มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2684 พสุดาราหวูซิน
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2684 พสุดาราหวูซิน
บรรพจารย์ต้าโหลวถูกหลัวซิวใช้ค่ายกลในหุบเขาสยบปีศาจสังหาร ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าคนหนึ่ง ภายในแหวนเก็บของของเขามีวัตถุดิบชั้นยอดหลากหลายชนิด นอกจากสมบัติแล้ว สิ่งที่หลัวซิวให้ความสำคัญมากกว่ากลับเป็นม้วนอยู่แผนที่ดาวชิ้นหนึ่ง
ห้วงดาราของโลกร้างกว้างใหญ่มากเกินไป มาตรแม้นว่าเป็นม้วนหยกแผนที่ดาวชิ้นนี้ของบรรพจารย์ต้าโหลว ก็ไม่ได้ครอบคลุมทั้งโลกร้างเช่นกัน มีเพียงแผนที่ดาวของอาณาจักรตะวันออกแห่งโลกร้างเท่านั้นที่ค่อนข้างละเอียด การบรรยายที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรดาราใหญ่ทั้งสี่ที่เหลือ กลับค่อนข้างคลุมเครือเรียบง่าย
ในธาตุดาราขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ไม่ได้มีเพียงดวงดาวเท่านั้น มีแผ่นดินใหญ่ที่เกิดจากการพุ่งชนของอุกกาบาตขนาดใหญ่เช่นกัน ซึ่งแผ่นดินใหญ่เหล่านั้นล้วนลอยอยู่กลางห้วงดารา มีบางส่วนที่ถูกผู้มากอิทธิพลสุดล้ำยึดครอง และมีบางส่วนที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่บางจุดอย่างมั่นคงเพราะเหตุผลพิเศษ จึงส่งผลให้ประกอบเป็นพสุธาห้วงดาราที่พิเศษ
ยกตัวอย่างเช่นพสุธาห้วงดาราที่หุบเขาสยบปีศาจคงอยู่ ซึ่งหาพบสถานที่ในทำนองนี้ได้จากห้วงดาราของโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดเยอะมาก
หลังจากฉีกกระชากอนัตตาออกมาจากหุบเขาสยบปีศาจแล้ว หลัวซิวก็มาถึงสถานที่ที่มีนามว่าธาตุดาราเคล็ดอัสนี ในธาตุดาราเคล็ดอัสนีมีสถานที่ที่ชื่อว่าพสุดาราหวูซิน ซึ่งมันก็คือแผ่นดินหนึ่งที่ลอยอยู่กลางห้วงดารานั่นเอง
พสุดาราหวูซินมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ที่นี่เคยเจริญรุ่งเรืองอยู่ช่วงหนึ่ง เนื่องจากเคยมีผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานคนหนึ่งบังเกิดที่นี่ ซึ่งถูกเรียกขานว่าประมุขดาราหวูซิน
ทว่ากาลเวลาไร้ความปราณี มาตรแม้นว่าผู้ที่แข็งแกร่งปานประมุขดาราหวูซิน ก็ไม่มีทางคงอยู่ได้ชั่วนิรันดร์ พสุดาราหวูซินก็เสื่อมทรุดลงไปตั้งแต่เมื่อหลายสิบล้านกว่าปีก่อนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือกระทั่งปัจจุบัน มันก็ตกต่ำจนกลายเป็นกองกำลังที่ไม่มีชื่อเสียง แทบจะไม่มีคนถามไถ่ถึงเลย
ในกาลเวลาอันไกลโพ้น ที่นี่เคยมีสำนักหนึ่งชื่อว่าสำนักหวูซิน แต่สำนักเขาของสำนักหวูซินหายไปตั้งนานแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของสำนักหวูซินในตอนแรก ก็จมหายเข้าไปในฝุ่นละอองของประวัติศาสตร์เช่นกัน
เมื่อหลัวซิวมาถึงพสุดาราหวูซิน ก็รู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
