มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2672 ต่างมีความคิดของตนเอง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2672 ต่างมีความคิดของตนเอง
หงเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงแม้ท่านนายของเราจะแข็งแกร่งมาก แต่หลังจากฟื้นคืนชีพ ผลการฝึกตนก็ยังไม่กลับมาเป็นปกติ หากอาศัยเพียงผลการฝึกตนในระดับเทพมารระดับห้าช่วงกลาง แล้วจะประมือกับเทพมารระดับหกขั้นสูงได้อย่างไร ?
ในขณะที่นางกำลังจะลงมือช่วยเหลือ กลับเห็นหลัวซิวเงยหน้าแล้วส่งเสียงตะโกนออกมา โดยไม่มีทีท่าที่คิดจะหลีกหนีเลยแม้แต่น้อย และพุ่งตรงเข้าใส่พลังกระบี่มังกรฟ้าทั้งสามสิบหกเล่มที่กำลังทิ่มแทงเข้ามาในทันที
เช้ง ! เช้ง ! เช้ง !……
เขาผายมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็ปล่อยกระบวนท่าตราประทับปรปักษ์สวรรค์ สลับกับหมัดจ้านเทียน ทุกพลังที่ปล่อยออกมาสามารถทำลายพลังกระบี่มังกรฟ้าของเทพมารระดับหกได้อย่างง่ายดาย พลังจากร่างเนื้อที่ถูกบีบบังคับอย่างหนักของเขา ค่อย ๆ พุ่งออกไปทีละสาย ๆ
ภาพนี้ ทำให้พวกของผู้อาวุโสสวีเจาหลงทั้งสาม อดไม่ได้ที่จะหน้าถอดสี เป็นแค่เทพมารระดับห้า แต่กลับฝึกร่างยุทธ์ร่างเนื้อได้ถึงระดับนี้ นับว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน
ร่างเนื้อเช่นนี้ ยังเป็นร่างกายของจอมยุทธ์เสียที่ไหน เห็นได้ชัดว่าเป็นศัสตราวุธของขลังที่แข็งแกร่งไร้เทียนทาน ! ช่างเหลือเชื่อจริง ๆ !
“มังกรฟ้าสังหาร !”
ฮั่วหยุนฉีตะโกนขึ้นด้วยความโมโห พลังตราประทับในมือเปลี่ยนแปลง และแสดงพลังอมตะอีกวิชาหนึ่งออกมา พลังกระบี่มังกรฟ้าทั้งสามสิบหกเล่ม กลายเป็นมังกร แล้วตรงเข้ารัดหลัวซิวเอาไว้ในพริบตาด้วยความเร็วสูงสุด
ทว่าหลัวซิวโคจรกฎปริภูมิและกฎความเร็วทั้งสองชนิดในเวลาเดียวกัน ความเร็วของเขาเร็วจนกระทั่งตัวสำนึกยากที่จะตรวจจับได้ มังกรทั้งสามสิบหกตัวยังไม่ทันจะพันเข้ามา ร่างของเขาก็หลงเหลือเพียงแค่เศษเงาเอาไว้ที่เดิมเสียแล้ว
“นี่มันความเร็วแบบไหนกัน ? ต่อให้เป็นกฎปริภูมิ ก็ไม่มีทางเร็วขนาดนี้ได้ !” สวีเจาหลงมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “หยุนฉีระวัง !”
