มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2680 ทหารจักรวรรดิเลิศล้ำ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2680 ทหารจักรวรรดิเลิศล้ำ
“เปรี้ยง……”
ตรงขอบฟ้าไกลโพ้น มีเสียงคำรามดังก้องอย่างต่อเนื่อง ทหารม้าเหยียบอนัตตาจนแหลกละเอียดแล้วมุ่งหน้ามา สิ่งที่ทุกคนกำลังขี่มาคือกิเลนกาฬสีดำ ความเร็วดุจสายฟ้า ในชั่วพริบตา เศษเงาสีดำเป็นสายก็ปรากฏขึ้นกลางอนัตตา
ขี่กิเลนกาฬสีดำ สวมชุดเกราะสีดำแวววาว พร้อมด้วยหอกที่ดำขลับจนยากจะเปรียบ แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นนักรบที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี !
ทหารม้ากองนี้มีจำนวนคนไม่มากนัด มีเพียงหนึ่งร้อยแปดคนเท่านั้น บนตัวของแต่ละคนล้วนมีออร่าของเจตนาฆ่าที่รุนแรงแผ่ซ่านออกมา เย็นชาจนหาที่เปรียบไม่ได้ เจตนาฆ่าที่สูงเสียดฟ้า ทำให้ผู้คนรู้สึกกดดันจนแทบหายใจไม่ออก
“ปีศาจขี่กาศนภา !”
เมื่อเห็นทหารม้ากองนี้ คนจำนวนไม่น้อยก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ทั่วทั้งอาณาจักรบูรพาโลกร้าง ไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อของสัตว์ขี่เหล็กเจ๋อจื๋อ
พวกเขามาจากตระกูลฉิน ปีศาจขี่กาศนภาใช้อำนาจบาตรใหญ่ไปทั่วฟ้าดิน ใช้อำนาจบาตรใหญ่ไปทั่วอาณาจักรบูรพา ไม่เคยเป็นสองรองใครมาแต่ไหนแต่ไร !
“เผ่ามกุฎต้าฉิน !”
กษัตริย์ของประเทศสรรพมารหรี่ตาลง ถึงแม้ประเทศสรรพมารจะเจริญรุ่งเรือง แต่ก็ยังไม่กล้าล่วงเกินตระกูลฉินง่าย ๆ
ตำนานเล่าว่าตระกูลฉินมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ในยุคไท่ชูเคยมีราชวงศ์หนึ่งที่ปกครองฟ้าดิน และครอบครองอาณาจักรดาราทั้งห้าของโลกร้าง และปกครองแต่เพียงผู้เดียว
ราชวงศ์นี้ก็คือราชวงศ์ต้าฉิน ภายหลังเมื่อไท่ชูเกิดภัยพิบัติ ราชวงศ์จึงล่มสลาย คนรุ่นหลังยังคงถือตัวว่าตนเองเป็นคนของราชวงศ์ต้าฉิน และใช้ชีวิตอย่างรุ่งเรืองมาโดยตลอด
คนที่เป็นผู้นำของปีศาจขี่กาศนภากองนี้ เป็นชายคนหนึ่งที่สวมชุดเกราะสีดำทั้งตัว แววตาทั้งคู่ของเขาดูเย็นชาจนหาที่เปรียบไม่ได้ กิเลนกาฬที่เขาขี่ ก็ดูแข็งแกร่งและสง่ายิ่งกว่าของปีศาจขี่กาศนภาคนอื่น ๆ
“หรือเขาผู้นี่จะเป็นหนึ่งในซื่อจื่อของตระกูลฉินในรุ่นนี้ ?” เจ้าหอจื่อหยุนถามขึ้นอย่างสงบ
ตระกูลฉินในรุ่นนี้มีซื่อจื่อทั้งสิ้นแปดคน ซื่อจื่อทุกคนล้วนเป็นผู้กล้าที่มีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยม ต่อให้เป็นซื่อจื่อที่มีชื่ออยู่ในลำดับล่างสุด ฝึกตนไม่ถึงหนึ่งพันปีก็กลายเป็นผู้แข็งแกร่งในแดนเทพมารระดับเจ็ดแล้ว
อีกทั้งซื่อจื่อแปดยังไม่ใช่เทพมารระดับเจ็ดธรรมดา ๆ แต่เป็นมกุฎเทพระดับเจ็ด !