“นายท่าน ที่นี่ใช่พสุดาราหวูซินจริง ๆ หรือ?”เท้าของลาร์เหยียบลงบนแผ่นดินใหญ่ของพสุดาราหวูซิน ก่อนจะขมวดคิ้วลงอย่างควบคุมไม่ได้
เมื่อหลายสิบล้านปีก่อน เขาเคยทำสงครามปราบปรามไปทั้งแปดทิศร่วมกับนายท่าน และเคยมาพสุดาราหวูซินหลายครั้ง เดิมทีที่นี่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับการฝึกยุทธ์ ทว่าปัจจุบันพลังจิตกลับแห้งเหือด สภาพการณ์ทุกจุดล้วนดูเสื่อมโทรมมาก
“ที่นี่ต้องใช่พสุดาราหวูซินอยู่แล้วสิ”หลัวซิวเบิ่งมองออกไปไกล ๆ พสุธาห้วงดาราไม่มีท้องฟ้า เมื่อเงยหน้าขึ้นก็จะสามารถมองเห็นห้วงดาราที่กว้างใหญ่ไพศาล ดวงดาวนับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่บนห้วงดาราและทางช้างเผือกที่พาดผ่าน
ถึงแม้ผลการฝึกตนของเขายังไม่บรรลุสูงถึงอย่างในอดีต แต่กลับสามารถสัมผัสได้อย่างว่องไวและเฉียบแหลมว่า สาเหตุที่พสุดาราหวูซินเปลี่ยนจากแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการฝึกยุทธ์เสื่อมทรุดลงมาจนถึงขั้นนี้ได้นั้น เป็นเพราะพลังจิตลมปราณเซียนที่ฝังซ่อนอยู่ในส่วนลึกของแผ่นดินพสุดาราแห่งนี้ถูกผู้อื่นดูดไปแล้ว
การฝึกยุทธ์นั้นจะขาดพลังจิตไม่ได้ ซึ่งพลังจิตก็แบ่งออกหลายประเภทเช่นกัน มีพลังจิตที่ประกอบจากธาตุกฎ และมีพลังจิตที่ประกอบจากเกณฑ์พลังเต๋าด้วย สถานที่ที่มีพลังจิตที่นับไม่ถ้วนผนึกรวมกัน ต้องมีลมปราณเซียนถูกหล่อเลี้ยงวิวัฒนาการออกมาอย่างแน่นอน ก็เหมือนเช่นเดียวกันกับหุบเขาสยบปีศาจของเขา ภายในไม่ได้มีลมปราณเซียนฝังซ่อนอยู่เพียงสายเดียวเท่านั้น จึงส่งผลให้แก่นสารพลังจิตเข้มข้นอย่างยิ่ง
เมื่อภพชาติก่อนในอดีต ข้างกายเขามีผู้ติดตามที่เป็นทำนองเดียวกันกับราชาเทพว่านเริ่นและลาร์ และมีมิตรสหายที่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ทำสงครามกันด้วย ถึงแม้ไท่ซ่างฉิงจะตัดอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองทิ้งแล้ว แต่ในใจเขาก็มีการแบ่งมิตรศัตรูอยู่
นายแห่งพสุดาราหวูซินหรือประมุขดาราหวูซินในอดีตก็เป็นสหายเก่าคนหนึ่งของเขาเช่นกัน เคยต่อต้านศัตรูตัวฉกาจร่วมกับเขา จับมือร่วมก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน สามารถพูดได้เลยว่าเป็นสหายที่เคยร่วมฝ่าฟันความเป็นความตายกันมาก่อน
ระยะเวลาหนึ่งยุคตรีภพนั้นยาวนานมากเกินไป ถึงแม้จะยึดกุมอุบายปรปักษ์สวรรค์ชั้นเลิศ ก็มีน้อยคนมากที่สามารถมีอายุขัยมากกว่าหนึ่งยุคตรีภพ ยิ่งเป็นจอมยุทธ์ที่ศักยภาพแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ระดับความยากในการแหกกฎสวรรค์ยืดอายุขัยก็ยิ่งยาก
สาเหตุที่ลาร์สามารถยืดอายุขัยอยู่ในมหาค่ายแห่งเทือกเขาลั่วหยุนจวบจนปัจจุบันนั้น ด้านหนึ่งเป็นเพราะตัวตนของเขาคือยักษ์อัสนี แต่สาเหตุหลักกลับเป็นเพราะศักยภาพของเขาไม่ถือว่าแข็งแกร่งมากเท่าไหร่นัก อยู่เพียงแดนเทพมารระดับเจ็ด