ถึงแม้สวีเจาหลงจะเอ่ยปากเตือนแล้ว แต่ความเร็วของหลัวซิวรวดเร็วเกินไป ในชั่วพริบตาเดียว เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของฮั่วหยุนฉีนเสียแล้ว หอกรบสีแดงฉานผนึกรวมขึ้นในมือของเขา และจ่อเข้าไปที่ห้วงจักรของฮั่วหยุนฉี
นี่คือหอกโลหิตสังหารสวรรค์ ประกอบด้วยออร่าพลังเต๋าของผู้แข็งแกร่งที่ไร้เทียมทาน ถูกหลัวซิวใช้วิถีไร้ลักษณ์เปลี่ยนแปลงออกมาเป็นร่องรอยลึกลับและพลังสังหาร ซึ่งเหนือกว่าพลังอมตะใหญ่ทั้งสองอย่างตราประทับปรปักษ์สวรรค์ และหมัดจ้านเทียนอย่างมาก
ไม่เสียแรงที่ฮั่วหยุนฉีเป็นศิษย์ใจกลางของสำนักมังกรฟ้า ในขณะที่กำลังตกใจก็ยังตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ขมวดคิ้ว เขาก็เสกของขลังคุ้มกันชีวิตตนเองออกมา
แต่ในตอนนี้เอง เขากลับรู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเคลื่อนไหวช้าลงไปหลายเท่า ของขลังคุ้มกันที่เขาซ่อนไว้ในห้วงจักรหยั่งรู้ยังไม่ทันทำงาน หอกรบสีแดงฉานก็แทงเข้ามาเสียแล้ว
“หยุดนะ !”
แม้สวีเจาหลงจะพยายามควบคุมตนเองแค่ไหน แต่ตอนนี้ก็ไม่อาจทนดูอยู่เฉย ๆ ได้ เขาขยับตัว โดยไม่สนเรื่องผู้ใหญ่รังแกเด็กอีก และฟาดฝ่ามือเข้าใส่หลัวซิวทันที
สวีเจาหลงผู้นี้ เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารระดับเจ็ด ที่ครอบครองพลังแห่งเกณฑ์ หลัวซิวย่อมไม่อาจมองดูอยู่เฉย ๆ ได้ ถึงแม้ร่างเนื้อของเขาจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่กล้าปะทะกับฝ่ามือนี้ของสวีเจาหลงโดยตรง
“เผาผลาญ !”
ทันใดนั้นเอง มีเพลิงทองลุกขึ้นบนตัวของหลัวซิว เขาเผาผลาญพลังและเลือดทั้งหมดในคราวเดียว พลังและเลือดของเขาได้รับผลกระทบจากวิชากลั่นร่างกลืนเศษณ์ กลายเป็นสีทองอย่างสมบูรณ์ ฉาบร่างกายของเขาจนส่องแสงจ้าราวกับพระอาทิตย์สีทอง
เผาผลาญพลังและเลือด เลือดปราณพลุ่งพล่าน เลือดปราณที่มีพลานุภาพบนตัวของหลัวซิว เรียกได้ว่าน่าเกรงขามอย่างที่สุด
ไม่เพียงเท่านี้ เขาปลุกยันต์ค่ายทั้งเก้าสิบเก้าแถวที่สลักอยู่ในร่างเนื้อขึ้นมา ร่างกายถูกห้อมล้อมด้วยรัศมีและลำแสงนับไม่ถ้วน การเคลื่อนไหวดูราวกับเจ้าเซียนที่กำลังท่องเที่ยวอยู่บนโลกมนุษย์
ตอนนี้เอง เรียกได้ว่าหลัวซิวแสดงพลังการต่อสู้ออกมาทั้งหมด ด้านหลังของเขาปรากฏเงาลวงขนาดมหึมา ซึ่งก็คือฝ่าเซียงที่ผนึกรวมจากจิตตั้งบู๊ของเขา
เขายกนิ้วขึ้นชี้ เพลาไหลรวยที่อยู่ระหว่างสิ่งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ก็ไหลบ่าออกมา กฎเวลาค่อย ๆ กระจายออก และเกิดเป็นอาณาจักรหนึ่งขึ้นมา
“กฎเวลา !”
