มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2667 เทพธิดาหงเหยียน
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2667 เทพธิดาหงเหยียน
ที่เชิงของยอดเขาโดดเดี่ยว ผู้อาวุโสทั้งหกที่นำโดยผู้อาวุโสใหญ่ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงที่ส่งมาจากประมุขเขาและทันใดนั้น แต่สายตาละคนก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
พระราชวังที่เหลือไว้โดยอาจารย์ปู่ถูกเปิดออกแล้ว!
เมื่อผู้อาวุโสทั้งหกปีนขึ้นไปบนยอดเขาอันโดดเดี่ยวและเห็นสมบัติที่ประดับประดาในพระราชวัง พวกเขาแต่ละคนรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก
มีสิ่งเหล่านี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าสำนักสามารถปลูกฝังศิษย์ที่มีความสามารถได้มากขึ้น ความหวังของผู้อาวุโสเหล่านี้จะได้รับการบรรลุเป็นเทพมารระดับแปดในอนาคตก็มั่นใจได้มากขึ้นเช่นกัน
จี้หานยู่ในฐานะจี้จู่ จะต้องการเป็นประธานในสถานการณ์โดยรวมของเผ่าจี้ เมื่อเสิ่นปิงหยูรู้ว่าหลัวซิวอาศัยอยู่ใน หุบเขาเทพจันทรานางก็ย้ายมาที่นี่ทันที
ฉียู่หรงก็ย้ายมาที่นี่เช่นกัน หุบเขาเทพจันทราซึ่งแต่เดิมทีที่สงบก็มีคนเพิ่มมาสองคนทันที
หลัวซิวไม่ได้ปฏิเสธหรือพยักหน้าให้กับการย้ายมาของสองสตรี แม้ว่าเขาจะจัดการกับปัญหาทางความรู้สึกในชาตินี้ได้ดีกว่าในชาติที่แล้ว แต่เขาก็ไม่ใช่คนผ่านศึกมามากในด้านนี้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
โลกร้าง เมื่อเทียบกับมหาโลกาพันสามแตกต่างกับพื้นโลกอย่างสิ้นเชิง ที่นี่ ที่เรียกว่าจักรพรรดิเทพเป็นเพียงเทพมารระดับห้าเท่านั้นและสามารถถถูกนับว่าเป็นมดที่แข็งแกร่งกว่าเล็กน้อยเท่านั้น
ทุกคนรู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่อ่อนแอ เหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ปิดกั้นฝึกตนตลอดเวลา แม้แต่เรื่องที่เผ่าจี้และตระกูลเทพสงครามย้ายรากฐานมาก้ไม่รู้ด้วยซ้ำ
เสิ่นปิงหยูและฉียู่หรงก็ ฝึกฝนอย่างหนักเช่นกัน เนื่องจากอยู่ในโลกะดาราอัมพรเทว ผลการฝึกตนของฉียู่หรงจึงล่าช้ามากและตอนนี้นางได้สะสมผลการฝึกตนมาจำนวนมาก นอกจากนี้กฎฟ้าดินในโลกมหาศักดิ์นั้นสมบูรณ์มากขึ้น ดังนั้นความก้าวหน้าของนางจึงรวดเร็วนัก
หลายสิ่งหลายอย่างของหลัวซิวก็ยังใช้ในการฝึกฝน สำหรับเขา ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในการเพิ่มผลการฝึกฝนของเขาคือปัญหาของทรัพยากร เมื่อปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้ว จะไม่มีอุปสรรคใด ๆ ต่อความเร็วในการฝึกฝนของเขา วิถีไร้ลักษณ์ได้วิวัฒนาการแดนใหญ่ออกมาซึ่งแตกต่างจากชีวิตที่แล้วอย่างสิ้นเชิง ตราบใดที่มีทรัพยากรเพียงพอเขายังสามารถฟื้นฟูผลการฝึกตนของชาติที่แล้วได้ในเวลาอันสั้น
“เจ้าคือนายท่านในตำนานตามคำสั่งสอนรึ?”
