มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2690 ฝูงปีศาจแมงมุมลายเขียว
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2690 ฝูงปีศาจแมงมุมลายเขียว
ค่ายกลผนึกฟ้าดิน นี่ต้องเป็นอุบายที่มาจากตัวหลัวซิวอยู่แล้ว
ค่ายยากเย็นเทพระดับเจ็ดยังไม่เพียงพอที่จะสามารถกักขังยอดฝีมืออย่างเฉว่ซ่าได้ ทว่าการที่เฉว่ซ่าจะอยากพุ่งออกไปนั้น ก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน
ยังไม่รอให้เฉว่ซ่าได้ลงมือทำลายค่าย เงาร่างหลัวซิวก็กระพริบแล้วปรากฏตรงหน้าเขา
“เกณฑ์ความเร็ว?”
รูม่านตาของเฉว่ซ่าหดลงกะทันหัน เสี้ยววินาทีที่หลัวซิวนี่ปรากฏตัวกะทันหัน เขาก็สัมผัสเกณฑ์พลังเต๋าได้จากตัวคนดังกล่าวแล้ว
“ถูกต้อง ไม่ได้มีแค่มึงเท่านั้นที่เข้าใจเกณฑ์ความเร็ว”
หลัวซิวยิ้มอ่อน “อีกทั้งเกณฑ์ความเร็วไม่ใช่สิ่งที่เร็วที่สุด มีเพียงการหลอมรวมปริภูมิและความเร็วเข้าด้วยกัน ถึงจะเป็นความเร็วสูงสุดในโลกหล้านี้”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หลัวซิวก็โบกมือลงกลางอากาศที่ว่างเปล่ารอบหนึ่ง ออร่าพลังเต๋าของเกณฑ์ปริภูมิจึงไหลเวียนออกมา และมีความล้ำลึกที่ไร้ขอบเขตแฝงซ่อนอยู่ด้วย
เฉว่ซ่าไม่ได้พูดอะไร สีหน้าอารมณ์ของเขาดูตึงเครียดมากในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ชายที่อยู่ตรงหน้านี้สมกับเป็นผู้แข็งแกร่งที่สามารถสังหารเปียนหยวนสงได้จริง ๆ ความแข็งแกร่งของคนคนนี้อยู่เหนือการจินตนาการของเขาแล้ว
“กูจักไว้ชีวิตมึงก็ได้ แต่กูจะให้มึงสาบานด้วยตัวธรรม”หลัวซิวมองเฉว่ซ่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพลางยิ้มพลางพูด
ยอดฝีมือชั้นยอดของเมืองหวูซินแทบจะถูกเขาฆ่าจนไม่เหลือสักคนแล้ว เหลือเพียงเฉว่ซ่าคนเดียวเท่านั้น สาเหตุที่หลัวซิวไม่ฆ่าเขานั้น หลัวซิวต้องมีแผนการของตัวเองอยู่แล้ว
“สาบานด้วยตัวธรรม?”เห็นได้ชัดเจนเลยว่าสีหน้าของเฉว่ซ่าดูลังเลใจอยู่เล็กน้อย อย่างไรเสียทันทีที่สาบานด้วยตัวธรรมแล้ว ก็จักฝ่าฝืนไม่ได้ มิเช่นนั้นจุดจบต้องน่าเวทนากว่าการถูกผู้อื่นสังหารแน่นอน
อย่างไรก็ตามเฉว่ซ่าก็ลังเลใจเพียงชั่วขณะเท่านั้น ก่อนที่เขาจะตอบตกลง ยังไงซะหลังสาบานด้วยตัวธรรมแล้วยังสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้อยู่ มิเช่นนั้นเขาเชื่อว่าคนดังกล่าวต้องลงมือฆ่าตัวเองอย่างไม่ลังเลใจแน่นอน
มีเรื่องใหญ่โตเกิดขึ้นในเมืองหวูซินต่อเนื่องมากขนาดนี้ เจ้าจวนกู่หยุน สองบุรุษเสือสิงห์ รวมไปถึงเจ้าเมืองทั้งสองต่างถูกฆ่าไปหมดแล้ว นี่จึงทำให้ทั้งเมืองหวูซินอลหม่านไปหมด
หลัวซิวใช้ค่ายกลทำการผนึกทั้งเมืองหวูซินเอาไว้ เขาส่งลาร์และเฉว่ซ่าออกไป จึงสยบของวุ่นวายทั้งหมดในเมืองเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย ทำให้ระบบระเบียบของเมืองหวูซินฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
ณ ห้องโถงใหญ่ตำหนักหลักเมืองที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ หลัวซิวนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนชายหนุ่มที่ถูกเขาช่วยออกมาจากสมาคมเทียนสุ่ยกลับยืนอยู่ด้านหน้าเขาด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน
“ข้า……ข้าชื่อฉู่จวิ้นไฉ”ชายหนุ่มไม่รู้ว่าควรเอ่ยปากพูดอย่างไรดี แต่ทว่านี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เขาพูดชื่อตัวเองต่อหน้าหลัวซิว
“ข้ารู้ว่าเจ้ามีคำถามมากมายอยากถามข้า เจ้ารู้สึกสงสัยมาก ๆ ว่าเหตุใดข้าจึงรู้จักเวทย์นำมังกรไร้เจตน์ด้วย?”