สวีเจาหลงตกใจอย่างยิ่ง ถึงขั้นเรียกได้ว่าตกตะลึง เด็กหนุ่มที่อยู่ในระดับเทพมารระดับห้า เขาไม่เพียงครอบครองพลังแห่งเกณฑ์เท่านั้น แต่กลับควบคุมกฎเวลาอันแข็งแกร่งเอาไว้ด้วย ?
ร่างกายห่อหุ้มด้วยเพลิงทอง ร่างกายของหลัวซิวกลายเป็นลำแสงสีทอง ราวกลับศัสตราวุธระดับหก ที่ถูกปลุกพลังขึ้นมาอย่างเต็มที่ และโจมตีออกไปอย่างรุนแรง !
ถึงแม้สวีเจาหลงจะเป็นผู้แข็งแกร่งในแดนเทพมารระดับเจ็ด แต่กฎพลังเต๋าทั้งหมดที่เขาครอบครองอยู่นั้น เมื่อเทียบกับกฎเวลาแล้ว ไม่ได้ด้อยกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ถึงแม้ผลการฝึกตนของหลัวซิวยังไม่ถึงระดับเจ็ด แต่การครอบครองและควบคุมกฎเวลาของเขา ก็ไม่ด้อยไปกว่าเทพมารระดับเจ็ดคนหนึ่งอย่างแน่นอน
หรือพูดอีกอย่างว่า ผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารระดับเจ็ด นอกเหนือจากผลการฝึกตนที่เป็นข้อได้เปรียบเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นแง่ของกฎหรือพลังอมตะ ล้วนด้อยกว่าหลัวซิวทั้งสิ้น
เปรี้ยง !
เกิดเสียงดังสนั่น ร่าง ๆ หนึ่งลอยกระเด็นออกมา แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตกใจจนอ้าปากค้างก็คือ คนที่กระเด็นออกมาไม่ใช่หลัวซิว แต่เป็นผู้อาวุโสสวีเจาหลงแห่งสำนักมังกรฟ้า ผู้มีผลการฝึกตนอยู่ในระดับเทพมารระดับเจ็ดผลการฝึกตน !
“พรสวรรค์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ !”
ตอนนี้ ทุกคนต่างตกใจจนหน้าถอดสี เป็นที่รู้กันดีว่า ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าเทพมารระดับเจ็ด แต่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้แดนใหญ่ได้ แสดงว่าเป็นผุ้มีพรสวรรค์ในระดับจักรพรรดิเทพ !
และหากเอาชนะสุดร่างแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ นั่นแสดงว่าต้องเป็นผู้มีพรสวรรค์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ !
สวีเจาหลงมีผลการฝึกตนอยู่ในระดับเทพมารระดับเจ็ดขั้นปฐมภูมิ หลัวซิวสามารถเอาชนะเขาได้ด้วยผลการฝึกตนที่อยู่ในระดับเทพมารระดับห้าช่วงกลาง นั่นไม่ใช่เพียงการเอาชนะแดนใหญ่ได้เท่านั้น แต่เป็นการก้าวข้ามแดนใหญ่บวกกับแดนเล็กอีกสามแดน นั่นเท่ากับช่องว่างของเจ็ดอาณาจักรเล็ก ๆ !
หงเหยียนเองก็ตกตะลึงเช่นกัน ส่วนผู้อาวุโสทั้งห้าของภูเขาว่านเริ่น ต่างก็ตกใจอ้าปากค้าง จนแทบจะสอดกำปั้นเข้าไปได้ทั้งกำปั้น
พรสวรรค์ระดับจักรพรรดิเทพ ก็เพียงพอจะทำให้คนตกตะลึงได้แล้ว แต่เมื่อมองภาพรวมของธาตุดารามังกรฟ้าทั้งหมด ในกลุ่มคนรุ่นเยาว์ ยังไม่เคยได้ยินเรื่องการปรากฏตัวของผู้มีพรสวรรค์ระดับจักรพรรดิเทพมาก่อน ดังนั้นตอนที่หลัวซิวสามารถเอาชนะทุกคนได้ ทำให้คนจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกสงสัย
แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงเลยว่า หลัวซิวจะน่ากลัวยิ่งกว่าผู้มีพรสวรรค์ระดับจักรพรรดิเทพ ที่แท้เขาเป็นถึงผู้มีพรสวรรค์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ !
การจัดลำดับพรสวรรค์ มหาจักรพรรดิยุทธ์ถือว่าอยู่ในระดับสูงสุด แสดงออกถึงความเป็นที่สุด แสดงออกถึงขั้นสูง !
ผู้ที่มีสติปัญญาและพรสวรรค์ระดับนี้ แสดงให้เห็นว่าเขามีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ ขอเพียงไม่ล้มลงกลางทางเสียก่อน การที่จะขึ้นเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารระดับเก้าในอนาคต นับว่าไม่ใช่เรื่องยาก !
“ฆ่าเขา !”
ผู้อาวุโสอีกสองคนของสำนักมังกรฟ้าค่อย ๆ ตั้งสติขึ้นมาได้ มีเตากลั่นยาลอยออกมาจากห้องจักรของผู้อาวุโสหนึ่งในนั้น ทันทีที่เตากลั่นยาลอยออกมา ก็มีเปลวไฟที่โหมกระหน่ำ พร้อมแผดเผาทุกสิ่ง
กฎเพลิงอัคคีพลังเต๋าแผ่กระจายออกมานับไม่ถ้วน รวมตัวกันจนกลายเป็นมือขนาดมหึมา ยื่นออกมาจากเตากลั่นยา และบดขยี้สิ่งมีชีวิตทุกสรรพสิ่ง
ผู้มีพรสวรรค์ระดับจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นที่ภูเขาว่านเริ่น นั่นเป็นสิ่งที่สำนักมังกรฟ้าย่อมไม่ต้องการเห็นอย่างแน่นอน ในเมื่อผู้มีพรสวรรค์ระดับนี้ไม่ได้เป็นคนของสำนักมังกรฟ้า เช่นนั้นก็ต้องทำลายให้สิ้นซาก !
“คิดจะใช้พวกมากรังแกพวกน้อยอย่างนั้นหรือ ?”
หงเหยียนปรากฏตัวขึ้นข้างกายของหลัวซิวทันที นางค่อย ๆ ยกมือเรียวยาวขึ้น กระบี่เทพสีแดงฉาน ที่เหมือนหลอมมาจากทับทิมไฟ ก็ปรากฏขึ้นบนมือของนาง
ชุดสีแดง กระบี่สีแดง ดวงตาสีแดง……นางเหมือนกับชื่อของนาง ดูราวกับแปงกายเป็นนกฟีนิกซ์ แล้วแทงกระบี่ออกไปทันที
กระบี่นี้ แฝงไปด้วยห้วงกระบี่ที่พุ่งสูงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตัดขาดแสงดาว กำจัดทุกชีวิต กวาดล้างปฐพี !