ในวันนี้ สตรีคนหนึ่งมาที่ หุบเขาเทพจันทราสิ่งที่ทำให้หลัวซิวหมดคำจะพูดก็คือค่ายเทพระดับหกที่เขาสร้างไว้รอบ ๆ หุบเขาเทพจันทราราวกับว่าเป็นว่างเปล่าต่อหน้าสตรีคนนี้
นับตั้งแต่มีคนบุกเข้าไปในถ้ำตอนที่เขากำลังกอดเยว่เอ๋อร์และซีโรว่ หลัวซิวก็รู้สึกไม่ชอบใจเสมอที่มีคนบุกเข้าไปในค่ายกลที่เขาสร้างไว้โดยไม่ได้รับอนุญาต
ครั้งก่อนที่ลวี่โหลวมา เขาเดาได้แล้ว แต่สตรีคนนี้เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตทำให้ใบหน้าของหลัวดูไม่ดีเล็กน้อย
นี่คือสตรีในชุดยาวสีแดงซึ่งดูเหมือนอายุแค่สิบหกหรือสิบแปด ใบหน้าบอบบางและริมฝีปากสีแดงที่น่าดึงดูดดูเร่าร้อน แต่ใบหน้าของนางมีความเย่อหยิ่งที่ปฏิเสธผู้อื่นให้อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้
ถ้ามองในแง่รูปลักษณ์ สตรีคนนี้งดงามกว่าลวี่โหลวและสามารถเทียบได้กับฉียู่หรงกับเสิ่นปิงหยู
นอกจากนี้ อารมณ์ที่เย็นชาและเย่อหยิ่งของนางค่อนข้างคล้ายกับตอนที่หลัวซิวได้พบกับเสิ่นปิงหยูเป็นครั้งแรก
“ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่านายท่าน นั่นแสดงว่าเจ้าเป็นเชื้อสายของว่านเหรินด้วยรึ?”หลัวซิวพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว
ไม่ว่าสตรีคนนี้จะสวยแค่ไหน และไม่ว่านางจะเป็นใครก็ตาม การบุกเข้าไปในค่ายกลโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเขา ทำให้หลัวซิวรู้สึกไม่ชอบใจนัก
“ผู้แข็งแกร่งในตำนานเป็นผู้แดนผู้สูงส่ง อย่าบอกนะว่าเจ้าเป็นคนปลอม?” สตรีในชุดสีแดงมองหลัวซิวขึ้นลงพร้อมพูดเล่น
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวก็หมดคำพูดที่จะพูดอีกครั้ง “เจ้ากับลวี่โหลวมีความสัมพันธ์อย่างไร?”
“นางเป็นพี่สาวของข้า” สตรีในชุดกระโปรงสีแดงนั่งลงตรงข้ามหลัวซิวอย่างไม่เกรงใจพร้อม
“เจ้าคือหงเหยียน?”
หลัวซิวได้ยินลวี่โหลวพูดถึงว่านางมีน้องสาวหนึ่งคน ซึ่งเป็นเทพธิดาของภูเขาว่านเริ่น ก่อนหน้านี้ปิดกั้นฝึกตนมาตลอด ว่ากันว่าจะบรรลุแดนเทพมารระดับเจ็ดช่วงปลายแล้ว
แม้ว่าภูเขาว่านเริ่นจะไม่ใช่แดนศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป แต่ก็เคยเป็นการสืบทอดระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ และยังคงมีกฎว่าแต่ละรุ่นจะเลือกเทพบุตรหรือเทพธิดา
สถานะของเทพธิดาเท่ากับผู้อาวุโส และแม้แต่อำนาจก็สูงกว่าผู้อาวุโสด้วย ซึ่งไม่ใช่ว่าศิษย์ใจกลางจะสามารถเทียบได้
“เจ้ารู้มากเสียจริง แต่ข้าบอกไว้เลยว่าเจ้าอย่าคิดอะไรกับพี่สาวของข้า!”