หลัวซิวยิ้มอ่อน “ข้ามีบุพเพสันนิวาสต่อบรรพอาจารย์สำนักหวูซินของพวกเจ้าเล็กน้อย เพราะฉะนั้นหลังจากข้าได้ยินข่าวคราวของเจ้าแล้ว จึงไปช่วยเจ้าที่สมาคมเทียนสุ่ย”
“ท่านผู้อาวุโสพูดจริงหรือขอรับ?”ฉู่จวิ้นไฉรู้สึกตะลึงเล็กน้อย เขาสามารถดูออกอยู่ว่าอายุของหลัวซิวนี่น่าจะอยู่รุ่นราวคราวเดียวกันกับตน แล้วเขาจะมีทางมีบุพเพสันนิวาสต่อบรรพอาจารย์ของตนเองได้อย่างไร?
“ข้ามีความจำเป็นต้องหลอกเจ้าด้วยหรือ? แม้แต่เวทย์นำมังกรไร้เจตน์ข้ายังใช้เป็นเลย เจ้ารู้สึกว่าข้าจะมุ่งหวังอะไรบนตัวเจ้าหรือ?”
เมื่อได้ยินคำตอบดังกล่าว สีหน้าอารมณ์ของฉู่จวิ้นไฉก็ดูเก้อเขินเล็กน้อย เนื่องจากหลัวซิวพูดถูก บนตัวเขานอกจากมีการถ่ายทอดสืบสานอย่างเวทย์นำมังกรไร้เจตน์แล้ว ก็ไม่มีของมีค่าอะไรอีกเลยจริง ๆ
แต่ทว่าแค่เวทย์นำมังกรไร้เจตน์ ก็ดึงดูดปัญหาที่นับไม่ถ้วนมาให้เขาแล้ว อย่างไรเสียเขาก็เป็นเพียงเทพมารระดับห้าช่วงปลายเล็ก ๆ คนหนึ่ง การที่มีวรยุทธ์จักรพรรดิเทพระดับเก้าติดตัวนั้น มันเป็นเรื่องโชคร้ายมากกว่าความโชคดี
“ผู้น้อยไม่ควรสงสัยในตัวท่านผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสมีบุพเพสันนิวาสต่อบรรพอาจารย์ท่านใดในสำนักหวูซินของเราหรือขอรับ?”