หลังจากนั้น สำนักตระกูลต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ตามมา แต่ไม่มีของทัพไหนที่ดูน่าเกรงขามไปกว่าปีศาจขี่กาศนภาอีกแล้ว อย่างไรเสีย ตระกูลฉินสามารถยืนหยัดจากยุคไท่ชูมาจนถึงปัจจุบันได้ ก็เป็นเพราะมีมรดกและความสามารถที่น่ากลัวอย่างยิ่งอยู่ในครอบครอง
ที่ตั้งของหุบเขาปีศาจ ตั้งอยู่บนพสุธาห้วงดาราแห่งหนึ่ง พสุธาห้วงดาราผืนนี้ไม่ถือว่าใหญ่นัก ไม่ช้าก็มีผู้คนล้นหลาม มีกองกำลังจำนวนมากมาจากธาตุดารานับร้อยทั่วทั้งอาณาจักรบูรพาของโลกร้าง และดาวเคราะห์จำนวนนับไม่ถ้วน
กำลังพลของสำนักเซียนต้าโหลวรวมตัวกัน และกวาดสายตามองไปยังกำลังพลของกองกำลังต่าง ๆ เพื่อหาร่องรอยของภูเขาว่านเริ่น
“หึ คงไม่ใช่ว่าภูเขาว่านเริ่นไม่กล้าเดินทางมาหรอกใช่ไหม ?” ผู้อาวุโสที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวซึ่งเป็นผู้นำพูดเยาะเย้ยขึ้นมา
“โฮก !”
ตอนนี้เอง มีเสียงคำรามที่ดังสนั่นหวั่นไหวเกิดขึ้นจากที่ไกล ๆ ของห้วงดารา เสียงคำรามนี้ราวกับเสียงร้องของมังกร และฟังเหมือนเสียงหอน เกิดลมและสายฟ้าขึ้นกลางท้องฟ้า อนัตตาสั่นไหว
ทั่วทั้งห้างดาราพสุธาต้องสั่นสะเทือนเพราะเสียงคำราม กองกำลังต่าง ๆ ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย จากนั้นก็เห็นภูเขาสีม่วงทอดยาวอยู่กลางท้องฟ้า
นี่คืออสูรโหดที่ดุร้ายขนาดมหึมา มีเกล็ดสีม่วงปกคลุมทั่วร่างกาย มีเขาขนาดใหญ่สามเขาที่ดูเหมือนภูเขาอยู่บนหัว สูงเด่นเป็นสง่าราวกับศัสตราวุธที่แหลมคม
บนหลังของอสูรโหด มีคนยืนอยู่อย่างหนาแน่น น่าจะมีจำนวนมากกว่าแสนคน !
“คนเยอะขนาดนี้เชียวหรือ ? คนพวกนี้เป็นคนของกองกำลังไหนกัน ?”
คนจำนวนไม่น้อยตกใจจนหน้าถอดสี หุบเขาสยบปีศาจเปิด คนของกองกำลังต่าง ๆ ที่เดินทางมา อย่างมากก็แค่หนึ่งถึงสองร้อยคน ยังไม่เคยพบเห็นจำนวนที่เยอะขนาดนี้มาก่อน
เมื่อเดินทางมาถึงสถานที่ในวันวานอีกครั้ง หลัวซิวก็ยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนอสูรดูดจิต ด้วยสีหน้าตื้นตันใจอย่างสุดแสน
หุบเขาสยบปีศาจเรียกได้ว่าเป็นรังเก่าที่เขาเคยดูแลมานาน ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ได้เดินทางกลับมายังสถานที่ในวันวานอีกครั้ง จะไม่ให้เขารู้สึกตื้นตันใจได้อย่างไร ?
“จากนี้เป็นต้นไป หุบเขาสยบปีศาจจะเป็นอาณาเขตของข้า ส่วนพวกเจ้า มาทางไหนก็จงกลับไปทางนั้น”
สายตาของหลัวซิวสังเกตเห็นกองกำลังต่าง ๆ ที่อยู่บนห้วงพสุธาด้านล่างนานแล้ว ครั้งนี้เขาพาคนที่อยู่ข้างกายเขามาด้วยทั้งหมด ย่อมไม่มีทางอนุญาตให้มีใครเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับหุบเขาสยบปีศาจได้อย่างแน่นอน
“อะไรนะ ?”