นิสัยของ หงเหยียน แตกต่างจากลวี่โหลวอย่างสิ้นเชิง ไม่เข้มงวดเท่าลวี่โหลวแต่เหมือนเด็กที่ไร้เดียงสามากกว่า
“หงเหยียนอย่าไร้มารยาทต่อนายท่าน!”
ในขณะนี้ มีเสียงเย็นชาดังขึ้น และร่างของลวี่โหลวก็ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ ดุ หงเหยียน
หลัวซิวใช้นิ้วเคาะที่เท้าแขนของเก้าอี้เบา ๆ ดูเหมือนว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องเพิ่มระดับของค่ายกลที่เขาสร้างไว้รอบ ๆ หุบเขาเทพจันทรา
“ลวี่โหลวและ หงเหยียน บุกรุกสถานที่ฝึกตนของนายท่าน โปรดลงโทษพวกข้าเถอะ” ลวี่โหลวยื่นมือดึง หงเหยียน ขึ้นมา แล้วพูดกับหลัวซิวด้วยความเคารพ
“ช่างเถอะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าบุกเข้ามา”
หลัวซิวไม่จริงจังเรื่องแบบนี้กับพวกนางจริง ๆ เขาวางแผนที่จะเพิ่มระดับค่ายกลทั้งหมดรอบ ๆ หุบเขาเทพจันทราให้เป็นเทพค่ายระดับเจ็ดหลังจากที่สองพี่น้องจากไป
วิชาห้ามค่ายกลค่ายเทพระดับเจ็ด แม้ว่าลวี่โหลวจะมีผลการฝึกตนของเทพมารระดับแปด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะบุกเข้าไปอย่างเงียบๆ
หงเหยียน อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ลวี่โหลวดึงนางออกไปโดยตรง เห็นได้ชัดว่าลวี่โหลวรู้นิสัยของน้องสาวของนางเช่นกัน
“หงเหยียนนายท่านเป็นผู้แข็งแกร่งที่อาจารย์ปู่ของเราเคยติดตามในอดีต รู้ไหมว่าเมื่อครู่เจ้าทำอะไรลงไป?” หลังจากออกจากหุบเขาเทพจันทรา ลวี่โหลวก็พูดกับหงเหยียนอย่างจริงจัง
“พี่สาว เจ้าไม่ต้องเอะอะอะไรขนาดนั้นได้ไหม? เจ้าก็เห็นแล้วว่านายท่านไม่ได้โมโห” หงเหยียนพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่านายท่านจะเป็นคนแก่ชรา คาดไม่ถึงว่าจะอายุน้อยเช่นนี้ และอาจจะอายุน้อยกว่าข้าด้วย และหน้าตาเขาก็ไม่เลวเลย พี่ หรือว่าพี่…”
“ยัยบ้า เจ้ายังกล้าแกล้งข้าอีกเหรอ?” ลวี่โหลวหน้าแดง และเอื้อมมือไปจับหูของ หงเหยียน
…
“สิ่งที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับรากฐานของกองกำลังหนึ่งคือการสืบทอด วิชาของตระกูลเทพสงครามเพิ่มจนครบหมดแล้ว และข้าก็เหลือวิชาของของเผ่าจี้ไว้ให้พวกเขาแล้วด้วย ภูเขาว่านเริ่นยังต้องการวิชาที่ทรงพลังมากกว่านี้เพื่อให้แข็งแกร่งเป็นเวลานาน”
หลังจากฝึกตนใน หุบเขาเทพจันทราเมื่อผลการฝึกตนของเขาถึงเทพมารระดับห้าขั้นปฐมภูมิจุดสูงสุด หลัวซิวได้ผ่านทัณฑ์สายฟ้าพิโรธมาสองครั้งติดต่อกัน แค่ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้น เทียนเต้าก็จะลงโทษเขา หลัวคุ้นชินตั้งนานแล้ว
เดินออกจากหุบเขาเทพจันทรา หลัวซิวตรงไปที่หอไตร
ในตระกูลสำนักใดก็ตาม หอไตรเป็นสถานที่ที่รวบรวมวิชาอมตะและศาสตร์ลับ ภูเขาว่านเริ่นมีประวัติอันยาวนานและของสะสมในหอไตรก็ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ เมื่อหลัวซิวมาที่นี่ นอกจากนี้ยังมีศิษย์ของภูเขาว่านเริ่นศิษย์ไม่น้อยที่เลือกวิชาลับอยู่ที่นี่
“ศิษย์พี่หลัว!”