ยกตัวอย่างเช่นบรรพอาจารย์ท่านนั้นในตระกูลต้าฉินที่คงอยู่ในปัจจุบันก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน เขาคือมกุฎเทพระดับเก้า อาศัยภูมิฐานที่ตระกูลต้าฉินยึดกุม ควบคู่กับการใช้อุบายแหกกฎสวรรค์ เวลาส่วนมากล้วนอยู่ในสภาวะนอนหลับใหล ถึงสามารถคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ก้าวข้ามขีดจำกัดหนึ่งยุคตรีภพ
แต่ถ้าเกิดเป็นจักรพรรดิเทพระดับเก้าคนหนึ่ง เช่นนั้นโอกาสที่จะยืดอายุขัยก้าวข้ามขีดจำกัดก็จะยิ่งต่ำ หากเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า ก็ยิ่งไม่มีความเป็นไปได้เลย นอกเสียจากว่ากลับชาติมาเกิดผ่านวัฏสงสาร ถึงจะมีโอกาสเสี้ยวหนึ่ง
แต่ทว่าโอกาสในการกลับชาติมาเกิดผ่านวัฏสงสารนั้นต่ำเกินไป หลังจากผู้แข็งแกร่งส่วนมากกลับชาติมาเกิดแล้ว ขณะที่ยังไม่ปลุกตื่นความทรงจำของชาติปางก่อน ก็มีโอกาสดับสลายสูญสิ้นง่ายมาก ๆ และทันทีที่ดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว วิญญาณชีวีก็จะกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง หลังจากจำนวนในการกลับชาติมาเกิดมากเกินไป ก็จะสูญเสียโอกาสในการปลุกตื่นความทรงจำ สูญสิ้นไปจากวัฏสงสาร
กาลเวลาและนิรันดรเป็นประเด็นที่ทำให้ผู้แข็งแกร่งทอดถอนใจตลอดมา
เสาะหาตามความทรงจำในอดีต ก่อนหลัวซิวจะมาถึงที่ตั้งเดิมของสำนักหวูซิน ทว่าสำนักเขาของสำนักหวูซินไม่คงอยู่ตั้งนานแล้ว สิ่งที่เข้ามาทดแทนคือคูเมืองขนาดใหญ่ที่ดูโบราณและเรียบง่าย
หากจะเข้าไปในเมืองจำเป็นต้องจ่ายโอสถแก่นแท้ระดับห้าหนึ่งเม็ด ซึ่งนั่นก็หมายความว่าอย่างน้อยผลการฝึกตนก็ต้องเป็นเทพมารระดับห้า ถึงจะมีสิทธิ์ฝ่าฟันในห้วงดารา
คูเมืองแห่งนี้ก่อสร้างอยู่บนพสุดาราหวูซิน และสร้างอยู่บนที่อยู่เก่าของสำนักหวูซินอีกด้วย ซึ่งชื่อของมันก็ต้องตั้งจากหวูซินอยู่แล้ว มีนามว่าเมืองหวูซิน
หลังจากเข้าไปในเมือง หลัวซิวก็เริ่มแผ่ขยายตัวสำนึกของตัวเองออกไปแล้ว จอมยุทธ์ส่วนมากที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้ล้วนมีผลการฝึกตนเทพมารระดับห้าถึงเทพมารระดับหก ผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดนั้นหาพบได้ยากมาก
สาเหตุที่หลัวซิวมาที่นี่นั้น เป็นเพราะเขาบังเอิญมาถึงธาตุดาราเคล็ดอัสนีพอดี บวกกับอยู่ใกล้กับพสุดาราหวูซินมากด้วย สำนักหวูซินไม่คงอยู่อีกต่อไปแล้ว เขาจึงไม่มีความคิดที่จะมาทำอะไรที่นี่เช่นกัน ทว่าในใจแค่มีความรำลึกและทอดถอนใจมากขึ้นเท่านั้น
มาถึงภัตตาคารแห่งหนึ่งในเมือง หลัวซิวนั่งลงตรงตำแหน่งที่ใกล้กับหน้าต่าง พนักงานในภัตตาคารเห็นว่าเขาดูหนุ่ม ด้านหลังก็มีผู้ติดตามด้วย จึงสันนิษฐานว่าเขาน่าจะเป็นศิษย์ที่มาจากสำนักตระกูลใดสำนักตระกูลหนึ่ง ก่อนพนักงานจะเดินเข้ามาอย่างกระตือรือร้น
