มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2688 ก้าวข้ามสองแดนใหญ่
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2688 ก้าวข้ามสองแดนใหญ่
“ตึ้บบ!”
กำปั้นของหลัวซิวไม่มีท่าทีที่จะหยุดลงเลยแม้แต่น้อย ร่างกายของเปียนหยวนจี๋ก็ระเบิดแตกภายในพริบตา กลายเป็นหมอกเลือดกลุ่มหนึ่ง ตายอย่างสิ้นซาก
ส่วนคำพูดข่มขู่ของเปียนหยวนจี๋นั้น หลัวซิวไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลยด้วยซ้ำ
อันที่จริงจะว่าไประหว่างเขาและเปียนหยวนจี๋ไม่ได้มีความเกลียดแค้นอะไรต่อกัน หากถูกลิขิตไว้แล้วว่าทั้งสองต้องมีฝ่ายหนึ่งต้องตาย เช่นนั้นก็พูดได้แค่ว่าเปียนหยวนจี๋มาขวางทางเดินเขาเอง
เดิมทีที่เขาเดินทางมาเส้นทางดาราหวูซินนั้น แค่อยากรำลึกถึงสหายเก่า แล้วบังเอิญทราบข่าวคราวเบาะแสของทายาทสหายเก่า หากเขาไม่ทราบเรื่องก็แล้วไป ในเมื่อเขาทราบ แล้วจักนิ่งดูดายได้อย่างไรเล่า?
ประมุขดาราหวูซินเป็นหนึ่งในมิตรสหายอันน้อยนิดของเขาเมื่อชาติปางก่อน บางทีเขาอาจจะไม่สามารถลงมือช่วยทายาทเขาสร้างสำนักหวูซินขึ้นมาใหม่ แต่การที่จะทำให้ทายาทของเขาควบคุมพสุดาราหวูซินผืนนี้นั้น เขาก็สามารถทำได้อยู่
พสุดาราหวูซินในปัจจุบันสูญเสียไปลมปราณเซียนแล้ว จึงไม่มีทางมีผู้แข็งแกร่งอะไรมุ่งหวังต่อพสุดาราหวูซิน เขาแค่ต้องกวาดล้างกองกำลังที่เป็นกบฏบนผืนแผ่นดินนี้ แล้วทิ้งอุบายไพ่เด็ดให้เขาเล็กน้อย ก็สามารถทำให้ทายาทของหวูซินยืนหยัดปักหลักปักฐานอยู่ที่นี่ได้แล้ว
ณ ตำแหน่งที่อยู่ต่ำกว่าพื้นดินตำหนักหลักเมืองหลายพันเมตร ที่นี่มีห้องลับที่แข็งแรงสร้างอยู่หนึ่งห้อง มีชายที่หุ่นร่างกำยำคนหนึ่งกำลังนั่งท่าขัดสมาธิอยู่ภายในห้องลับ ดูดและพ่นสารพลังจิตออกมาอย่างต่อเนื่อง ข้างกายมีโอสถแก่นแท้และกรองแก้วมรกตดั้งเดิมกองอยู่เป็นจำนวนมาก
ซึ่งคนดังกล่าวก็คือเจ้าเมืองเมืองหวูซินนั่นเอง สามารถพูดได้เลยว่าเขาเป็นคนที่ค่อนข้างฉลาดคนหนึ่ง จากไม่มีอะไรเลยจนค่อย ๆ เรืองรองขึ้นมาทีละก้าว กลายเป็นคนใหญ่คนโตที่เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองผู้ใดในพสุดาราหวูซิน
พสุดาราหวูซินไม่มีเทพมารระดับแปด ยิ่งกว่านั้นคือน้อยมากที่ผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดยินดีที่จะหยุดฝึกตนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ส่วนมากล้วนเป็นผู้ที่หยุดอยู่ในแดนเทพมารระดับเจ็ด ไม่มีความหวังที่จะบรรลุสู่เทพมารระดับแปด
ทว่าเปียนหยวนสงกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาทราบอยู่ว่าเมื่ออาศัยพรสวรรค์และศักยภาพของตัวเอง หากมุ่งหน้าไปยังสถานที่ฝึกตนที่ดีเลิศกว่านี้ อนาคตต้องสามารถบรรลุสู่แดนเทพมารระดับแปดได้อย่างแน่นอน แต่เมื่ออยู่สถานที่อื่น กลับไม่มีทางได้มีตำแหน่งที่ดีเลิศอย่างพสุดาราหวูซิน เนื่องจากยิ่งเป็นสถานที่ที่สภาพแวดล้อมดี ผู้แข็งแกร่งก็ยิ่งมีมาก