อิงฉงกำลังเลือกวิชา เมื่อเขาเห็นหลัวซิวเดินเข้ามา เขารีบไปพบเขาทันที
ศิษย์อัจฉริยะมากมายไม่ยอมรับหลัวซิวเป็นศิษย์ใจกลางแต่ อิงฉงยอมรับถึงในใจ เขารู้สึกด้วยซ้ำว่าเมื่อเขาต่อสู้กับศิษย์พี่หลัว เขาไม่ได้แสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมาด้วยซ้ำ
หากเป็นกรณีนี้จริงๆ พรสวรรค์ของศิษย์พี่หลัวคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว เป็นไปได้มากว่าเขาไม่ใช่อัจฉริยะระดับจักรพรรดิเทพ แต่เป็นอัจฉริยะระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์!
อิงฉงมาทักทายหลัวซิว สำหรับศิษย์ภูเขาว่านเริ่นคนอื่น ๆ ในหอไตร พวกเขาไม่ได้มอบสีหน้าที่ดีให้หลัวซิว แต่ก็ไม่มีใครขึ้นมายั่วเขา เพราะเขามีตำแหน่งเป็นศิษย์ใจกลาง และก่อนหน้านี้เขายังบุกหอคอยเวิ่นซินชั้นสามสิบสามที่สุงที่สุด เรียกว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนี่งได้ในประวัติศาสตร์
“ศิษย์พี่มาที่นี่เพื่อเลือกวิชาด้วยหรือ?” อิงฉงเดินไปมาถามอย่างกระตือรือร้น “ในฐานะศิษย์ใจกลางของศิษย์พี่ มีคุณสมบัติที่จะไปที่ชั้นสามเพื่อเลือกวิชา”
ระดับของวิชามีตั้งแต่ต่ำไปจนถึงสูงซึ่งสอดคล้องกับแดนผลการฝึกฝน สำหรับวิชาที่แม้แต่แดนเทพมารก็ไม่สามารถฝึกฝนได้นั้นจะถูกนับว่าเป็นวิชาที่ไม่เด่นอะไร
หอไตรของภูเขาว่านเริ่นมีวิชาระดับต่ำสุดก็คือระดับเทพขั้นหกเท่านั้น วางอยู่ที่ชั้นหนึ่งและมีจำนวนมากที่สุด
และบนชั้นสองเป็นวิชาระดับเทพขั้นเจ็ดและชั้นสามเป็นวิชาระดับเทพขั้นแปด มีเรื่องเล่ากันว่าชั้นที่สี่มีเพียงผู้อาวุโสขึ้นไปเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ ว่ากันว่ามีวิชาระดับเทะขั้นเก้าที่อาจารย์ปู่ว่านเริ่นเหลือไว้
“ข้าดูเฉยๆ”
หลัวซิวยิ้มเล็กน้อยและเดินไปมารอบ ๆ หอไตรอย่างสบาย ๆ จำนวนวิชาที่บันทึกในภูเขาว่านเริ่นมีจำนวนมากและครอบคลุมไปทั่ว จะเห็นได้ว่าด้านการสืบทอดของลูกหลานของว่านเริ่นก็ได้พยายามมามากเช่นกัน
หลัวซิวเพียงแค่ดูวิชาบนชั้นหนึ่งและชั้นสองอย่างคร่าว ๆ แต่ไม่สนใจ เขาเดินตรงไปที่ชั้นสาม