ผู้อาวุโสทั้งสามของสำนักมังกรฟ้าที่เดินทางมาเพื่อกล่าวโทษในครั้งนี้ ล้วนเป็นผู้ที่มีผลการฝึกตนในระดับเทพมารระดับเจ็ดขั้นปฐมภูมิ ใช่ว่าสำนักมังกรฟ้าจะไม่มีผู้อาวุโสที่มีผลการฝึกตนแข็งแกร่งกว่านี้ แต่เป็นเพราะสำนักมังกรฟ้าคิดไม่ถึงว่าภูเขาว่านเริ่นจะกล้าต่อกรด้วย
ผลการฝึกตนของหงเหยียนเพิ่งบรรลุถึงเทพมารระดับเจ็ดช่วงปลาย ประกอบกับที่นางเป็นหญิงสาวผู้เด็ดเดี่ยวที่มีพรสวรรค์เปี่ยมล้น เพียงแค่กระบี่เดียว ก็เพียงพอที่จะทำให้หม้อกลั่นยาที่มีไฟลุกโชนระเบิดเป็นจุณได้ ส่วนผู้อาวุโสของสำนักมังกรฟ้าผู้นั้น ก็ปรากฏคราบเลือดไปทั่วตัว เขากระอักเลือดออกมา และได้รับบาดเจ็บสาหัส
หงเหยียนส่งเสียงฟึดฟัดออกมา ราวกับไม่พอใจที่ไม่อาจสังหารคู่ต่อสู้ให้ตายได้ภายในกระบี่เดียว นางขยับเท้าและก้าวตรงไปข้างหน้า
ทันทีที่ก้าวออกไป นางก็ฟาดปราณกระบี่ที่อยู่ในมือออกไปอย่างไม่มีอะไรกีดขวาง ทันทีที่ฟันกระบี่ครั้งที่สองลงไป พื้นนภาก็แยกออกจากกันทันที
ฟึบ !
ปราณกระบี่เส้นนี้ ไม่มีคนของสำนักมังกรฟ้าคนไหนสามารถต้านทานได้อีก ผู้อาวุโสของสำนักมังกรฟ้า ที่เสกเตากลั่นยาออกมาเพื่อสังหารหลัวซิวเมื่อครู่ ก็ถูกตัดศีรษะ เลือดสาดกระเซ็นขึ้นฟ้าโดยไม่รู้ตัวในทันที
“ภูเขาว่านเริ่นบังอาจนัก ข้าจะกลับไปรายงานเจ้าสำนัก ต่อไปภูเขาว่านเริ่นจะต้องสิ้นชื่ออย่างแน่นอน !”
ผู้อาวุโสของสำนักมังกรฟ้าที่เหลือรอดผู้นั้น รีบหลบหนีไปโดยไม่ลังเล สวีเจาหลงและผู้อาวุโสอีกหนึ่งคนต่างจบชีวิตลง ความสามารถของเขาเองก็สูสีกับสวีเจาหลง ห่กไม่รีบหลบหนี จะอยู่ที่นี่เพื่อรอความตายหรืออย่างไร ?
“ผู้อาวุโสทุกท่านยังไม่คิดจะลงมืออีกหรือ ?” หลัวซิวกวาดสายตามองผู้อาวุโสทั้งห้าอย่างเย็นชา ถึงแม้ทุกอย่างจะเกิดขึ้นในชั่วพริบตา แต่ตั้งแต่ต้นจนจบ ล้วนเป็นฝีมือของเขาและหงเหยียน ส่วนผู้อาวุโสทั้งห้ากลับเอาแต่ยืนลังเล
ความลังเลเช่นนี้ ในสายตาของหลัวซิวคือความอ่อนแอ ไร้ความสามารถ และโง่เขลา หากภูเขาว่านเริ่นยิ่งใหญ่ขึ้นมา คงปล่อยให้คนจำพวกนี้นั่งอยู่ในตำแหน่งของผู้อาวุโสต่อไปไม่ได้เด็ดขาด
“หลัวซิว เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังสร้างปัญหาครั้งใหญ่ ? เจ้าสังหารผู้อาวุโสของสำนักมังกรฟ้า ก็เท่ากับภูเขาว่านเริ่นของเรากำลังดึงภัยพิบัติครั้งใหญ่เข้ามาหาตัว !”