ฉู่จวิ้นไฉก้มคำนับอย่างเคารพนบนอบ ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะดูเป็นรุ่นราวคราวเดียวกันกับตัวเองก็ตาม ทว่าในโลกแห่งการฝึกยุทธ์ ผู้แข็งแกร่งเป็นเจ้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกคำว่าท่านผู้อาวุโสอย่างเคารพนอบน้อม
“เรื่องบางเรื่องเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอก เจ้ารู้แค่ว่าข้าจักไม่ประสงค์ร้ายต่อเจ้าก็พอแล้ว”
หลัวซิวไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก ตั้งแต่ที่มาถึงโลกร้าง เขาก็สามารถสัมผัสได้อยู่ว่าดูเหมือนเรื่องราวต่าง ๆ ของไท่ซ่างฉิงเมื่อภพชาติก่อนของเขาจะกลายเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างหนึ่งไปแล้ว ในจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ มีน้อยคนมาก ๆ แล้วที่ยังจำได้ว่าเคยมีคนอย่างเขาคงอยู่ในโลก
เขารู้สึกว่าทั้งหมดนี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาทลายกงล้อวัฏจักรธรรมเมื่อปีนั้นแน่นอน ด้วยเหตุนี้เขาจึงบอกเล่าความเป็นมาของตนให้ผู้อื่นง่าย ๆ ไม่ได้ มิเช่นนั้นก็มีโอกาสนำพาหายนะมาสู่ตนได้สูงมาก
“ข้าช่วยเจ้ากวาดล้างหนทางบนเมืองหวูซินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ข้าจักใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง เพื่อชี้แนะวิธีการฝึกเวทย์นำมังกรไร้เจตน์ให้แก่เจ้า อนาคตเจ้าจะมีผลสำเร็จและโชคอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับศักยภาพของตัวเจ้าเองแล้วล่ะ”
หลัวซิวเข้าใจดีมาก ๆ ว่าผลการฝึกตนของฉู่จวิ้นไฉต่ำเกินไป ทันทีที่เขาจากไปละก็ ถึงแม้จะมีเฉว่ซ่าที่สาบานด้วยตัวธรรมคอยปกครองอยู่ข้างกายเขา ก็ยืนหยัดอยู่ในเมืองหวูซินอย่างมั่นคงได้ยากมาก
การยกระดับผลการฝึกตนไม่มีทางง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปาก มิเช่นนั้นมีแต่จะทำให้รากฐานของตนพังทลาย แต่เขาชี้แนะการฝึกตนให้ฉู่จวิ้นไฉด้วยแดนยุทธ์ของตัวเขาเอง คนทั่วไปไม่มีทางได้รับสวัสดิการเช่นนี้หรอกนะ เพราะนี่มันเทียบเท่าผู้แข็งแกร่งแดนผู้สูงส่งคนหนึ่งชี้แนะเขาเชียวนะ ซึ่งนี่เป็นสวัสดิการที่แม้แต่ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดยังไม่ได้ดื่มด่ำเลย!
ตำหนักหลักเมืองถูกสร้างขึ้นมาใหม่ หลัวซิวนำแหวนเก็บของของเจ้าจวนกู่หยุน สองบุรุษเสือสิงห์รวมไปถึงเปียนหยวนสงและเปียนหยวนจี๋ทิ้งไว้ให้ฉู่จวิ้นไฉ เมื่อมีทรัพยากรการฝึกตนเหล่านี้แล้ว อย่างน้อยก็เพียงพอที่จะสามารถทำให้เขาฝึกตนถึงแดนเทพมารระดับแปดได้โดยที่ไม่ต้องเครียดเรื่องทรัพยากร
ค่ายกลต้องห้ามของตำหนักหลักเมืองก็ถูกหลัวซิวจัดวางใหม่อีกครั้งเช่นกัน ปัจจุบันเขาสามารถจัดวางค่ายเทพระดับเจ็ดชั้นยอดได้แล้ว ค่ายเทพระดับเจ็ดสิบกว่าค่ายเชื่อมต่อถึงกันและกัน ทันทีที่พลานุภาพในทุกด้าน ๆ ระเบิดออกมา ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งแดนเทพมารระดับแปดก็ยังต้องหลีกเลี่ยง
นอกเหนือจากนี้แล้ว หลัวซิวยังทิ้งยันต์กระบี่เอาไว้ให้ฉู่จวิ้นไฉอีกหนึ่งชิ้น ภายในยันต์กระบี่นี้มีปราณกระบี่ร่องฟ้าผนึกอยู่สามเล่ม ซึ่งเพียงพอที่จะสามารถทำให้เขาใช้เพื่อข้ามผ่านหายนะสามครั้ง
บวกกับมีเฉว่ซ่าพร้อมกับหอเฉว่ซ่าคอยปกครองอยู่ข้างกาย หากเป็นเช่นนี้แล้วฉู่จวิ้นไฉยังไม่สามารถยืนหยัดอยู่ในเมืองหวูซินได้อีกละก็ เช่นนั้นก็พูดได้แค่ว่าการถ่ายทอดสืบสานของสำนักหวูซินควรสิ้นสุดลงแล้ว!
