มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2699ไข่มุกทองกรองแก้ว
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2699ไข่มุกทองกรองแก้ว
ค่ายเทพระดับแปดสอดคล้องกับแดนเทพมารระดับแปด สาเหตุที่ท่านหมี่รู้สึกตะลึงนั้น หลัก ๆ เป็นเพราะเขาไม่เข้าใจว่าหลัวซิวจัดวางค่ายกลระดับสูงเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร?
อย่างไรเสียผลการฝึกตนของเขาก็เป็นเพียงเทพมารระดับหกเท่านั้น ส่วนยักษ์อัสนีนั่นก็ยิ่งไม่มีทางเข้าใจเรื่องค่ายกล ถ้าเกิดยักษ์อัสนีก็รู้จักการใช้ค่ายกลละก็ เช่นนั้นเผ่าพันธุ์ยักษ์คงแหกกฎสวรรค์กลายเป็นผู้ชี้ขาดห้วงดารานี้ไปตั้งนานแล้ว
“แสร้งเป็นเทพเป็นผี!”
ประมุขดารามังกรดำยื่นมือออกไปขยำหนึ่งครั้ง ดาบรบสีดำขลับเล่มหนึ่งก็ปรากฏในมือเขา ก่อนที่เขาจะฟาดฟันไปทางปริภูมิที่อยู่บริเวณรอบ ๆ
ทันใดนั้นเอง ปริภูมิค่ายกลที่มีหมอกเชี่ยวกรากในตอนแรกก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ปริมภูมิที่นับไม่ถ้วนเริ่มสลับเปลี่ยนที่ ในขณะเดียวกันก็มีแสงค่ายที่นับไม่ถ้วนผนึกรวมกันเป็นจิตสังหาร แล้วม้วนซัดไปทางท่านหมี่และมังกรดำที่ติดอยู่ในค่ายกล
ค่ายยากเย็นและค่ายสังหารถูกกระตุ้นพร้อมกัน เมื่ออยู่ภายในปริภูมิค่ายกล ไม่ว่าจะเป็นท่านหมี่หรือมังกรดำ ตัวสำนึกและกระแสสัมผัสล้วนถูกกีดกั้น สายตาของพวกเขามองสิ่งของที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ และไม่ได้ยินเสียงใด ๆ ด้วย
นอกค่ายกลปริภูมิ หลัวซิวยกมือสะบัดครั้งหนึ่ง กระบี่ร่องฟ้าก็หลอมรวมเข้าไปในค่ายสังหาร ถัดจากนั้นเตากลั่นนภาจื่อเซียวก็บินออกมาจากร่างกาย แล้วหลอมรวมเข้าไปในค่ายยากเย็น
เมื่อมีอาวุธของขลังทั้งสองชิ้นนี้เป็นรากฐานของค่ายกล หลัวซิวเชื่อว่าต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปดช่วงปลาย ก็อย่าคิดว่าจะหลุดพ้นออกไปจากที่นี่ได้ มาตรแม้นว่าเป็นเทพมารระดับแปดขั้นสูง ก็ต้องแลกด้วยราคาที่สูงลิ่วมากถึงจะมีโอกาสหลุดพ้นออกมา
ท่านหมี่และมังกรดำที่อยู่ในค่ายกลยังไม่รู้ว่าค่ายกลที่อยู่รอบ ๆ แข็งแกร่งมากเพียงใด แต่หลังจากพวกเขาลองพยายามโจมตีหลายครั้ง ก็พบว่าค่ายกลที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ไม่ได้มีเพียงค่ายสังหารค่ายเดียวเท่านั้น ยังมีค่ายยากเย็นอีกหนึ่งค่ายด้วย!
