มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2685 ไสหัวไป
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2685 ไสหัวไป
อนัตตาเสื่อมทรุด ในส่วนของผู้อาวุโสทั้งห้าของสมาคมเทียนสุ่ยกลับหายตัวไปแล้ว นี่จึงทำให้ผู้คนที่เห็นภาพเหตุการณ์นี้ต่างรู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างควบคุมไม่ได้
“พระเจ้า นั่นมันตัวประหลาดที่มาจากที่ใดเนี่ย? ถึงกับกินมนุษย์เป็น ๆ เลยอย่างนั้นหรือ?”
“หรือจะเป็นผู้แข็งแกร่งในเผ่าพันธุ์มารไม่ก็เผ่าปีศาจ?”
คนจำนวนมากที่วางแผนที่จะมามุงดูความสนุกในตอนแรกต่างพากันถอยหลังออกไป เรื่องที่เหี้ยมโหดอย่างการกินมนุษย์ยังทำได้ จักยังมีผู้ใดกล้าเข้าใกล้เขาอีก?
นอกซะจากฝึกวรยุทธ์ที่วิปริตมาก ๆ มิฉะนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วจอมยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่มีทางกลืนกินมนุษย์แบบเป็น ๆ ทว่าผู้คนในเผ่าพันธุ์มารและเผ่าปีศาจกลับแตกต่างกัน การกินมนุษย์เป็นเรื่องที่หาพบได้บ่อยมากในเผ่าพันธุ์มารและเผ่าปีศาจ
“ไปเดรัจฉาน ไปตายซะ!”
การตายของผู้อาวุโสทั้งห้าคนทำให้ฉิวเทียนสุ่ยยิ่งโกรธมากจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ภายใต้การควบคุมของเขา ค่ายกลต้องห้ามที่อยู่รอบหอคอยจึงผนึกรวมกันกลายเป็นกระบี่เทพสีฟ้าน้ำแข็งเล่มหนึ่ง ออร่าเย็นเยือกที่น่ากลัวแผ่กระจายออกมา ทำให้ฟ้าดินผืนนี้ราวกับกลายเป็นบ่อน้ำแข็งยังไงอย่างนั้น
ลาร์ดูหมิ่นต่อเหตุการณ์นี้มาก ในฐานะที่เขากำเนิดจากตรีภพและเป็นที่เทพมารระดับเจ็ดตั้งแต่กำเนิด เขาแทบจะเป็นผู้ไร้เทียมทานในแดนเทพมารระดับเจ็ดเลย
“ตู้มม!”
กระบี่เทพสีฟ้าน้ำแข็งผ่าลงบนตัวเขา แต่กลับไม่สามารถทำอะไรร่างเทวที่กำเนิดจากตรีภพได้เลยแม้แต่น้อย ตราอัสนีที่อยู่กลางหว่างคิ้วลาร์กระพริบระยิบระยับขึ้นมา ก่อนจะมีสายฟ้าสีม่วงปะทุออกมาจากกระบองเหล็กเซียนตรีภพในมือเขา
“ตู้มม!”