หลังจากผ่านไปครึ่งปี หลัวซิวก็ออกจากพสุดาราหวูซิน เขาได้ถ่ายทอดส่วนที่ล้ำลึกที่สุดของเวทย์นำมังกรไร้เจตน์ให้ฉู่จวิ้นไฉแล้ว ท้ายที่สุดแล้วจะสามารถสืบทอดสำนักหวูซินต่อไปได้หรือไม่นั้น ก็ต้องพึ่งพาตัวเขาเองอยู่ดี แต่ไม่ใช่ตนที่เป็นคนนอก
เรือเซียนลำหนึ่งโบยบินอยู่ในห้วงดารา ความเร็วในการเคลื่อนที่รวดเร็วปานดาวหางสีทองที่แวววาวจับตา หลัวซิวไขว้มือทั้งสองข้างไว้ด้านหลังแล้วยืนอยู่หน้าเรือเซียน เขาไม่ได้หันกลับไปมองพสุดาราหวูซินแต่อย่างใด
เรื่องราวในอดีต ท้ายที่สุดแล้วอะไรที่มันผ่านพ้นไปแล้วก็คือผ่านพ้นไปแล้ว ประมุขดาราหวูซินไม่คงอยู่ตั้งนานแล้ว และเขาก็ไม่มีอะไรที่ต้องอาลัยอาวรณ์แล้วเช่นกัน
……
มีทรัพยากรสมบัติที่อุดมสมบูรณ์แฝงซ่อนอยู่ในฟ้าดินหุบเขาสยบปีศาจ หลัวซิวก็ออกจากหุบเขาสยบปีศาจมาระยะหนึ่งแล้ว ศักยภาพของตระกูลเทพสงคราม เผ่าจี้และภูเขาว่านเริ่นล้วนมีการยกระดับเยอะมาก
แต่ทว่าตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ศิษย์ที่ออกจากเขตพื้นที่ปลอดภัยอย่างยอดเขาเจ๋อฉิงเพื่อไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านนอก ก็ดับสลายสูญสิ้นไปไม่น้อยเช่นกัน ทว่าเมื่ออยู่บนเส้นทางแห่งยุทธ์ที่ต้องดิ้นรนเพื่อแสวงหาหนทางรอดชีวิต มันเป็นผลลัพธ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลยด้วยซ้ำ
ณ ยอดยอดเขาเจ๋อฉิง ภายในวังซิวหลัว เหยียนเยว่เอ๋อร์ที่กำลังฝึกตนอยู่ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมาอย่างรู้สึกดีใจ เนื่องจากเมื่อครู่นี้ ผลการฝึกตนของนางเพิ่งบรรลุสู่แดนเทพมารระดับห้าขั้นสูง
นี่จึงทำให้นางรู้สึกตื่นเต้นดีใจมาก เนื่องจากนางจำได้ว่าหลัวซิวเคยบอกว่าขอแค่ผลการฝึกตนบรรลุถึงเทพมารระดับเจ็ด นางก็สามารถออกไปฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์นอกหุบเขาสยบปีศาจแล้ว ถึงครานั้นหากหลัวซิวยังไม่กลับมา นางก็จะเดินทางไปหาสวามีด้วยตนเองแน่นอน
“พี่เยว่เอ๋อร์ ท่านบรรลุแล้วหรือ?”