หลัวซิวขอเหล้าหนึ่งกาและแก้วเหล้าอีกสองใบ เขาเทเหล้าลงไปในแก้วทั้งสองใบจนเต็ม แล้ววางแก้วใบหนึ่งลงฝั่งตรงข้ามตัวเอง
ลาร์ยืนอยู่ด้านหลังเขา มีเพียงเขาเท่านั้นที่ทราบว่าเหล้าแก้วนี้ นายท่านได้เทให้ประมุขดาราหวูซิน
ราวกับภาพฉากได้หยุดนิ่งไปแล้วยังไงอย่างนั้น หลัวซิวก็ไม่ได้ดื่มเหล้าเช่นกัน แก้วเหล้าทั้งสองใบถูกวางอยู่บนโต๊ะอย่างนิ่ง ๆ
“ได้ยินมาว่าเมื่อไม่นานมานี้สมาคมเทียนสุ่ยเพิ่งจับกุมตัวคนได้หนึ่งคน เล่ากันว่าเป็นกากเดนของสำนักหวูซิน”
“กากเดนของสำนักหวูซิน? เช่นนั้นสมาคมเทียนสุ่ยก็รวยเลยสิ? ถึงแม้สำนักหวูซินจะไม่คงอยู่ตั้งแต่เมื่อหลายสิบล้านปีก่อนแล้ว แต่ดูเหมือนพลังอมตะและการถ่ายทอดสืบสานที่แข็งแกร่งในสำนักหวูซินจะไม่รั่วไหลออกไปนะ”
“……”
หลัวซิวบังเอิญได้ยินบทสนทนาของลูกค้าในภัตตาคาร เขามองไปทางต้นตอของเสียง ก่อนจะพบว่าผู้ที่พูดคุยเรื่องดังกล่าว คือจอมยุทธ์สองคนที่นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ของภัตตาคาร
“ไม่ทราบว่าสมาคมเทียนสุ่ยที่ทั้งสองท่านกล่าวถึงนั้นมีความเป็นมาอย่างไรหรือ?”หลัวซิวลุกตัวขึ้นแล้วเดินไปถาม
จอมยุทธ์สองคนที่พูดคุยกันขมวดคิ้วลง แต่เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นว่าด้านหลังของชายหนุ่มคนดังกล่าวมีผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดที่ร่างกายกำยำตามมาด้วยหนึ่งคน สีหน้าจึงดูอ่อนโยนขึ้นมาภายในพริบตา
“หรือว่าท่านชายก็สนใจการถ่ายทอดสืบสานของสำนักหวูซินเช่นกัน? ทว่าสมาคมเทียนสุ่ยน่าจะเฝ้าดูแลกากเดนคนนั้นของสำนักหวูซินได้เคร่งครัดมากนะขอรับ”หนึ่งในจอมยุทธ์ตอบกลับอย่างระมัดระวัง
“เหอะ ๆ สหายเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้สนใจในวรยุทธ์ของสำนักหวูซิน แต่สนใจสมาคมเทียนสุ่ยที่พวกเจ้ากล่าวถึงมากกว่า”หลัวซิวอธิบายประโยคหนึ่ง
จอมยุทธ์ทั้งสองคนมองหน้ากันและกัน ไม่เข้าใจว่าเขาพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่ หนึ่งในนั้นจึงตอบกลับว่า “สมาคมเทียนสุ่ยเป็นหนึ่งในกองกำลังใหญ่ทั้งห้าของเมืองหวูซิน เล่ากันว่าหัวหน้าแก๊งฉิวเทียนสุ่ยคือผู้แข็งแกร่งแดนเทพมารระดับเจ็ดขอรับ……”
“ขอบพระคุณทั้งสองท่านที่แจ้งให้ทราบ”
หลัวซิวกล่าวขอบคุณคำหนึ่ง จากนั้นเขาก็กลับมานั่งบนที่นั่งตัวเองใหม่ ยกแก้วเหล้าตัวเองขึ้นมา แล้วดื่มจนหมดแก้วภายในอึกเดียว สายตาร่วงลงบนแก้วเหล้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วรู้สึกทอดถอนใจหวูซินเอ๊ยหวูซิน รอดูอีกทีแล้วกันว่าเจ้าจะสามารถคุ้มครองทายาทของเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่”
ปั้ง!