ผู้อาวุโสผู้หนึ่งถลึงตา เขาจ้องเขม็งไปที่หลัวซิวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“อย่างนั้นหรือ ? ในเมื่อเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่ ไม่สู้ท่านลาออกจากตำแหน่งผู้อาวุโสเสียดีกว่า แล้วรีบหนีเอาตัวรอดไปเสีย”
หลัวซิวหัวเราะเยาะ จากนั้นก็ขยับตัว และไล่ตามผู้อาวุโสของสำนักมังกรฟ้าที่กำลังหลบหนีไปทันที
หงเหยียนไม่พูดอะไรสักคำ และรีบตามไล่ล่าไปพร้อมกับหลัวซิวโดยไม่ลังเล
ผ่านไปสักพัก หลัวซิวและหงเหยียนก็กลับมา แต่กลับไม่เห็นผู้อาวุโสทั้งห้าอยู่ที่เนินเขาของภูเขาว่านเริ่นอีก
ภายในสำนักหารือของภูเขาว่านเริ่นในตอนนี้ ผู้อาวุโสทั้งห้าต่างมีแววตาและสีหน้าที่เคร่งเครียด
“ประมุขเขา ข้าไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมท่านถึงยกหน้าที่เจรจากับสำนักมังกรฟ้าให้กับหลัวซิวเป็นคนจัดการ ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาจัดการอย่างไร ? เขาทำร้ายสวีเจี้ยนชิว ศิษย์ของสำนักมังกรฟ้าจนบาดเจ็บสาหัสก่อน จากนั้นก็สังหารผู้อาวุโสของสำนักมังกรฟ้า เกรงว่าอีกไม่เพียงกี่ชั่วยาม สำนักมังกรฟ้าคงต้องยกทัพใหญ่ มากำจัดภูเขาว่านเริ่นของเราให้หมดสิ้นไปจากโลกนี้อย่างแน่นอน !”
ผู้อาวุโสที่พูดเช่นนี้ขึ้นมามีนามว่าสวีปู้ฉุน ความหมายของเขาก็คือ ต้องการให้จับตัวหลัวซิวไปรับโทษที่สำนักมังกรฟ้า และโยนความผิดทั้งหมดให้กับหลัวซิว บางที นี่อาจทำให้ภูเขาว่านเริ่นไม่ต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติครั้งใหญ่ได้
ผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เห็นดีเห็นงามขึ้นมาด้วยเช่นกัน ส่วนผู้อาวุโสหวยซินและผู้อาวุโสอีกผู้หนึ่งที่มีนามว่าหลิวฉางชุนกลับนิ่งเงียบ โดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
อันที่จริงแล้ว ตั้งแต่ที่หลัวซิวเข้ามาในภูเขาว่านเริ่น หากคนที่มีความใส่ใจสักนิด ย่อมสังเกตเห็นว่าเกิดเรื่องแปลกขึ้นกับภูเขาว่านเริ่นอย่างต่อเนื่อง
เริ่มจากประมุขเขาต้องการไปเปิดพระราชวังกูเฟิงอาจารย์ปู่ทิ้งเอาไว้ ที่จริงแล้วสิ่งนี้ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่ ประมุขเขากลับพาหลัวซิวซึ่งเป็นศิษย์ผู้น้อยผู้นี้ไปด้วย
และที่ยิ่งแปลกไปกว่านั้นก็คือ ในอดีตที่ผ่านมา ประมุขเขาคิดหาทุกวิถีทางก็ไม่อาจเปิดพระราชวังกูเฟิงออกได้ แต่ครั้งนี้กลับเปิดออกแล้ว
จากนั้นก็เป็นธิดาเทพที่ออกมาจากการปิดขังฝึกตน และเดินทางไปที่หุบเขาเทพจันทราทุกวัน ด้วยฐานะของธิดาเทพ ทำไมจะต้องทำตัวสนิทสนมกับศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในภูเขาว่านเริ่นได้เพียงไม่นานด้วย ?
ในตอนแรก ผู้อาวุโสหวยซินเป็นผู้รับผิดชอบทดสอบหลัวซิวเพื่อรับเข้าสำนัก เขาพยายามแยกแยะเรื่องที่เกิดขึ้นเหล่านี้อย่างละเอียด แล้วจู่ ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาว่า สถานการณ์ทั้งหมดของภูเขาว่านเริ่นกำลังจะเปลี่ยนไป……