ในขณะที่เหยียนเยว่เอ๋อร์เดินออกมาวังซิวหลัว บังเอิญเห็นเหยียนซีโรว่ก็ออกจากการปิดขังเช่นกัน
“ดูท่าซีโรว่เจ้าก็ขยันมากเลยนี่”เหยียนเยว่เอ๋อร์ยิ้มพลางพยักหน้า นางพบว่าผลการฝึกตนของเหยียนซีโรว่ก็บรรลุถึงเทพมารระดับห้าช่วงปลายบริบูรณ์แล้วเหมือนกัน ซึ่งห่างจากขั้นสูงเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น
“ก็ยังแย่กว่าท่านพี่เล็กน้อยอยู่ดี”เหยียนซีโรว่ตอบกลับอย่างเก้อเขินเล็กน้อย
“สวามีก็จากไปห้าปีกว่าแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านที่อยู่ด้านนอกสบายดีหรือไม่”มีความคิดถึงทะลุออกมาจากดวงตาของเหยียนซีโรว่
“ยัยบื้อ เจ้ายังไม่เข้าใจสวามีของเราอีกหรือ? หากผู้ใดกลายเป็นคู่ต่อสู้ของท่าน นั่นถึงจะเรียกว่าอยู่ไม่สุขที่แท้จริงต่างหาก”
เหยียนเยว่เอ๋อร์หัวเราะ แท้จริงแล้วนางก็คิดถึงหลัวซิวมาก ๆ เช่นกัน แต่ทว่าลักษณะท่าทีที่นางแสดงออกมาจะดูโตกว่าซีโรว่เล็กน้อยเท่านั้น
……
“ฟึ่บ!”
ของเหลวสีเขียวที่น่าขยะแขยงระเบิดแตกกระเด็น ท่ามกลางห้วงดาราที่มืดมิดและหนาวเหน็บ หลัวซิวง้างมือตบครั้งเดียวก็บดขยี้ปีศาจแมงมุมลายเขียวไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว
การที่จอมยุทธ์ทัศนาจรฝ่าฟันอยู่ในห้วงดารานั้น ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยภยันตรายต่าง ๆ นานาเช่นกัน กลุ่มอสูรกายที่ลอยไปลอยมาอยู่ในห้วงดารามักจะเป็นภัยพิบัติที่น่ากลัวที่สุดเสมอ
และปีศาจแมงมุมลายเขียวก็เป็นอสูรกายประเภทหนึ่งที่ชอบอยู่กันเป็นฝูง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความสามารถในการแพร่พันธุ์ของอสูรกายประเภทนี้น่าทึ่งมาก ทันทีที่ปรากฏก็เป็นจำนวนที่มากมายถี่ยิบอย่างไร้ขอบเขต ลวดลายสีเขียวที่อยู่บนตัวพวกมันเป็นทำนองเดียวกันกับค่ายกลดูดญาณ ซึ่งจะดูดกลืนดูดซับพลังเวทย์ผลการฝึกตนของจอมยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ของเหลวสีเขียวที่อยู่ในร่างกายพวกมันก็เป็นเมือกพิษกัดกร่อนที่น่ากลัวมากด้วย
โดยส่วนใหญ่แล้วระดับของปีศาจแมงมุมลายเขียวจะไม่สูงมากนัก หัวหน้าที่ปกครองทั้งฝูงปีศาจแมงมุมมากสุดก็อยู่ระดับเทพมารระดับหก ทว่าเมื่ออาศัยจำนวนที่น่ากลัว ทันทีที่ผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับหกถูกรายล้อม นั่นต้องเป็นสถานการณ์ที่ได้ตายสถานเดียวอย่างแน่นอน
มาตรแม้นว่าเป็นเทพมารระดับเจ็ด หากไม่สามารถพุ่งออกไปจากการถูกรายล้อมภายในระยะเวลาที่สั้นที่สุด ก็จะถูกปีศาจแมงมุมลายเขียวที่มากมายมหาศาลโจมตีจนตายทั้งเป็น
“ขยะแขยงเป็นบ้าเลย!”