หลัวซิววางแก้วเหล้าลง ถัดจากนั้นเขาก็ย่างเท้าเดินออกไปจากภัตตาคารแห่งนี้
เมื่อเห็นกิริยาท่าทางนี้ของนายท่าน ลาร์ก็รู้แล้วว่านายท่านจะทำอะไร มีออร่าความดุดันที่เป็นของยักษ์อัสนีแผ่กระจายออกมาจากตัวเขาเล็กน้อย
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในกองกำลังใหญ่ทั้งห้าของเมืองหวูซิน จึงหาสำนักงานใหญ่ของสมาคมเทียนสุ่ยไม่ยากแต่อย่างใด มันคือหอคอยหลังหนึ่งที่ตั้งตระหง่านยิ่งใหญ่มาก บริเวณรอบ ๆ หอคอยมีมหาค่ายเทพระดับเจ็ดที่มีพลังเกณฑ์ธาตุน้ำแข็งแฝงซ่อนอยู่หนึ่งค่าย ซึ่งเพียงพอที่จะสามารถต้านทานพลังโจมตีของผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดช่วงปลายได้
ณ บัดนี้วินาทีนี้ บนชั้นที่สูงที่สุดของหอคอยหลังนี้ เหล่าผู้อาวุโสของสมาคมเทียนสุ่ยล้วนอยู่ที่นี่ และผู้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งหลักก็ต้องเป็นหัวหน้าแก๊งของสมาคมเทียนสุ่ยอยู่แล้ว และเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในห้องเช่นกัน ฉิวเทียนสุ่ย
และชื่อของสมาคมก็มาจากชื่อของเขา การที่สมาคมเทียนสุ่ยสามารถยืนหยัดอยู่ที่นี่ได้นั้น สาเหตุหลักนั้นเป็นเพราะมีฉิวเทียนสุ่ยคอยบัญชาการด้วยตนเองอยู่ที่นี่ เนื่องจากเขาคือผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดช่วงกลางคนหนึ่ง และเป็นนักค่ายเทพระดับเจ็ดขั้นสุดยอดด้วย ซึ่งถือเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นสุดยอดบนพสุดาราหวูซินแล้ว
“ท่านหัวหน้าแก๊ง เราได้ใช้วิชาค้นวิญญาณตรวจสอบตัวหยั่งรู้ของกากเดนสำนักหวูซินนั่นแล้วขอรับ ทว่าตัวหยั่งรู้ของมันมีตัวต้องห้ามประเภทหนึ่งที่พิเศษอย่างยิ่ง ทำให้ข้าเองก็ไม่สามารถสอดแนมความทรงจำของมันได้เลย”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งค่อย ๆ เอ่ยปากพูด เขาคือผู้อาวุโสใหญ่ของสมาคมเทียนสุ่ย และเป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดที่ผลการฝึกตนเป็นรองเพียงฉิวเทียนสุ่ยด้วย
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น เขาก็หยิบแหวนเก็บของออกมาหนึ่งวง “นี่คือแหวนเก็บของของกากเดนสำนักหวูซินนั่น ภายในก็ไม่มีม้วนหยกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวรยุทธ์พลังอมตะเลยแม้แต่น้อย”
เมื่อฉิวเทียนสุ่ยได้ยินคำพูดเหล่านี้ จึงขมวดคิ้วลงไปเล็กน้อย “สำนักหวูซินเป็นการถ่ายทอดสืบสานระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ เล่ากันว่าเมื่อหลายสิบล้านปีก่อน ประมุขดาราหวูซินเป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพระดับเก้า หากมองในอดีต นั่นมันผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่สามารถกวาดล้างอาณาจักรตะวันออกแห่งโลกร้างได้เชียวนะ แมลงร้อยขา ตายไปก็ไม่ล้ม เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้วรยุทธ์พลังอมตะหลักรั่วไหลออกไป กากเดนสำนักหวูซินย่อมมีอุบายในการป้องกันอยู่แล้ว”
“ท่านหัวหน้าแก๊ง จะเชิญให้เจ้าเมืองหวูซินออกโรงหรือไม่ขอรับ? เจ้าเมืองหวูซินเป็นผู้แข็งแกร่งที่เดินบนวิถีกลั่นวิญญาณ บางทีอาจจะสามารถทลายตัวต้องห้าม และได้รับสิ่งที่เราต้องการจากตัวหยั่งรู้ความทรงจำของกากเดนสำนักหวูซินนั่น”
“หึ หากเจ้าเมืองหวูซินทลายตัวต้องห้ามแล้วได้รับวรยุทธ์การถ่ายทอดสืบสานหลักของสำนักหวูซิน เจ้าคิดว่ามันจะเอาออกมาแบ่งปันกับเราหรือ?”ฉิวเทียนสุ่ยทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง เขายอมที่จะไม่ได้ครอบครองมัน แต่ก็ไม่มีทางไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าเมืองหวูซิน
“ตู้มม!”