หากมีเพียงค่ายสังหาร บางทีพวกเขาอาจจะฝ่าฟันออกไปได้ง่ายอยู่ แต่ถ้าเกิดค่ายยากเย็นและค่ายสังหารผสานกัน เช่นนั้นก็ค่อนข้างลำบากแล้วล่ะ
แต่ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ท่านหมี่และมังกรดำกลับไม่มีความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย อย่างไรเสียพวกเขาทั้งสองคนก็ต่างเป็นเทพมารระดับแปดช่วงกลาง ชั่วชีวิตนี้การที่สามารถฝึกตนขึ้นมาถึงแดนอย่างปัจจุบันได้นั้น พวกเขาผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ มาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ขอแค่พวกเขาร่วมมือกัน ต่อให้เป็นค่ายเทพระดับแปดที่ทรงพลังมากเพียงใด พวกเขาก็มั่นใจว่าสามารถฝ่าฟันออกไปได้
“ช่างเป็นค่ายยากเย็นที่แข็งแรงยิ่งนัก!”
มังกรดำโจมตีต่อเนื่องอยู่นานมาก สีหน้าจึงดูย่ำแย่ลงเล็กน้อย จากพลังโจมตีที่ทุ่มสุดกำลังสามารถของเขา หากเป็นค่ายยากเย็นระดับแปดทั่วไปคงถูกฉีกกระชากจนเกิดเป็นช่องโหว่ตั้งนานแล้ว แต่ค่ายยากเย็นของที่นี่กลับแข็งแรงกว่าที่จินตนาการเอาไว้ เขาทุ่มสุดกำลังสามารถ แต่ก็แค่สามารถทำให้ค่ายกลปริภูมิสั่นไหวเล็กน้อย ซึ่งยังอีกนานมากถึงจะทลายมันได้
“ผู้เฒ่าหมี่ ดูท่าคงทำได้เพียงเจ้าและข้าร่วมมือกัน ถึงจะสามารถฝ่าฟันออกไปได้แล้วล่ะ”
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ มังกรดำจึงหันไปพูดกับท่านหมี่ ทว่าหลังจากที่เขาหันกลับไปแล้ว กลับผงะไปกะทันหัน
เนื่องจากเขาค้นพบว่าคำพูดที่ตัวเองพูดออกไปมันไม่มีเสียงเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งท่านหมี่ที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลในเมื่อครู่นี้ก็หายไปแล้วด้วย รอบ ๆ ขาวโพลนไม่มีอะไรเลย เขาสัมผัสอะไรไม่ได้เลย
“ให้ตายเถอะ!”
สีหน้าของประมุขดารามังกรดำเปลี่ยนแปลงไป บัดนี้เขาถึงจะตอบสนองกลับมาได้ว่าตัวเองประมาทไปหน่อย เห็นได้ชัดเจนเลยว่าค่ายกลของที่นี่มีความลี้ลับซ่อนอยู่ ทำการแบ่งแยกพื้นที่บริภูมิของเขาและท่านหมี่ให้ออกจากกัน จึงส่งผลให้พวกเขาทั้งสองคนไม่สามารถร่วมมือกัน
หากเขาร่วมมือกับท่านหมี่ตั้งแต่แรกละก็ การทลายค่ายกลของที่นี่ไม่ใช่เรื่องยาก ทว่าเนื่องจากการต่อสู้เดี่ยวในเมื่อครู่นี้ทำให้ผู้จัดวางค่ายกลคว้าโอกาส ทำให้พวกเขาทั้งสองคนแยกจากกัน
ทันใดนั้นเอง หอกยาวสีแดงเลือดอันนับไม่ถ้วนที่มืดฟ้ามัวดินก็ม้วนซัดเข้ามา ภายในหอกยุทธ์สีเลือดเหล่านี้มีปณิธานที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งแฝงซ่อนอยู่ พลังโจมตีของหอกยุทธ์ทุกเล่มล้วนเทียบเท่าการลงมือของผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปด
“ค่ายสังหารระดับแปดขั้นสูง!”
สีหน้าของประมุขดารามังกรดำเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง เนื่องจากเขามีการค้นพบใหม่อีกแล้ว ค่ายยากเย็นและค่ายสังหารของที่นี่ไม่ใช่ค่ายเทพระดับแปดทั่วไป แต่เป็นระดับแปดขั้นสูง
ระดับแปดขั้นสูงที่กล่าวถึงนั้น หมายความว่าต่อให้ผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปดขั้นสูงติดอยู่ที่นี่ ก็หลุดพ้นออกไปได้ยากมาก ส่วนเขาและท่านหมี่ต่างเป็นเทพมารระดับแปดช่วงกลาง บัดนี้ก็ไม่มีโอกาสได้ร่วมมือกันแล้ว
ณ ตอนนี้วินาทีนี้ ประมุขดารามังกรดำก็กระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที เขาและท่านหมี่ต่างถูกลอบกัดแล้ว
“โฮกก!”
ประมุขดารามังกรดำคำรามครั้งหนึ่ง รัศมีเทวสีดำที่อยู่บนตัวก็สว่างไสวขึ้นมาภายในพริบตา เขากลายร่างเป็นร่างดั้งเดิมของมังกรดำ เนื่องจากมีเพียงขณะที่เปิดเผยร่างดั้งเดิม เขาถึงจะสามารถปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองออกมาได้ ถึงจะมีโอกาสเสี้ยวหนึ่งในการทลายค่ายยากเย็นและค่ายสังหารแล้วพุ่งออกไป
อย่างไรก็ตามเขายังไม่ทันได้ลงมือทลายค่าย กระบี่เทพสีเขียวมรกตเล่มหนึ่งก็ปรากฏกลางหมอกสลัวที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
เวิ่ง!
กระบี่เทพสั่นเทิ้มคร่ำครวญเบา ๆ ถัดจากนั้นก็มีปราณกระบี่หนึ่งดวงที่แวววาวจับตาถึงขีดสุด เฉือนสับไปทางร่างดั้งเดิมของมังกรดำ
ณ เสี้ยววินาทีนี้ ประมุขดารามังกรดำพบว่าปริภูมิบริเวณรอบ ๆ ไม่ใช่ของตัวเองโดยสิ้นเชิงแล้ว ร่างดั้งเดิมประมุขดารามังกรดำที่แข็งแกร่งราวกับถูกพันธนาการเอาไว้ และยิ่งมีวิกฤตการณ์แห่งความตายผุดขึ้นมาในหัวใจเขา
“อาวุธเทพระดับเก้า!”
ประมุขดารามังกรดำเบิกดวงตาสีทองจนกลมโต ราวกับโคมไฟสีทอง หากบอกว่าค่ายเทพระดับแปดขั้นสูงก็ทำให้เขารู้สึกรับมือยากมาก ๆ แล้วละก็ เช่นนั้นการที่ฝ่ายตรงข้ามยังมีสมบัติอย่างอาวุธเทพระดับเก้านั้น ยิ่งทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังเลย
อาวุธเทพระดับเก้า พอจะเรียกได้เลยว่าเป็นอาวุธชั้นสุดยอดในจักรวาลฟ้าดินแล้ว เทพมารระดับเจ็ดคนหนึ่งที่มีอาวุธเทพระดับเก้า ก็สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปดถดถอยได้แล้ว ต่อให้ประมุขดารามังกรดำจะมั่นใจในตัวเองมากเพียงใด ก็ไม่คิดว่าตนจะสามารถต้านทานพลังโจมตีของอาวุธเทพระดับเก้าได้
วินาทีนี้มีความรู้สึกที่เรียกว่าเสียใจทีหลังพรั่งพรูออกมาจากหัวใจประมุขดารามังกรดำ หากเขารู้ตั้งแต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาจะไม่ไล่ตามมาแน่นอน ตาแก่ท่านหมี่นั่นแจ้นมาอย่างโง่เง่า มันเป็นการรนหาที่ตายชัด ๆ เหตุใดตัวเองถึงต้องตามมาด้วยเล่า?
“หยุดก่อน! ขอแค่เจ้ายอมปล่อยข้าไป ข้ายินดีที่จะกลายเป็นคนรับใช้ของเจ้า!”
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ประมุขดารามังกรดำตะคอกเสียงดังลั่นคำหนึ่ง เพื่อเป็นการทำให้ตัวเองมีชีวิตรอดต่อไป เขาไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องศักดิ์ศรีแล้ว
“ข้าไม่ต้องการทาสรับใช้อย่างเจ้า!”