ลาร์กลายร่างเป็นยักษ์อัสนีที่สูงหลายร้อยเมตรแล้ว แต่เขากลับไม่สามารถใช้ผลการฝึกตนมาคุ้มกันร่างได้เลยด้วยซ้ำ ถูกเมือกพิษสีเขียวกระเด็นไปทั้งร่าง กลิ่นเหม็นคาวขยะแขยงจนทำเอาตายได้เลยล่ะ
เมื่อเผชิญหน้ากับปีศาจแมงมุมลายเขียว สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงมากที่สุดก็คืออย่าใช้พลังเวทย์ผลการฝึกตน มิเช่นนั้นเมื่อถูกค่ายกลดูดญาณที่ประกอบจากลวดลายธรรมชาติที่อยู่บนตัวปีศาจแมงมุมลายเขียวดูดกลืน เจ้าก็มีเพียงจะยิ่งอยู่ยิ่งอ่อนแอลง
โชคดีที่ร่างกายของยักษ์อัสนีอย่างลาร์ใหญ่โตมาก ๆ ความสามารถในการกัดกร่อนของเมือกพิษเหล่านี้แข็งแกร่งมาก แต่ก็แค่สามารถทำให้เขารู้สึกขยะแขยงเท่านั้น ยังไม่เป็นภัยคุกคามต่อชีวิตเขา
แต่ปีศาจแมงมุมลายเขียวที่อยู่บริเวณรอบ ๆ มีเยอะเกินไป ร่างกายของลาร์ใกล้จะจมหายเข้าไปในปีศาจแมงมุมลายเขียวแล้ว
สถานการณ์ฝั่งหลัวซิวก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่นัก แต่ทว่าเขากลับไม่ใส่ใจสถานการณ์ที่น่าขยะแขยงเช่นนี้ อดีตเขาเคยผ่านพ้นเรื่องราวที่อันตรายมากกว่านี้มาแล้ว แล้วจักใส่ใจเรื่องขยะแขยงเล็ก ๆ เช่นนี้หรือ?
“ทลายซะ!”
ดวงตาทั้งสองข้างของหลัวซิวกลายเป็นสีขาวเงินภายในพริบตา ถัดจากนั้นปริภูมิที่อยู่รอบตัวเขาก็เริ่มทรุดลงอย่างบ้าคลั่ง ปีศาจแมงมุมลายเขียวทั้งหมดที่พุ่งเบียดเสียดกันเข้ามาล้วนถูกปริภูมิที่ทรุดลงดูดกลืน แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ภายใต้การถูกรุมโจมตีจากฝูงปีศาจแมงมุมลาย มีน้อยคนมากที่กล้าใช้ผลการฝึกตน เมื่อไม่สามารถใช้ผลการฝึกตนก็จะไม่สามารถควบคุมกฎและเกณฑ์ แต่หลัวซิวกลับไม่ได้ใช้ผลการฝึกตนในการควบคุมกฎและเกณฑ์ แต่เป็นการใช้ตัวสำนักวิญญาณ!
ในระบบของการฝึกยุทธ์ วิญญาณและร่างญาณเป็นสิ่งที่ฝึกยากที่สุดมาโดยตลอด ประสิทธิผลของมันไม่ชัดเจนเหมือนผลการฝึกตนที่มีการยกระดับ
แต่แท้จริงแล้ววิญญาณและร่างญาณสำคัญมาก ๆ ผู้แข็งแกร่งทุกคนที่ประสบความสำเร็จด้านการกลั่นวิญญาณและกลั่นร่าง ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่โดดเด่นในหมู่จอมยุทธ์แดนเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ผู้คนในโลกหล้าต่างทราบมาโดยตลอดว่า การควบคุมกฎและเกณฑ์นั้น สิ่งที่อาศัยคือผลการฝึกตนของตัวจอมยุทธ์เอง จอมยุทธ์สามารถใช้ผลการฝึกตนและกฎเพื่อทำให้ร่างเนื้อและวิญญาณของตัวเองแข็งแกร่งขึ้น ทว่ากลับไม่สามารถใช้ร่างเนื้อและวิญญาณมาควบคุมกฎและเกณฑ์ได้
นี่คือความรู้ทั่วไป แต่ก็เป็นเพียงความรู้ทั่วไประหว่างจอมยุทธ์ทั่วไปเท่านั้น ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเสมอไป
หากร่างเนื้อแข็งแกร่งมากพอก็จะสามารถกดอัดพลังกฎและเกณฑ์ หากตัวสำนักวิญญาณอยู่เหนือระดับขั้นใด ๆ ก็สามารถเป็นเฉกเช่นเดียวกันกับผลการฝึกตน สามารถใช้มาควบคุมพลังทั้งปวงได้เช่นกัน!