ฉะนั้นเปียนหยวนสงจึงเลือกที่จะอยู่ในพสุดาราหวูซิน เมื่ออยู่ที่นี่เขาจะเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งที่สมคำเลื่องลือ ไม่มีผู้ใดสามารถขัดต่อความต้องการของตนเอง มากสุดก็แค่ต้องใช้เวลานิดหน่อย ตนก็สามารถฝึกตนถึงแดนเทพมารระดับแปดได้เช่นกัน
ระยะเวลาหลักร้อยปีได้ผ่านพ้นไปแล้ว เปียนหยวนสงรู้สึกว่าอีกแค่ก้าวเดียวตนก็จะประสบความสำเร็จแล้ว แต่สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงคือขณะที่อยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของการปิดขัง จะมีเรื่องราวที่น่าทึ่งเกิดขึ้นกับตำหนักหลักเมือง มีคนบุกรุกเข้ามาแล้วทำตัวเอิกเกริกยิ่งใหญ่บนอาณาบริเวณของเขา!
นี่จึงทำให้เปียนหยวนสงรู้สึกโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง เขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไร้เทียมทานอยู่บนพสุดาราหวูซินมาหลายแสนปีแล้ว ยังไม่เคยมีผู้ใดบังอาจท้าทายอำนาจของเขามาก่อน
อย่างไรก็ตาม เปียนหยวนสงกลับไม่ได้รีบออกไปเป็นเวลาแรก เนื่องจากเขายิ่งอยู่ยิ่งเข้าใกล้ขอบประตูแห่งการบรรลุแล้ว ขอแค่ผลการฝึกตนของเขาสามารถบรรลุเป็นเทพมารระดับแปด ไม่ว่าผู้ที่บุกรุกเข้ามาในตำหนักหลักเมืองจะเป็นคนประเภทใด ก็มีเพียงต้องตายสถานเดียวเท่านั้น
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปด พสุธาห้วงดาราแห่งหนึ่งที่แม้แต่เทพมารระดับเจ็ดยังไม่อยากอยู่ แล้วจะมีผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปดมาที่นี่ อีกทั้งยังตีเข้ามาในตำหนักหลักเมืองได้อย่างไรเล่า?
แต่ทว่าทันใดนั้นเอง ก็มีออร่าความโกรธเกรี้ยวที่ทรงพลังอย่างยิ่งระเบิดออกมาจากตัวเปียนหยวนสง
“หยวนจี๋!”
เขาตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยวคำหนึ่ง ไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าตนอยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่จะบรรลุแล้ว พลังออร่าที่แข็งแกร่งทลายชั้นดินหินที่หนาแน่น เขาพุ่งขึ้นมาจากห้องลับที่อยู่ลึกลงไปหลายพันเมตรแล้วทะยานขึ้นฟ้าโดยตรง
ความโกรธเกรี้ยวที่ไร้ขอบเขตอัดแน่นอยู่ในจิตใจเขา พลังออร่าอันน่ากลัวและผลการฝึกตนอันแข็งแกร่งที่ไม่อาจควบคุมได้แผ่กระจายออกมา ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเมืองหวูซินล้วนขนหัวลุกซู่!
ณ มุมซ่อนเร้นมุมหนึ่งที่อยู่ห่างไม่ไกลจากตำหนักหลักเมือง สีหน้าของเจ้าหอเฉว่ซ่าที่ปกคลุมอยู่ในชุดคลุมยาวสีเลือดเปลี่ยนแปลงไปอย่างตะลึง “เปียนหยวนสงบรรลุแล้วหรือ?”
