่คือชาติที่แล้วของเหยียนเยว่เอ๋อร์
หลังจากผ่านไปนาน เงาลวงวัฏจักรก็หายไป แม้ว่าหลัวซิวจะไม่ได้อธิบาย แต่เหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ต่างก็เข้าใจว่าสถานที่นี้เกี่ยวข้องกับชาติที่แล้วของหลัวซิว
“สามี ข้าไม่สนว่าชาติที่แล้วเจ้าจะเป็นใคร ข้าสนใจแค่เจ้าในชาตินี้เท่านั้น” เหยียนเยว่เอ๋อร์ก้าวไปข้างหน้า กอดแขนของหลัวซิวแล้วพูดอย่างอ่อนโยน
“ข้าด้วย” เหยียนซีโรว่ยิ้มและอิงหลัวซิว ฉากนี้อบอุ่นและมีความสุข
ทันทีหลังจากนั้น หลัวซิวทั้งสามก็ทำความสะอาดเรือนเล็กๆนี้ จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในบ้านไม้ แล้วยกกล่องเหล็กสีดำที่มีใยแมงมุมขึ้นอยู่ออกมาจากในเรือน
บนกล่องเหล็กมีแม่กุญแจ แม่กุญแจตัวนี้ขึ้นสนิมและดูไม่เด่นมาก แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าแม่กุญแจนี้มีที่มาที่ไม่ธรรมดา สร้างโดยไท่ซ่างฉิง มันสามารถล็อคกาลเวลาด้
หลัวซิวบีบผนึกด้วยมือทั้งสองข้างและใช้วิชาลับจากชาติที่แล้ว แสงเทวบินออกมาจากมือของเขาแล้วหลอมรวมเข้ากับโซ่เหล็ก
คลิก!
หลังจากนั้นไม่นาน โซ่เหล็กก็ถูกเปิดออก จากนั้นหลัวซิวก็ยกมือขึ้นพร้อมเปิดกล่องเหล็กสีดำ
…
หลังจากที่หลัวซิวกลายเป็นศิษย์ใจกลาง เรื่องนี้ก็ทำให้เกิดความวุ่นวายในภูเขาว่านเริ่น เมื่อเขาทำการประเมินศิษย์ใจกลาง มีศิษย์และอาวุโสเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่ในสถานการณ์ตอนนั้นด้วย เมื่อศิษย์ที่ยังอายุน้อยที่ปิดกั้นฝึกตนรู้ข่าวนี้ แต่ละคนก็ออกจากการฝึกตน
แม้ว่าภูเขาว่านเริ่นจะเสื่อมทรามไปแล้ว แต่ศูนย์กลางสืบทอดก็ไม่ได้สูญหายไปทั้งหมด ดังนั้นจึงมีนักยุทธ์ที่มีความสามารถมากมายที่เต็มใจที่จะเข้าร่วมภูเขาว่านเริ่น
ดังนั้น เมื่อพวกเขาได้ยินว่าชายที่เพิ่งมาถึงได้กลายเป็นศิษย์ใจกลาง ศิษย์รุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์เหล่านี้ต่างไม่พอใจเล็กน้อย
“แค่ชายหนุ่มแดนเทพมารระดับห้าเท่านั้น เขามีสิทธิ์อะไรถึงกลายเป็นศิษย์ใจกลางได้?” ศิษย์อัจฉริยะอายุน้อยกล่าวอย่างไม่พอใจ
“แม้ว่าระดับผลการฝึกตนของเขาจะไม่สูงแต่เขาก็มีพรสวรรค์ระดับจักรพรรดิเทพ อิงฉงเป็นแดนเทพมารระดับหก เขาไม่สามารถแม้แต่จะสกัดกั้นการโจมตีครั้งหนึ่งของอีกฝ่ายได้ ดังนั้นเขาจึงยอมแพ้โดยตรง” ศิษย์ที่เห็นการแข่งขันกับตากล่าวว่า
“ข้าว่านะในนี้ต้องมีบางอย่างแน่ ๆ อัจฉริยะระดับจักรพรรดิเทพจะมีอย่างง่ายดายแบบนี้เลยรึ? แดนศักดิ์สิทธิ์สืบทอดที่แข็งแกร่งกว่าเหล่านั้นจะรีบแย่งคนประเภทนี้เป็นศิษย์ เหตุใดเขาถึงมาที่ภูเขาว่านเริ่นของเรา?”