เสียงดังก้องที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังก้องไปทั่วทุกสารทิศอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงแตกร้าวที่ดังแคว็ก ๆ ค่ายกลคุ้มกันของสมาคมเทียนสุ่ยจึงเริ่มแตกร้าว แล้วพังทลายลงไปภายในพริบตา
อาศัยพลังเกณฑ์อัสนี ความเร็วในการเคลื่อนที่ของลาร์เร็วปานสายฟ้า ยิ่งกว่านั้นคือฉิวเทียนสุ่ยยังไม่ทันได้ตอบสนองอะไรเลยด้วยซ้ำ ลาร์ก็พุ่งขึ้นมาบนหอคอยแล้ว เสียงฟึ่บดังขึ้น ทำการฉีกกระชากร่างกายของผู้อาวุโสใหญ่ออกเป็นสองซีก เลือดสาดกระเด็น
แม้นผลการฝึกตนของผู้อาวุโสจะเป็นเทพมารระดับเจ็ด แต่ก็เป็นเพียงเทพมารระดับเจ็ดขั้นปฐมภูมิทั่วไปเท่านั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าลาร์ ก็ไม่มีความสามารถที่จะต่อต้านได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ไฟโกรธที่ล้นฟ้าจึงเอ่อล้นออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของฉิวเทียนสุ่ยภายในพริบตา เขาไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าสมาคมที่ตนจัดการบริหารอย่างตั้งอกตั้งใจ จะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจที่เก่งกาจเช่นนี้
การบริหารจัดการอย่างตั้งอกตั้งใจในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ได้พังทลายลงไปในทีเดียว ฉิวเทียนสุ่ยตะคอกเสียงดังลั่นทีหนึ่ง ก่อนจะเรียกของขลังที่มีลักษณะเป็นวงแหวนออกมาหนึ่งชิ้น วงแหวนนั่นกำลังหมุนโคจรอย่างรวดเร็ว เหมือนดั่งกงจักรที่กำลังหมุนอย่างบ้าคลั่ง หากสังเกตดูดี ๆ ก็จะค้นพบว่าของขลังลักษณะวงแหวนนั่นประกอบจากฟันเฟืองที่นับไม่ถ้วน ไม่นึกเลยว่าจะเป็นของขลังกอปรชิ้นหนึ่ง
ของขลังกอปรที่กล่าวถึงนั้น ประกอบมาจากของขลังหลายชิ้น ซึ่งระดับความยากในการกลั่นของขลังประเภทนี้จะสูงกว่า แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วพลังพลานุภาพก็แข็งแกร่งมากกว่าด้วย
หลัวซิวไม่เก็บสิ่งนี้มาใส่ใจ ตัวสำนึกของหลัวซิวได้ทำการแผ่คลุมทั้งหอคอยสมาคมเทียนสุ่ยแล้ว พลังญาณเทวที่แฝงซ่อนอยู่ในตัวสำนึก บวกกับวิถีค่ายที่เขาเชี่ยวชาญ สามารถทะลุผ่านการขวางกั้นของตัวต้องห้ามทั้งปวงได้อย่างง่ายดาย ทุกการเคลื่อนไหวในหอคอยล้วนอยู่ในสายตาเขา
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง หลัวซิวก็ได้ผนึกไปที่ชั้นใต้ดินของหอคอยหลังนี้ หอคอยหลังนี้ของสมาคมเทียนสุ่ยดูเหมือนจะมีเจ็ดชั้น แต่แท้จริงแล้วด้านล่างยังมีอีกสามชั้น ซึ่งเป็นทำนองเดียวกันกับคุกใต้ดิน มีค่ายกลต้องห้ามหลายชั้นบดบังอยู่ หากไม่ใช่ยอดฝีมือที่ตัวสำนึกแข็งแกร่งหรือเชี่ยวชาญวิถีค่าย ก็ค้นพบสิ่งที่หลบซ่อนอยู่ด้านล่างได้ยากมาก
เงาร่างกระพริบทีหนึ่ง ร่างหลัวซิวก็หายไปจากกลางนภา ถัดจากนั้นก็มีเสียงตู้มดังลั่นขึ้นมา ค่ายกลต้องห้ามจำนวนมากที่อยู่ในคุกใต้ดินถูกเขาใช้อำนาจทลายทิ้งแล้ว
เหล่าจอมยุทธ์ในสมาคมที่รับผิดชอบเฝ้าดูแลคุ้มกันใต้ดินต่างพากันพุ่งฆ่าเข้ามา ส่วนมากคนเหล่านี้ล้วนเป็นมกุฎเทพระดับห้าและมกุฎเทพระดับหก
“ไสหัวไป!”