“เมื่อได้ยินดังนั้น กำลังพลของกองกำลังต่าง ๆ ก็ผงะไป จากนั้นก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่หัวเราะร่าออกมา
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ? เจ้าบอกว่าหุบเขาสยบปีศาจเป็นอาณาเขตของเจ้าอย่างนั้นหรือ ? ทำไมเจ้าไม่พูดว่าทั่วทั้งอาณาเขตบูรพาโลกร้างล้วนเป็นของเจ้าทั้งหมดเสียเลยล่ะ ?” มีคนพูดเยาะเย้ยขึ้น
“เจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง สำนักเซียนต้าโหลวของเราขอดูหน่อยซิว่า เจ้ามีความสามารถแค่ไหนถึงกล้าพูดเช่นนี้ออกมา !”
คราวนี้ผู้อาวุโสที่นำทัพสำนักเซียนต้าโหลวเหาะขึ้นไปในอากาศ และตะโกนขึ้นอย่างดุดัน
ถึงแม้อีกฝ่ายจะมีกำลังพลนับแสน แต่กองกำลังต่าง ๆ ที่มาจากอาณาเขตบูรพาโลกร้างกลับไม่ได้ใส่ใจ เพราะถึงแม้จะมีกำลังพลมาก แต่ความสามารถโดยรวมกลับไม่แข็งแกร่งเท่าไรนัก ส่วนใหญ่ล้วนมีผลการฝึกตนอยู่เพียงแค่ระดับเทพมารระดับสี่เท่านั้น ถึงขั้นว่า มีอีกจำนวนมากที่เป็นเหมือนมดตัวเล็ก ๆ เพราะมีผลการฝึกตนอยู่เพียงแค่เทพมารระดับสามเท่านั้น
ในห้วงดาราโลกมหาศักดิ์ อย่างน้อยต้องมีผลการฝึกตนในระดับเทพมารระดับห้า จึงจะถือว่ามีคุณสมบัติท่องไปในห้วงดารา อาศัยเพียงคนหมู่มากเช่นนี้ ก็คิดจะยึดครองหุบเขาสยบปีศาจอย่างนั้นหรือ ?
“สำนักเซียนต้าโหลว ? ดีมาก ! ลวี่โหลว เจ้าจงไปฆ่าเขาเสีย !” หลัวเซียวกวาดสายตามองผู้อาวุโสของสำนักเซียนต้าโหลวเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปพูดกับลวี่โหลวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างเย็นชา
“ประมุขเขาลวี่โหลว ? ที่แท้ก็เป็นคนของภูเขาว่านเริ่น วันนี้ข้าจะได้แก้แค้นให้ผู้อาวุโสหลู่พอดี เอาชีวิตของเจ้ามาเสียเถอะ !”
เมื่อเห็นลวี่โหลวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หลัวซิว ผู้อาวุโสต้าโหลวผู้นี้ก็ตะคอกออกมาด้วยความโกรธทันที เขายกมือใหญ่ขึ้น และฟาดไปยังจุดที่หลัวซิวยืนอยู่
สำหรับผู้แข็งแกร่งที่มีผลการฝึกตนในระดับเทพมารระดับแปดเช่นเขา คนนับแสนที่อยู่บนหลังของอสูรดูดจิต มีเพียงประมุขเขาลวี่โหลวคนเดียวเท่านั้นที่เขาเห็นอยู่ในสายตา ส่วนคนอื่น ๆ ล้วนไม่คู่ควรให้พูดถึง
การลงมือของผู้อาวุโสต้าโหลว หลัวซิวไม่ได้แยแสเลยสักนิด ลวี่โหลวที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวเหาะขึ้นไปบนอาศ จากนั้นจึงขวางมือใหญ่ที่เขาฟาดเข้ามา
“กงหยางฉวน คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า” ลวี่โหลวพูดขึ้นอย่างเย็นชา
เมื่อเห็นลวี่โหลว คนจำนวนมากต่างก็รู้แล้วว่า คนเหล่านี้มาจากภูเขาว่านเริ่น ถึงแม้ยังคงงุนงงว่าภูเขาว่านเริ่มมีคนมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าภูเขาว่านเริ่นและสำนักเซียนต้าโหลวเป็นศัตรูคู่แค้นกันมานาน
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนงุนงงก็คือ แต่ไหนแต่ไรมา ภูเขาว่านเริ่นมักอ่อนน้อมถ่อมตน และไม่หาเรื่องใส่ตัวง่าย ๆ แต่ในช่วงนี้ ภูเขาว่านเริ่นกลับมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก รู้ว่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์ในอดีตนี้ จะรุ่งเรืองขึ้นอย่างฉับพลันอีกครั้งแล้ว ?
“หึ ข้ารู้ดีว่าที่เจ้าสามารถสังหารผู้อาวุโสหลู่ได้ย่อมต้องมีความสามารถ แต่มรดกของภูเขาว่านเริ่นของเจ้า เมื่อเทียบกับของสำนักเซียนต้าโหลวของเราแล้ว ยังห่างไกลกันอีกมาก !”