พลังออร่านี้แข็งแกร่งกว่าเปียนหยวนสงในอดีตมากอย่างแน่นอน ซึ่งอยู่สูงกว่าเทพมารระดับเจ็ดขั้นสูงแล้ว
“ไม่ใช่สิ เขายังไม่บรรลุ ทว่าก็ขาดอีกเพียงเสี้ยวเดียวแล้ว!”
เจ้าหอเฉว่ซ่าแหงนหน้าเบิ่งมองออกไป ศักยภาพของเปียนหยวนสงแข็งแกร่งมากกว่าเดิม ซึ่งนี่มันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาเลย
แต่ทว่าจากสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน ก็มีเพียงเปียนหยวนสงเท่านั้นที่สามารถโค่นล้มเจ้าหลัวซิวนั่นได้
สิงห์เดือดถูกสังหาร เสือเดือดบาดเจ็บสาหัส เจ้าจวนกู่หยุนและเปียนหยวนจี๋ก็ต่างตายไปแล้ว เขาจู่โจมครั้งหนึ่งแต่ไม่สำเร็จ จึงเลือกที่จะหลบหนีออกมาเป็นเวลาแรก หากเปียนหยวนสงยังไม่ปรากฏตัวอีกละก็ เขาก็ทำได้เพียงออกจากเมืองหวูซินแล้วล่ะ
“โครมคราม……”
ทันใดนั้นเอง เมฆครึ้มที่ไร้ขอบเขตก็ปกคลุมท้องฟ้าทั้งเมืองหวูซิน สายฟ้าทั้งหลายผ่าสลับไปมาอยู่ตรงขอบฟ้า แสงอัสนีดั่งมังกร ระยิบระยับอย่างยิ่ง แวววาวจับตาถึงขีดสุด
“ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธ?”
ทุกคนล้วนแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความสงสัย แต่ก็ค้นพบอย่างรวดเร็วว่าออร่าทัณฑ์สายฟ้าพิโรธได้ผนึกไปยังเปียนหยวนสง
ภายใต้การกระตุ้นจากไฟโกรธที่ล้นหลาม เปียนหยวนสงที่ยังห่างจากเทพมารระดับแปดอีกเสี้ยวหนึ่งในตอนแรก ถึงขั้นทลายประตูแห่งกฎเกณฑ์ได้ในเวลานี้
“แคว็ก!”
หลัวซิวใช้มือทั้งสองข้างหักคอเสือเดือด ก่อนจะโยนศีรษะที่ท่วมเต็มไปด้วยเลือดออกไป
แววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารที่ไร้ขอบเขตของเปียนหยวนสงร่วงลงบนตัวเขา “มึงเป็นคนฆ่าน้องชายกูหรือ?”
“ใช่แล้วอย่างไร?”หลัวซิวตอบกลับอย่างเรียบนิ่ง
“ดีมาก! กูจะเฉือนเลือดเนื้อมึงลงมาทีละชิ้น จากนั้นค่อยบีบกระดูกมึงให้แตกสลายเป็นฝุ่นผงทีละชิ้น!”
น้ำเสียงของเปียนหยวนสงเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารอันเยือกเย็น ถึงแม้ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธที่ไร้ขอบเขตจะเริ่มผนึกรวมกันแล้วก็ตาม แต่เขากลับไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากเขามั่นใจในศักยภาพของตัวเองอย่างเต็มเปี่ยมว่าต้องสามารถข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้าของเทพมารระดับแปดได้แน่นอน
“โครมคราม……”
ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธผ่าลงมาแล้ว เปียนหยวนสงยกมือขึ้นมาขยำทีหนึ่ง ในมือก็มีหอกยุทธ์สีแดงเลือดปรากฏหนึ่งเล่ม หอกยุทธ์ยาวเกือบสองเมตร เหมือนดั่งมังกรที่เคลื่อนไหวไปมา ทำการโจมตีแสงอัสนีทั้งหลายที่ผ่าลงมาจนแตกสลาย
แม้แต่ตัวหลัวซิวเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเปียนหยวนสงนี่คือยอดฝีมือคนหนึ่ง จากโลกทัศน์ของเขา ต้องสามารถดูออกอยู่แล้วว่าระดับขั้นของวรยุทธ์ที่เปียนหยวนสงนี่ฝึกไม่สูงมากนัก ยิ่งกว่านั้นคือเทียบเคียงกับเคล็ดเซียนระดับแปดไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
โดยส่วนใหญ่แล้ว เมื่อไม่มีเคล็ดเซียนระดับแปด ก็บรรลุถึงแดนเทพมารระดับแปดยากมาก แต่เปียนหยวนสงกลับสามารถพึ่งพาตนเองสืบเสาะค้นหาในหลาย ๆ ด้านจนทำถึงขั้นนี้ได้ ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วตัวธรรมของเขาก็แย่กว่ามาก ๆ เขายอมที่จะอยู่ในพสุดาราหวูซินแล้วเป็นผู้มีอิทธิพลในห้วงดาราระดับต่ำนี้ แต่ก็ไม่กล้าไปแสวงหาแดนที่สูงกว่าในที่ที่มีผู้แข็งแกร่งมากล้น การทำเช่นนี้มีแต่จะทำให้พรสวรรค์ของเขาสูญเปล่า
หากบอกว่าเดิมทีเขามีปัญญาในการฝึกตนถึงเทพมารระดับเก้า เช่นนั้นการที่เขาเลือกที่จะเป็นผู้ไร้เทียมทานในพสุดาราหวูซิน ได้รับการผูกมัดจากสภาพแวดล้อมของที่นี่ อย่างมากสุดเขาก็แค่สามารถหยุดอยู่ได้แค่เทพมารระดับแปดแล้วล่ะ
เปียนหยวนสงไม่ทราบแต่อย่างใดว่าหลัวซิวกำลังประเมินการฝึกตนของเขาอยู่ เดิมทีเขานึกว่าขณะที่ตนข้ามผ่านทัณฑ์ ผู้ที่สังหารน้องชายตนน่าจะหลบหนี แต่สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงคือเจ้าหมอนั่นถึงขั้นยืนมองตนเองข้ามผ่านทัณฑ์อยู่ในตำแหน่งที่ห่างออกไปไม่ไกลอย่างมั่นใจ ไม่มีท่าทีที่จะหลบหนีเลยแม้แต่น้อย
ทัณฑ์สายฟ้าของเทพมารระดับแปดนั้นน่ากลัวอย่างมาก สายฟ้าทั้งหลายตัดสลับกันไปมา ทำให้ทั้งตำหนักหลักเมืองกลายเป็นมหาสมุทรอัสนี
แม้นเปียนหยวนสงจักมั่นใจว่าตนสามารถข้ามผ่านทัณฑ์ได้ แต่มันก็ไม่ได้ผ่อนคลายมากขนาดนั้น หลัวซิวยืนอยู่ในขอบเขตที่ทัณฑ์สายฟ้ากระทบถึง แม้นจะไม่อยู่กลางทัณฑ์สายฟ้า ทว่าสีหน้าอารมณ์ของเขากลับดูเรียบนิ่งมาก เมื่อแสงอัสนีทั้งหลายกระเด็นใส่ร่างเขา ก็จะถูกร่างกายเขาดูดซับกลั่นแปรภายในพริบตา
การค้นพบนี้ทำให้เปียนหยวนสงรู้สึกตะลึง หากตนข้ามผ่านทัณฑ์สำเร็จแล้วอยู่ในสภาวะที่ค่อนข้างอ่อนแอ บางทีอาจจะไม่สามารถสังหารคนดังกล่าวได้จริง ๆ
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ เปียนหยวนสงจึงลงมือโจมตีอย่างไม่ลังเลใจ ขณะที่อยู่ในสภาวะข้ามผ่านทัณฑ์ เขาจะทำการล้างแค้นผู้ที่สังหารน้องชายตนก่อนค่อยว่ากันอีกที