ที่ทางเข้าจากชั้นสามถึงชั้นสี่มีชายชรานั่งขัดสมาธิเฝ้าอยู่ที่นี่ คนๆ นี้ไม่ได้อยู่ในบรรดาหกผู้อาวุโส เรียกว่าเจ้าหอไตร เป็นผู้ปกป้องหอไตร
หลัวซิวหยิบป้ายบัญชาการออกมา ป้ายบัญชาการนี้ไม่ใช่ป้ายบัญชาการของศิษย์ใจกลางแต่เป็นของบัญชาประมุขเขา ซึ่งได้มาจากประมุขเขา ลวี่โหลว
เมื่อเห็นบัญชาประมุขเขาก็เหมือนกับการพบประมุขเขา ถือป้ายบัญชาการนี้ เจ้าหอไตรไม่ได้ห้ามเขาปล่อยให้หลัวซิวขึ้นไปที่ชั้นสี่
มีวิชาเพียงสองหรือสามประเภทที่บันทึกไว้ในชั้นที่สี่นี้ ซึ่งทั้งหมดนี้สร้างขึ้นโดยราชาเทพว่านเริ่นเอง และวิชาเหล่านี้ยังห่างไกลจากการเทียบกับเวทย์ย้ายเขาถล่มฟ้า
“เวทย์ย้ายเขาถล่มฟ้า เป็นวิชากลั่นร่างแข็งแกร่งที่เหมาะสำหรับผู้ชายฝึกฝน แต่ไม่มีวิชากลั่นร่างที่เหมาะสำหรับสตรี หรือวิชากลั่นร่างที่สามารถฝึกได้ทั้งชายและหญิง”
ในความทรงจำของชาติที่แล้วของหลัวซิว มีวิชาระดับสูงสุดนับไม่ถ้วน เป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะเหลือการสืบทอดบางส่วนไว้ที่ภูเขาว่านเริ่น
หลังจากนั้นไม่นาน หลัวซิวเพิ่งออกจากหอไตร ผู้อาวุโสหวยซินก็มาที่ชั้นสี่ของหอไตรแล้วเห็นว่ามีม้วนหยกสามม้วนเพิ่มขึ้นมา
ม้วนหยกสามม้วนนี้มีวิชากลั่นร่าง วรยุทธ์กลั่นวิญญาณและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับค่ายกล กลั่นยาและวิชาหลอมภัณฑ์
เรื่องนี้ทำให้เกิดความปั่นป่วนในระดับตำแหนางที่สูงของภูเขาว่านเริ่น เมื่อลวี่โหลวได้ยินว่าหลัวซิวเคยไปที่หอไตรชั้นสี่ นางเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
จนถึงตอนนี้ ตัวตนของหลัวซิวเป็นที่รู้จักเฉพาะนางและ หงเหยียน น้องสาวของนาง ผู้อาวุโสใหญ่อาจเดาอะไรบางอย่างได้ แต่เขาจะไม่พูดออกไปมั่วๆโดยไม่ได้รับคำสั่งจากนาง
ลวี่โหลวรู้ว่าตัวตนของนายท่านยังไม่ถึงเวลาที่จะประกาศให้โลกรู้ ดังนั้นนางจึงบอกว่าม้วนหยกสามม้วนนี้นางเป็นคนวางไว้ในหอไตร
ไม่เพียงแค่นั้น นางยังเอาเวทย์ย้ายเขาถล่มฟ้าออกมา โดยอ้างว่าวิชาเหล่านี้ล้วนได้รับมาจากพระราชวังที่โดดเดี่ยวบนยอดเขา