“การทดสอบของกระจกเทพประภากรอาจไม่ถูกต้องทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ผู้ชายคนนี้กลายเป็นศิษย์ใจกลางไปแล้ว ข้าไม่ยอม!”
อัจฉริยะส่วนใหญ่มีความทะเยอทะยาน ทุกคนเป็นศิษย์ในสำนักก็ช่างเถอะ จู่ ๆก็มีคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นและกลายเป็นศิษย์ใจกลางซึ่งทำให้คนหลายคนรู้สึกถึงวิกฤต
เพราะในอนาคตเมื่อพวกเขาเปลี่ยนจากรุ่นเยาว์ไปสู่ผู้แข็งแกร่งรุ่นชรา ในอนาคตศิษย์ใจกลางจะมีโอกาสเป็นเจ้าอาจารย์ประมุขเขา
ในตำหนักประชุมหลักของภูเขาว่านเริ่น ผู้อาวุโสหลายคนที่เดิมทีที่ปิดกั้นฝึกตนต่างก็ออกจากการฝึกตน เพราะไม่มีศิษย์ใจกลางมานานหลายปีแล้ว จึงเป็นประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการสืบทอดของภูเขาว่านเริ่นและพวกเขาจะต้องให้ความสนใจด้วย
“ท่านประมุขเขายังคงปิดกั้นฝึกตน การปิดกั้นฝึกตนครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งและไม่สามารถรบกวนได้ ให้พวกเราหกผู้อาวุโสตัดสินใจในเรื่องนี้เถอะ”
ชายชราที่มีผมสีขาวและใบหน้าเหมือนเด็กพูดช้าๆ เขาคือผู้อาวุโสใหญ่ของภูเขาว่านเริ่น สถานะของเขาเป็นรองเพียงเจ้าอาจารย์ประมุขเขาเท่านั้น
“ผุ้อาวุโสหวยซินเจ้าจัดการเรื่องนี้โดยพลการ คนที่ยังไม่ได้ตรวจสอบตัวตนรายละเอียดเพิ่งเข้าร่วมภูเขาว่านเริ่นและกลายเป็นศิษย์ใจกลางโดยตรงทันที สิ่งนี้ค่อนข้างผิดกฎ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าว
ผู้อาวุโสหวยซินเป็นชายชราที่ให้การทดสอบกับหลัวซิวประเมินผู้นั้น
“ข้าไม่คิดว่ามีอะไรผิดปกติ เขาผ่านการประเมินของกระจกเทพประภากร ยังมีพรสวรรค์ระดับจักรพรรดิเทพ กลายเป็นศิษย์ใจกลางของภูเขาว่านเริ่นเรา ทุกอย่างสมเหตุสมผล อะไรไม่เป็นไปตามกฎ” ผู้อาวุโสหวยซินพูดอย่างใจเย็นเรียบ ๆ
แน่นอนว่าเขารู้ความคิดของผู้อาวุโสเหล่านี้ ต่างเห็นแก่ตัว ผู้อาวุโสบางคนย่อมหวังให้ศิษย์ของพวกเขาสามารถเข้าสู่หุบเขาเทพจันทรา
“ทำแบบนี้ค่อนข้างรีบร้อนไม่จริงจังเกินไป การเป็นศิษย์ใจกลางมีโอกาสที่จะเรียนรู้การสืบทอดศูนย์กลางของภูเขาว่านเริ่นของเรา เรื่องนี้ต้องมีการหารือกันในระยะยาว”
“…”
“ศิษยืพี่อยู่หรือเปล่า?”
ในหุบเขาเทพจันทรา อิงฉงมาถึงนอกเรือนของหลัวซิวพร้อมตะโกน
หลังจากที่เข้ามาอยู่ในเรือนนี้แล้ว หลัวซิวก็สร้างค่ายกลรอบๆ เรือน เขากำลังฝึกตนอยู่ในห้อง เมื่อเขาได้ยินเสียงจากข้างนอกเขาก็เปิดประตูแล้วเดินออกไป
“มีเรื่องอะไรรึ?”