หลัวซิวสะบัดแขนเสื้อคลุมหนึ่งครั้ง ทำการปลดปล่อยพลังเกณฑ์ตรีภพออกมาอย่างสบายมือ ชี่อลวนสีเทาที่มโหฬารพันลึกพรั่งพรูมา เหมือนดั่งมังกรขนาดใหญ่ที่ทะยานมา ทำการพุ่งชนเหล่าจอมยุทธ์ที่พุ่งตรงเข้ามาจนกระเด็นออกไปภายในพริบตา ทั้งตายทั้งบาดเจ็บ
มีคนไม่น้อยถูกกักขังอยู่ในคุกใต้ดิน ซึ่งคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่เป็นศัตรูกับสมาคมเทียนสุ่ย ถึงแม้จำนวนคนจะมีไม่น้อย แต่ตัวสำนึกของหลัวซิวก็เจอชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกโซ่เหล็กทะลวงจุดตันเถียนแล้วมัดอยู่บนเสาอย่างรวดเร็ว
ในยุคปัจจุบัน สามารถพูดได้เลยว่าไม่มีผู้ใดเข้าใจการถ่ายทอดสืบสานของสำนักหวูซินดีไปมากกว่าเขาแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่เคยเห็นชายหนุ่มคนดังกล่าวมาก่อน ทว่าจากแดนนยุทธ์ของหลัวซิว กลับสามารถสัมผัสออร่าประเภทหนึ่งที่พิเศษมาก ๆ ได้จากตัวชายหนุ่มคนดังกล่าว ซึ่งออร่าประเภทนี้จะมีได้ก็ต่อเมื่อฝึกวรยุทธ์หลักของสำนักหวูซิน ซึ่งเหมือนประมุขดาราหวูซินทุกประการเลย
“เจ้าคือผู้ใด?!”
เมื่อหลัวซิวปรากฏตรงหน้าชายหนุ่มคนดังกล่าว ฝ่ายตรงข้ามดูระแวดระวังอย่างมาก บนใบหน้าไม่มีเลือดฝาดเลยแม้แต่น้อย เต็มเปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่และปณิธานที่แม้นต้องตายก็ไม่ยอมก้มหัวให้
“ทายาทของหวูซินก็ไม่ใช่พวกอ่อนแอนี่”
หลัวซิวมองเขารอบหนึ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง ในขณะเดียวกันเขาก็ดีดนิ้วทีหนึ่ง ทำการทลายโซ่ทองเซียนที่มัดตามร่างกายเขา
โซ่ทองเซียนเหล่านี้ตกลงพื้น ล้วนแตกสลายจนกลายเป็นฝุ่นผง ทว่ากลับถูกหลัวซิวโคจรวิชากลั่นร่างกลืนเศษณ์ดูดซับพละกำลังไป
ตั้งแต่ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนเทพมารระดับหกเป็นต้นมา วิชากลั่นร่างกลืนเศษณ์ของหลัวซิวก็มีการพัฒนาทุกวันเช่นกัน ร่างกายของเขาแทบจะสามารถเทียบทัดอาวุธเทพระดับเจ็ดชั้นยอดแล้ว
ในขณะเดียวกัน ลาดเลาด้านนอกก็หยุดลงแล้ว ต่อให้ฉิวเทียนสุ่ยจะมีผลการฝึกตนเทพมารระดับเจ็ดช่วงปลาย และเป็นนักค่ายเทพระดับเจ็ดอาวุโสด้วย แต่ก็ยืนหยัดอยู่ในเงื้อมมือลาร์ได้ไม่กี่กระบวนท่า ก่อนจะถูกฆ่าอยู่ดี
วิธีการต่อสู้ของยักษ์อัสนีโหดร้ายทารุณและตรงไปตรงมา ฉิวเทียนสุ่ยแทบจะถูกกระบองเหล็กเซียนของเขาทุบจนกลายเป็นเนื้อเละ ๆ ทุกคนที่มองเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวล้วนรู้สึกหวาดหวั่นและหวาดกลัว
ผู้คนส่วนใหญ่ของสมาคมเทียนสุ่ยได้หลบหนีไปแล้ว หอคอยเจ็ดชั้นว่างเปล่าไม่เหลือผู้ใดเลย และหลัวซิวก็พาชายหนุ่มที่ใบหน้าขาวซีดคนนั้นขึ้นมาถึงชั้นเจ็ดที่เป็นชั้นสูงสุด