และในเวลานี้เอง จู่ ๆ หอคอยของสมาคมเทียนสุ่ยก็สั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง เสียงดังลั่นที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินถึงขั้นสะท้อนไปยังทั่วทุกมุมเมืองหวูซิน
มหาค่ายเทพระดับเจ็ดถูกเปิดออกภายในพริบตา แสงค่ายสีฟ้าน้ำแข็งทั้งหลายผนึกรวมกันกลายเป็นม่านแสง ทำการปกคลุมทั้งหอคอยเอาไว้ แสงค่ายสีฟ้าน้ำแข็งเหล่านี้ล้วนวิวัฒนาการออกมาจากลายค่ายที่มีพลังเกณฑ์ธาตุน้ำแข็งสลักจารึก
“ผู้ใด? บังอาจมาโจมตีสำนักงานใหญ่สมาคมเทียนสุ่ยของเราอย่างนั้นหรือ?”
เสียงตะคอกที่โกรธเกรี้ยวสะท้อนออกไปจากชั้นบนสุดของหอคอย ฉิวเทียนสุ่ยที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเดินนำออกมาก่อน ด้านหลังเขามีผู้อาวุโสทั้งหมดหกคนโดยครอบคลุมผู้อาวุโสใหญ่ด้วย
นอกหอคอยสมาคม มีชายหนุ่มที่อยู่ในชุดคลุมยาวดำคนหนึ่งกำลังใช้มือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลังแล้วลอยอยู่กลางนภา แต่ทว่าสิ่งที่ดึงดูดสายตากลับไม่ใช่ชายหนุ่มคนนั้น แต่เป็นหนุ่มที่หุ่นร่างกำยำปานหอคอยเหล็กคนหนึ่ง ในมือเขามีกระบองเหล็กสีดำขลับหนึ่งเล่ม ซึ่งเสียงดังลั่นที่เกิดขึ้นในเมื่อครู่นี้ก็เกิดจากการที่เขาใช้กระบองเหล็กฟาดลงไปนี่แหละ
“รนหาที่ตาย!”
ผู้อาวุโสทั้งห้าคนที่ยืนอยู่ด้านหลังฉิวเทียนสุ่ยพุ่งตรงไปภายในพริบตา ในสมาคมเทียนสุ่ย นอกจากฉิวเทียนสุ่ยและผู้อาวุโสใหญ่ที่มีผลการฝึกตนเป็นเทพมารระดับเจ็ดแล้ว ผู้อาวุโสอีกห้าคนที่เหลือล้วนอยู่ในแดนเทพมารระดับหกขั้นสูง
“แหะ ๆ มีพวกสวะที่รนหาที่ตายพุ่งเข้ามาแล้ว”
ลาร์แสยะยิ้มทีหนึ่ง เห็นเพียงเขาสะบัดหัวครั้งหนึ่ง มฤตยูชี่ฉกรรจ์จึงเริ่มโหมพัดเสียงดังปานคำราม ถัดจากนั้นก็เห็นว่าศีรษะของเขาใหญ่ขึ้นกะทันหัน อ้าปากแล้วเผยให้เห็นฟันที่เฉียบคมดั่งดาบกระบี่ เสียงแคว็กดังขึ้น อนัตตาถูกฉีกกระชากออกจนเสื่อมทรุดเป็นวงกว้าง