“ศิษย์พี่ ผู้อาวุโสทั้งหลายให้ท่านไปที่ตำหนักประชุมหลัก” อิงฉงคำนับแล้วพูด
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวไม่แปลกใจเลย เมื่อเขาผ่านการประเมินศิษย์ใจกลางมีเพียงผู้อาวุโสหวยซินคนเดียวเท่านั้นที่เป็นประธาน หลังจากผู้อาวุโสคนอื่นๆ ออกจากการปิดกั้นฝึกตน ตัวตนของเขาในฐานะศิษย์ใจกลางย่อมไม่มั่นคง
“นำทางเถอะ”
หลัวซิวพยักหน้าแล้วเดินออกจาก หุบเขาเทพจันทราพร้อม อิงฉง สำหรับเยว่เอ๋อร์และซีโรว่ยังคงปิดกั้นฝึกตนอยู่ในเรือน หลังจากเปิดกล่องเหล็กสีดำแล้ว ข้างในมีทรัพยากรการฝึกตนจำนวนมากที่เขาเหลือไว้เมื่อเขาเป็นไท่ซ่างฉิงในชาติที่แล้ว เยว่เอ๋อร์และซีโรว่ต้องการคว้าโอกาสนี้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งผลการฝึกตนอย่างรวดเร็ว
ในฐานะของอิงฉง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโส เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปในตำหนักประชุมหลัก ดังนั้นหลังจากนำหลัวซิวไปที่ด้านหน้าตำหนักประชุมหลัก อิงฉงก็โค้งคำนับและก้าวไปยืนด้านข้าง
หลัวซิวเดินเข้าไปอย่างใจเย็นสบายๆ ทันทีที่เขาเข้าไป เขาก็รู้สึกถึงความกดดันที่น่าเกรงขามที่พุ่งเข้ามาหาเขา
ทั้งชาติปางก่อนและชาตินี้ไม่รู้ต้องผจญพายุคลื่นมากี่หน สถานการณ์อะไรที่เขาไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน?
อาจกล่าวได้ว่าตั้งแต่ความทรงจำของชาติที่แล้วและชาติปัจจุบันฟื้นขึ้นมา ตัวธรรมของหลัวซิวนั้นแข็งแกร่งราวกับหินและไม่มีอะไรสามารถสั่นคลอนได้
เขาเดินเข้าไปในตำหนักอย่างสบายๆ ความกดดันของผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดนั้นไม่มีผลกระทบต่อเขา
เมื่อมองขึ้นไป ผู้อาวุโสทั้งหกกำลังนั่งตัวตรง ผู้อาวุโสใหญ่อยู่ด้านบน ก่อนหน้านี้มีความกดดันมาจากสี่ทิศที่หลัวซิวรู้สึก มีเพียงผู้อาวุโสใหญ่ผู้นี้และผู้อาวุโสหวยซินเท่านั้นที่ไม่ใช้ความกดดันเพื่อทดสอบเขา
เมื่อเห็นว่าหลัวซิวไม่ถูกระงับด้วยออร่าของผู้อาวุโสทั้งสี่ เห็นได้ว่าตัวธรรมนั้นมั่นคงมาก ซึ่งทำให้ผู้อาวุโสหวยซินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ หลัวซิวกลายเป็นศิษย์ใจกลางได้เพราะเขายอมรับ
“หลัวซิว แม้ว่าข้าจะให้เจ้าเป็นศิษย์ใจกลาง แต่ในช่วงสมัยที่ผ่านมา ศิษย์ใจกลางของภูเขาว่านเริ่นไม่เพียงต้องมีความสามารถที่โดดเด่นเท่านั้น แต่ยังต้องมีพลังที่แข็งแกร่งพอที่จะโน้มน้าวใจผู้คนให้ยอมรับด้วย”
ผู้อาวุโสหวยซินพูดช้าๆ “ข้าพูดอย่างนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
จากสีหน้าของผู้อาวุโสหวยซินคนนี้ หลัวซิวเห็นร่องรอยจนปัญญา เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสคนอื่นเอาเรื่องที่เกี่ยวกับผลการฝึกตนของเขาต่ำเกินไปมาพูด
“ข้าเข้าใจ ไม่ทราบว่าข้าต้องมีความแข็งแกร่งแบบไหนถึงจะโน้มน้าวใจผู้อื่นให้ยอมรับได้?” หลัวซิวพูดด้วยรอยยิ้ม