“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่? เหตุใดจึงต้องช่วยข้าด้วย?”ชายหนุ่มยังคงถามคำถามนี้อีกเช่นเคย ตั้งแต่ถูกคนของสมาคมเทียนสุ่ยจับกุมตัว เขาก็รู้แล้วว่าคนส่วนมากล้วนต้องการการถ่ายทอดสืบสานที่อยู่บนตัวเขา บางทีคนที่อยู่ตรงหน้านี้ก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
“เมื่อเปรียบเทียบกับการถามคำถามที่ไร้ความหมายเช่นนี้ เจ้าเป็นห่วงสภาพอาการบาดเจ็บของตัวเองจะดีกว่านะ”หลัวซิวตอบกลับอย่างเย็นชา
เมื่อพูดถึงสภาพอาการบาดเจ็บของตัวเอง สีหน้าของชายหนุ่มจึงหม่นหมองลงไปภายในพริบตา หลังจากถูกสมาคมเทียนสุ่ยจับกุมตัวแล้ว เนื่องจากกังวลว่าเขาจะมีอุบายในการหลบหนี ผู้อาวุโสใหญ่ของสมาคมจึงใช้โซ่ที่ทำมาจากทองเซียนระดับเจ็ดทะลวงจุดตันเถียนของเขา
จุดตันเถียนเป็นตำแหน่งรากฐานวิถียุทธ์ และถูกเรียกว่าฐานยุทธ์เช่นกัน เมื่อฐานยุทธ์พังเสียหาย เส้นทางการฝึกยุทธ์ในอนาคตก็แทบจะไร้ความหวังแล้ว
แม้หลัวซิวจะทลายตัวต้องห้ามที่อยู่บนโซ่ทิ้งแล้ว แต่ฐานยุทธ์ที่ได้รับความเสียหายกลับไม่ได้ฟื้นฟูง่ายเช่นนั้น
ฐานยุทธ์ที่เสียหายก็เหมือนลูกโป่งรั่ว ผลการฝึกตนของเขาจะสลายหายไปพร้อมกับกาลเวลา กระทั่งกลายเป็นคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่มีแรงอะไรเลย
สำหรับจอมยุทธ์ที่พรสวรรค์ไม่เลวแล้ว สถานการณ์เช่นนี้มันทรมานยิ่งกว่าการฆ่าเขาให้ตายโดยตรงแน่นอน
“กินอันนี้ลงไป”หลัวซิวดีดนิ้วทีหนึ่ง ยาหนึ่งเม็ดจึงร่วงลงบนมือชายหนุ่ม
“อันนี้คือ?”
ชายหนุ่มยังคงระมัดระวังมาก เขากังวลว่านี่จะเป็นยาบางประเภทที่สามารถควบคุมจิตใจ ทันทีที่กินมันลงไปแล้ว ฝ่ายตรงข้ามก็จะสามารถควบคุมตัวเอง แล้วได้รับความลับและการถ่ายทอดสืบสานที่อยู่บนตัวเขา
“สำนักหวูซินตกต่ำถึงขั้นนี้แล้วหรือ? หากข้าประสงค์ร้ายต่อเจ้า ถึงแม้ในตัวหยั่งรู้ของเจ้าจะมีตัวต้องห้าม ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าข้ามันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย”
เมื่อเห็นลักษณะท่าทีที่หวาดผวาระแวดระวังของชายหนุ่ม หลัวซิวจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทอดถอนใจอีกครั้ง
“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่ได้รู้สึกสนใจการถ่ายทอดสืบสานที่อยู่บนตัวเจ้า มาตรแม้นว่าเป็นวรยุทธ์ที่ประมุขดาราหวูซินฝึกเมื่อปีนั้น ก็เป็นเพียงวรยุทธ์จักรพรรดิเทพระดับเก้าเท่านั้น ซึ่งข้าสามารถเอาวรยุทธ์ประเภทนี้ออกมาได้อย่างสบายมือเลยล่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว ชายหนุ่มจึงเบิกตากว้าง เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขารู้สึกตะลึงมาก และสิ่งที่เขาตะลึงย่อมไม่ใช่เรื่องที่คนดังกล่าวสามารถเอาวรยุทธ์ชั้นยอดออกมาได้มากมายเช่นนั้นอยู่แล้ว สิ่งที่เขาตะลึงคือเขาดังกล่าวกล้าคุยโว้มากขนาดนี้เลยหรือ?
หลัวซิวเบื่อที่จะสนใจว่าชายหนุ่มคิดอะไรในใจ ก่อนที่เขาจะถาม: “นอกจากเจ้าแล้ว สำนักหวูซินยังมีคนรุ่นหลังคนอื่น ๆ อีกหรือไม่?”
และในเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงเสียงหนึ่งสะท้อนมาจากนอกหอคอย “ไม่ทราบว่าผู้เพื่อนยุทธ์จากที่ใดกรุณาให้เกียรติมาเยือนเมืองหวูซิน ออกมาพบปะกันหน่อยได้หรือไม่?”
เกิดเรื่องราวที่ใหญ่โตขนาดนี้ในเมืองหวูซิน ฝั่งตำหนักหลักเมืองไม่มีทางไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ อยู่แล้ว เนื่องจากกองกำลังใหญ่ทั้งห้าต่างถ่วงดุลซึ่งกันและกันมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นขณะที่สมาคมเทียนสุ่ยถูกผู้อื่นโจมตี ก็ไม่มีกองกำลังอื่น ๆ มาให้การช่วยเหลือเช่นกัน
บัดนี้การเข่นฆ่าได้สิ้นสุดลงแล้ว เห็นได้ชัดเจนเลยว่าสมาคมเทียนสุ่ยเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ สามารถสังหารฉิวเทียนสุ่ยล้มล้างสมาคมเทียนสุ่ย จึงทำให้ทุกคนล้วนเข้าใจดีว่ามีผู้แข็งแกร่งที่เก่งกาจคนหนึ่งมาเยือนเมืองหวูซิน
และเป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง ในฐานะที่เป็นรองเจ้าเมืองของเมืองหวูซิน คำพูดคำจาของเปียนหยวนจี๋ก็ค่อนข้างเกรงใจเช่นกัน
“ให้เขาเข้ามา”หลัวซิวตอบกลับอย่างเรียบนิ่ง
เมื่อได้รับการอนุญาตจากหลัวซิว ลาร์ถึงจะให้เปียนหยวนจี๋ที่อยู่ด้านนอกเข้ามาพูดคุย หลังจากเข้ามาแล้ว เปียนหยวนจี๋ก็มองเห็นชายหนุ่มคนนั้นที่ใบหน้าขาวซีด ออร่าอ่อนแอ
“เจ้ามาหาข้าเพราะมีเรื่องอันใดรึ?”หลัวซิวมองเปียนหยวนจี๋ที่อยู่ข้าง ๆ รอบหนึ่งแล้วถาม
“ข้าน้อยเปียนหยวนจี๋ เป็นรองเจ้าเมืองของเมืองหวูซิน ไม่ทราบว่าผู้เพื่อนยุทธ์ชื่ออะไรหรือ?”เปียนหยวนจี๋ดึงสายตากลับมาจากชายหนุ่มคนนั้น ก่อนจะทำท่าคารวะแล้วพูดกับหลัวซิว
“ข้าชื่อหลัวซิว”
“ที่แท้ก็เป็นผู้เพื่อนยุทธ์หลัวนี่เอง ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดผู้เพื่อนยุทธ์จึงต้องลงมือล้มล้างสมาคมเทียนสุ่ยด้วยเล่า?”เปียนหยวนจี๋ถามอีกครั้ง
“เจ้ามาหาข้าเพราะจะถามคำถามพวกนี้หรือ?”หลัวซิวแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น ทันทีที่เข้ามาเปียนหยวนจี๋ก็นำความสนใจพุ่งไปบนตัวชายหนุ่มที่เขาช่วยออกมา เขาก็ทราบจุดประสงค์แท้จริงที่คนดังกล่าวมาเยือนแล้ว ซึ่งเขาก็มาเพราะชายหนุ่มคนนี้เช่นกัน
“ผู้เพื่อนยุทธ์มาเมืองหวูซินแล้วสร้างเรื่องราวที่ใหญ่โตเช่นนี้ ไม่ควรให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลกับแซ่เปียนหน่อยเลยหรือ?”
เปียนหยวนจี๋ขมวดคิ้วลง เขาต้องสัมผัสลักษณะท่าทีเย็นชาของฝ่ายตรงข้ามที่มีต่อตนเองได้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว
“ถึงแม้ผู้เพื่อนยุทธ์จะล้มล้างสมาคมเทียนสุ่ยไปแล้ว เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นเลยว่าผู้เพื่อนยุทธ์มีศักยภาพที่แข็งแกร่งมาก แต่เฮียข้าเป็นนายแห่งเมืองหวูซินแห่งนี้ ช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้ท่านปิดขังมาโดยตลอด ซึ่งจะบรรลุสู่แดนเทพมารระดับแปดแล้ว!”