ขณะที่พูดอยู่นั้น กงหยางฉวนก็เหาะขึ้นไป เพียงชั่วพริบตาก็ขึ้นไปอยู่กลางท้องฟ้า และเผชิญหน้ากับลวี่โหลว รอบกายของเขามีออร่าอันแข็งแกร่งแผ่ซ่านออกมา
รู้ทั้งรู้ว่าหลู่ปู้เหว่ยถูกสังหาร แต่กงหยางฉวนยังกล้าต่อสู้ ย่อมแสดงว่าเขามีความมั่นใจในตนเองพอสมควร เขาค่อย ๆ ยกมือขวาขึ้น ในมือปรากฏระฆังเซียนขึ้นมาหนึ่งใบ ระฆังเซียนสั่นสะเทือน ปรากฏห่วงโซ่แห่งกฎออกมาเป็นสาย คลุมโลกาศักดิ์สิทธิ์ที่มีผู้แข็งแกร่งในระดับเทพมารระดับเก้าเท่านั้นที่สามารถครอบครองได้ ค่อย ๆ แผ่ซ่านออกมา !
อาวุธเทพระดับเก้า !
เห็นได้ชัดว่า สิ่งที่กงหยางฉวนมีอยู่ในครอบครอง คืออาวุธเทพระดับเก้าที่น่าเกรงขามอย่างยิ่ง
“ตายเสียเถอะ !”
กงหยางฉวนตะโกนออกมา ระฆังเซียนได้รับการบูชา ระฆังเซียนสั่นสะเทือนและส่งเสียงดังสนั่น อนัตตาแตกเป็นเสี่ยง ๆ ในทันใด คลื่นเสียงถาโถมเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่าราวกับคลื่นยักษ์ ซัดสาดไปทั่วทุกทิศทาง
ลวี่โหลวมีสีหน้าสงบนิ่ง นางชูนิ้วมือขึ้น กฎห้วงเวลาผสมผสานเข้าด้วยกัน หอคอยเทพนิรยวิภาปรากฏขึ้นมาเหนือศีรษะ และขวางคลื่นเสียงจำนวนมหาศาลเอาไว้ด้านนอก จนไม่อาจทำร้ายถึงตัวนางได้เลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้เอง นางค่อย ๆ ก้าวออกไปด้านหน้าหนึ่งก้าว จากนั้นร่างกายของนางก็ก้าวข้ามปริภูมิที่กีดขวางอยู่ จากนั้นก็ไปปรากฏตัวอยู่ต่อหน้ากงหยางฉวนทันที
นี่คือการใช้กฎปริภูมิ แม้จะอยู่ใกล้กันมากแต่กลับรู้สึกเหมือนอยู่ไกล หอคอยเทพนิรยวิภาทับลงไปโดยนำพากฎของเวลาไปด้วย ทำให้ส่งผลกระทบต่อห้วงเวลาโดยรอบ
เมื่อรู้สึกว่าพลังของห้วงเวลาโดยรอบต่างได้รับผลกระทบ กงหยางฉวนก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ถึงแม้เขาจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังแห่งกฎอยู่ในครอบครอง แต่เมื่อเทียบกับกฎห้วงเวลาแล้ว กลับแตกต่างกันอย่างยิ่ง
“ผู้หญิงคนนี้คือประมุขเขาของภูเขาว่านเริ่นหรือ ? ช่างมีความสามารถที่แข็งแกร่งจริง ๆ เมื่อเทียบกับผู้อาวุโสกงหยางแล้ว ผลการฝึกตนของนางด้อยกว่าถึงสองแดนเล็ก”
“ประมุขเขาลวี่โหลวผู้นี้มีพรสวรรคืที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ วิชาที่นางฝึกตน อย่างน้อยต้องเป็นวิชาจักรพรรดิเทพระดับเก้า !”
“ตำนานกล่าวว่า ราชาเทพว่านเริ่นผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ปู่ของภูเขาว่านเริ่น เคยติดตามผู้สูงส่งในสมัยโบราณผู้หนึ่ง ไม่แน่ว่าวิชาของภูเขาว่านเริ่น อาจมีที่มาที่ไปเช่นนี้ก็เป็นได้”
การต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างลวี่โหลวและกงหยางฉวน หากเป็นคนที่สายตาเฉียบแหลมล้วนมองออกว่า วลี่โหลวมี่พลังแห่งเกณฑ์ของห้วงเวลาอยู่สองประเภท และต้องมีระดับของวิชาที่ใช้ในการฝึกตนที่สูงมากเช่นกัน
“วิชาจักรพรรดิเทพระดับเก้าหรือ หากสามารถฝึกได้อย่างสมบูรณ์ ในอนาคตอาจอยู่เหนือกว่าแดนนวสวรรค์ได้เลย !”