ทันทีที่เปียนหยวนสงลงมือ แสงอัสนีอันนับไม่ถ้วนที่ผ่ามาทางเขาก็ม้วนซัดไปทางหลัวซิวพร้อมกัน
อำนาจสวรรค์มโหฬารพันลึก อสูรจิตทั้งปวงที่อยู่ภายในขอบเขตที่ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธผนึกไว้ ล้วนจะถูกทำลายล้างและโจมตีโดยไม่เลือกหน้า
หลัวซิวข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้ามาไม่รู้ตั้งกี่หนแล้ว สามารถพูดได้เลยว่าเขาเข้าใจเรื่องทัณฑ์สายฟ้าไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
อย่างไรก็ตามในเมื่อหลัวซิวกล้ายืนอยู่ที่นี่ เขาก็ไม่เกรงกลัวทัณฑ์สายฟ้าเลยด้วยซ้ำ อย่างน้อยเขาก็ไม่กลัวทัณฑ์สายฟ้าระดับนี้ เขาอนุมานวิชาหนังสือยุทธภัณฑ์ แล้วอ้างอิงจากวิถีไร้ลักษณ์ที่ตนฝึก วิวัฒนาการวิชากลั่นร่างที่เหมาะสมกับตัวเองออกมา ใช้วิชากลั่นร่างกลืนเศษณ์ทำให้ร่างเนื้อของตนกลายเป็นของขลังศัสตราวุธชีวีแล้วใช้ในการต่อสู้ เพื่อบรรลุสภาวะฝึกคู่ร่างเวทย์ที่แท้จริง
ร่างเนื้อดั่งอาวุธสงคราม นอกจากดูดกลืนพละกำลังในเหล็กเศษณ์ทองเซียนมาชุบยกระดับแล้ว การฝึกฝนโดยกำลังภายนอกก็มีประสิทธิผลที่ดีเลิศมากเช่นกัน ซึ่งเป็นเฉกเช่นเดียวกันกับขณะนักหลอมอาวุธกลั่นของขลังอาวุธเทพ เหล็กเศษณ์ทองเซียนต่าง ๆ ต้องผ่านการตีเข้ารูปและเผาชุบหลายครั้ง
สำหรับหลัวซิวแล้ว ทัณฑ์สายฟ้าก็คือกำลังภายนอกประเภทหนึ่งที่สามารถใช้มาชุบร่างเนื้อ เขาไม่เพียงไม่หลบหลีก ในทางตรงกันข้ามกลับเดินเข้าไปหามันเอง
“ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ……”
แสงอัสนีทั้งหลายผ่าลงบนตัวหลัวซิว ทว่าเสี้ยววินาทีที่แสนอัสนีเหล่านี้สัมผัสกับร่างกายเขา ก็จะหายวับไปภายในพริบตา มีเสียงที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่นดังก้องอยู่ในร่างกายเขาอย่างต่อเนื่อง
สีหน้าของเปียนหยวนสงเปลี่ยนไปอย่างมาก เขานึกไม่ถึงเลยว่าคนดังกล่าวจะเหิมเกริมเช่นนี้ ถึงขั้นกล้ากลั่นแปรพลังทัณฑ์สายฟ้ามาชุบร่างเนื้อ หรือว่าสิ่งที่เขาฝึกคือวิชากลั่นร่างชั้นสุดยอด? เขาก็เคยได้ยินมาก่อนเช่นกันว่ามีเพียงอาศัยวิชากลั่นร่างชั้นสุดยอด ถึงจะสามารถอาศัยพลังทัณฑ์สายฟ้ามาชุบให้ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของตัวเองแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ในขณะที่เปียนหยวนสงกำลังรู้สึกตะลึงอยู่นั้น หลัวซิวก็ลงมือโจมตีแล้ว เปียนหยวนสงยังข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้าไม่สำเร็จ แต่ผลการฝึกตนของเขากลับทลายประตูแห่งกฎเกณฑ์ของเทพมารระดับแปดแล้ว ถึงแม้จะเพิ่งบรรลุสู่เทพมารระดับแปด มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เทพมารระดับเจ็ดสามารถเทียบเคียงได้ เพราะฉะนั้นหลัวซิวจึงไม่มีการออมมือเลยแม้แต่น้อย ปลดปล่อยหมัดจ้านเทียนออกไปอย่างสุดกำลังสามารถ
จิตสังหารและปณิธานรบอันไร้ขอบเขตที่มากมายมหาศาลพรั่งพรูออกไป อนัตตาบริเวณรอบ ๆ ถูกฉีกกระชาก แสงอัสนีสาดกระเด็น
“ช่างเป็นพลังอมตะที่แข็งแกร่งยิ่งนัก!”
สีหน้าของเปียนหยวนสงเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย หอกยุทธ์สีแดงเลือดในมือทิ่มแทงเข้าไปจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น แสงหอกเฉียบคมมากจนไม่อาจต้านทานได้ ทลายห้วงหมัดของหลัวซิว อีกทั้งแสงหอกยังรวมกันเป็นกระบวนท่าสังหาร ม้วนซัดไปทางหลัวซิวพร้อมกับเสียงคำราม
“ต่อให้มึงจะมีพลังอมตะที่ทรงพลังมาก แต่ผลการฝึกตนระหว่างมึงกับกูกลับมีช่องกว้างที่ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้กั้นอยู่!”
เปียนหยวนสงแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น อาศัยข้อได้เปรียบทางผลการฝึกตน เขามั่นใจมากว่าผู้ที่อยู่ต่ำกว่าเทพมารระดับแปด ไม่มีผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้ของตน
หลัวซิวก้าวถอยหลังกลับไปหลายก้าว เทพมารระดับหกขั้นปฐมภูมิและเทพมารระดับแปดขั้นปฐมภูมิ ห่างกันสองแดนใหญ่ถ้วน ถึงแม้เขาจะแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่ก็รับมือได้ยากลำบากเล็กน้อยอยู่ดี
หากเปลี่ยนเป็นเทพมารระดับหกคนอื่น ๆ เกรงว่าเมื่ออยู่ภายใต้พลานุภาพของเทพมารระดับแปด คงไม่มีแรงที่จะต่อต้านได้เลยแม้แต่น้อย ก็ถูกสังหารภายในพริบตาแล้ว
“ตู้มม!”
รัศมีของยันต์ค่ายทั้ง 99 ยันต์แย้มบานออกมาจากร่างกาย หลัวซิวยังไม่ใช้กระบี่ร่องฟ้าอีกเช่นเคย อดีตครั้นเมื่อผลการฝึกตนของเขายังไม่สูง เขายังปลดปล่อยพลานุภาพของกระบี่ร่องฟ้าออกไปได้ไม่มาก แต่ปัจจุบันเขาสามารถควบคุมพลังเกณฑ์ได้แล้ว จากพลานุภาพอันน่าสยดสยองของภัณฑ์มกุฎเทพระดับเก้าอย่างกระบี่ร่องฟ้า คาดว่าทันทีที่เรียกออกมาก็สามารถสังหารเปียนหยวนสงนี่ได้แล้ว
แต่หลัวซิวไม่มีความคิดที่จะสังหารฝ่ายตรงข้ามอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เขาอยากพิสูจน์มาก ๆ ว่าตนจะสามารถสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่อย่างการก้าวข้ามสองแดนใหญ่ปะทะกับเทพมารระดับแปดคนหนึ่งได้หรือไม่?
มาตรฐานในการวัดอัจฉริยะ อัจฉริยะระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เป็นขีดสูงสุด ซึ่งสามารถสังหารศัตรูที่อยู่สูงกว่าตนหนึ่งแดนใหญ่
ตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน ยังไม่เคยมีผู้ใดสามารถก้าวข้ามสองแดนใหญ่ สังหารคู่ต่อสู้โดยไม่อาศัยของขลังศัสตราวุธที่แข็งแกร่งหรอกกระมัง?