เปียนหยวนจี๋ใช้มือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลัง พลางพูดอย่างหยิ่งผยองเล็กน้อย ราวกับผู้ที่กำลังจะบรรลุสู่เทพมารระดับแปดคือเขายังไงอย่างนั้น
ก็ไม่แปลกหรอกที่เปียนหยวนจี๋จะมั่นใจในตัวเองเช่นนี้ ตั้งแต่พลังจิตลมปราณเซียนของพสุดาราหวูซินถูกดูดไป สภาพแวดล้อมการฝึกฝนของที่นี่ก็แย่กว่าอดีตมาก ๆ เทพมารระดับเจ็ดที่อยู่ในนี้ถือเป็นยอดฝีชั้นยอดแล้ว ทันทีที่เจ้าเมืองหวูซินบรรลุเป็นเทพมารระดับแปด เช่นนั้นเขาต้องเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพสุธาห้วงดาราแห่งนี้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามความมั่นใจของการเป็นเทพมารระดับแปดนั้น ไม่มีค่าอะไรในสายตาหลัวซิวเลย และไม่มีคุณสมบัติที่จะให้เขานำมาใส่ใจเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าหลัวซิวไม่พูดอะไร เปียนหยวนจี๋คิดว่าเขาถูกตัวเองข่มไว้แล้ว จึงใช้นิ้วชี้ไปทางชายหนุ่มที่หลัวซิวช่วยชีวิตออกมาแล้วพูด: “ขอแค่ผู้เพื่อนยุทธ์ส่งคนคนนั้นมาให้แซ่เปียว ข้าเป็นตัวแทนตำหนักหลักเมือง จักไม่สืบสวนเรื่องที่ใต้เท้าล้มล้างสมาคมเทียนสุ่ย”
“สืบสวน?”
หลัวซิวหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น “อย่างเจ้าเนี่ยนะก็มีสิทธิ์มาสืบสวนข้า? อย่าว่าแต่เฮียเจ้าที่ยังไม่บรรลุสู่เทพมารระดับแปดเลย ต่อให้บรรลุแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าข้าก็ไม่มีสิทธิ์ใช้อำนาจบาตรใหญ่!”
“ไสหัวไป!”
หลัวซิวสะบัดแขนเสื้อคลุมครั้งหนึ่ง ชี่จิ้งที่มโหฬารพันลึกจึงม้วนซัดออกไป กดอัดปริภูมิจนบิดเบี้ยว แล้วเกิดเป็นเสียงระเบิดดั่งตู้มที่แข็งกร้าวอย่างยิ่ง
“เจ้า……”
สีหน้าของเปียนหยวนจี๋เปลี่ยนไป เขานึกไม่ถึงเลยว่าคนดังกล่าวจะกล้าหักหน้าตนเอง เขาโคจรผลการฝึกตนเพื่อจะต้านทานชี่จิ้งที่ปะทะเข้ามา แต่กลับรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองถูกอสูรโหดโบราณตัวหนึ่งพุ่งชนยังไงอย่างนั้น ร่างกายกระเด็นออกไปภายในพริบตา พุ่งชนเข้ากับกำแพงของหอคอยเจ็ดชั้น ก่อนจะร่วงตกลงมาบนถนนด้านนอก
สำหรับหลัวซิวในปัจจุบันแล้ว เมื่อร่างเนื้อของเขาใช้ควบคู่กับวิถีไร้ลักษณ์ สามารถพูดได้เลยว่าพลังโจมตีเป็นหนึ่งไม่เป็นสอง ซึ่งนี่ถึงจะเป็นฝึกคู่ร่างเวทย์ที่เขาใฝ่ฝันอย่างแท้จริงต่างหาก ผู้แข็งแกร่งที่มีผลการฝึกตนเทพมารระดับเจ็ดช่วงปลายก็ต้านทานอนุภาพแห่งชี่จิ้งที่เกิดจากการโบกมือของเขาไม่ได้