แววตาของซื่อจื่อแปดแห่งตระกูลฉิน ซึ่งเป็นผู้นำของปีศาจขี่กาศนภาสั่นคลอน ในฐานะผู้สืบทอดโบราณของตระกูลต้าฉิน ย่อมไม่ขาดแคลนวิชาจักรพรรดิเทพระดับเก้าอย่างแน่นอน แต่วิชาจักรพรรดิเทพระดับเก้า ที่จะทำให้คนสามารถฝึกกฎเกณฑ์ห้วงเวลาได้นั้น ต่อให้เป็นมรดกของตระกูลต้าฉินก็ไม่มีอยู่
ต้องรู้ว่า ผู้แข็งแกร่งในแดนเดียวกัน พลังแห่งเกณฑ์ที่ตนเองบรรลุจะแข็แกร่งหรือไม่นั้น นับว่ามีบทบาทสำคัญต่อความแข็งแกร่งในการต่อสู้
ตัวอย่างเช่น ผู้แข็งแกร่งในระดับจักรพรรดิเทพระดับเก้าสองคน คนหนึ่งฝึกกฎเบญจธาตุทั้ง5 ส่วนอีกคนฝึกกฎห้วงเวลา ย่อมเป็นผู้ที่ครอบครองกฎห้วงเวลา ที่จะมีความสามารถที่แข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย
“ลวี่โหลว รีบจบการต่อสู้ !” หลัวซิวค่อย ๆ เอ่ยปากขึ้น โดยที่สายตาจับจ้องไปที่หุบเขาสยบปีศาจที่ถูกเมฆหมอกปกคลุมอยู่ตลอดเวลา
“โอ๊ย !”
ทันใดนั้นเอง มีเสียงร้องโหยหวนที่น่าเวทนาดังขึ้น ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงกับภาพที่เกิดขึ้น ในมือของลวี่โหลวมีแสงเทวสีไพรพุ่งออกมา ถึงแม้กงหยางฉวนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามจะมีอาวุธเทพระดับเก้าอยู่ในมือ ก็ต้องตายอย่างน่าอนาถในทันที ร่างกายของเขาแหลกสลายกลายเป็นหมอกเลือด ไม่เหลือแม้กระทั่งเศษกระดูก !
ในขณะเดียวกันนี้ ออร่าที่กว้างใหญ่และยากจะคาดเดาก็กระจายไปทั่วฟ้าดิน ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนมีภูเขานับแสนมากดทับอยู่ที่หน้าอก แม้กระทั่งจะหายใจก็ยังลำบาก
การที่สามารถสังหารกงหยางฉวนได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะลวี่โหลวใช้ทหารจักรวรรดิเลิศล้ำอย่างตราเขามังกรฉิว ถึงแม้จะเก็บกลับในชั่วพริบตา แต่พลังอันน่าเกรงขามของทหารจักรวรรดิสูงสุด ก็ยังคงถูกคนอื่น ๆ รับรู้และสัมผัสได้
แต่หลัวซิวไม่สนใจสิ่งนี้อีกต่อไปแล้ว เพราะเขามาถึงหุบเขาสยบปีศาจแล้ว ขอเพียงเข้าไปในหุบเขาสยบปีศาจได้ ต่อให้ต้องเผยความลับเรื่องการครอบครองทหารจักรวรรดิเลิศล้ำออกมาก็ไม่เป็นไร ใครกล้าเข้ามาแย่งชิง เท่ากับคนผู้นั้นรนหาที่ตาย !
“ทหารจักรวรรดิเลิศล้ำ !”
มีคนอุทานออกมาด้วยความต่อใจ ต่อให้เป็น ภัณฑ์ราชาระดับเก้า สมบัติมกุฎระดับเก้า หรือแม้กระทั่งทหารจักรวรรดิระดับเก้า ก็ไม่มีแรงกดดันที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ดังนั้นคำอธิบายเพียงอย่างเดียวที่พอจะมีอยู่ก็คือ ภูเขาว่านเริ่นมีทหารจักรวรรดิเลิศล้ำชิ้นหนึ่งอยู่ในครอบครอง !