มีเสียงที่เยือกเย็นสะท้อนออกมาจากอนัตตา ถัดจากนั้นปราณกระบี่ที่แวววาวจับตาก็พุ่งตรงมา
ฟึ่บ!
เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูด ท่ามกลางเสียงคำรามอันน่าเวทนา กรงเล็บของร่างดั้งเดิมที่ผันมาจากประมุขดารามังกรดำก็ถูกตัดทิ้งข้างหนึ่ง เลือดอาบท่วมกรงเล็บ สภาพน่าเวทนามากจนไม่อาจทนดูได้
หากไม่ใช่เพราะเขาหลบหลีกในช่วงเวลาสำคัญ ปราณกระบี่นี้อาจจะสับร่างกายเขาจนแยกออกเป็นสองท่อนแล้ว
“ให้ตายเถอะ! ให้ตายเถอะ! ให้ตายเถอะ! ……”
มังกรดำคำรามอย่างพิโรธ หากไม่ใช่เพราะติดอยู่ในค่ายกล ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามยึดกุมอาวุธเทพระดับเก้า เขาก็สามารถถอยกลับอย่างสุขุม ทว่าสถานการณ์ ณ วินาทีนี้เป็นสถานการณ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเสียเปรียบสำหรับเขา ความอัดอั้นตันใจและภัยคุกคามจากความตายทำให้เขาแทบจะบ้าคลั่ง
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เสียงคำรามที่ดังก้องอยู่ในบริภูมิค่ายกลก็เงียบสงบลงไป ศพมังกรสีดำที่ยาวหลายพันเมตรก็นอนอยู่บนกองเลือด
ทันใดนั้น ก็มีมือใหญ่สีเขียวข้างหนึ่งปรากฏกลางอากาศที่ว่างเปล่า แล้วจับศพมังกรดำขึ้นมา จากนั้นก็มีเสียงเคี้ยวดังออกมาจากอนัตตา ทำเอาคนได้ยินรู้สึกขนหัวลุกซู่
หลัวซิวนำกระบี่ร่องฟ้าหลอมรวมเข้าไปในค่ายสังหาร คนแรกที่เขามุ่งเป้าไปก็คือประมุขดารามังกรดำที่มีศักยภาพแข็งแกร่งกว่า และขณะที่เขาสังหารประมุขดารามังกรดำ ท่านหมี่ก็ปลดปล่อยฝูงอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองออกมาเช่นกัน โจมตีค่ายยากเย็นอย่างสุดกำลังสามารถ หวังจะฝ่าฟันออกไป
อย่างไรก็ตามค่ายยากเย็นได้หลอมรวมเข้ากับเตากลั่นนภาจื่อเซียวของหลัวซิว เตากลั่นยานี้คงอยู่มาชั่วนิรันดร์โดยไม่ได้รับความเสียหาย เมื่อมีมันคอยกดอัดฐานค่าย นอกเสียจากท่านหมี่สามารถผันร่างเป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้า มิเช่นนั้นก็อย่าคิดว่าจะสามารถพุ่งออกไปได้
ท่านหมี่โจมตีไปนานเท่าไหร่ไม่รู้แล้ว ตอนที่เริ่มติดอยู่ในค่ายกล เขายังเยือกเย็นสุขุมและมั่นใจในตัวเองมาก ๆ ทว่าจากการที่เวลาค่อย ๆ ล่วงเลยไป เขาก็ยิ่งอยู่ยิ่งรู้สึกช็อก ยิ่งอยู่ยิ่งรู้สึกทึ่ง กระทั่งมาถึงขั้นที่รู้สึกสิ้นหวัง
เขาไม่รู้ว่าเจ้ามังกรดำนั่นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว พลังของค่ายกลได้แยกเขาและมังกรดำให้ออกจากกัน ส่วนพวกเขากลับไม่เข้าใจเรื่องค่ายกล จึงอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบโดยสิ้นเชิงเลย
มังกรดำ!”
ท่านหมี่ตะคอกเสียงดังลั่นคำหนึ่ง อย่างไรก็ตามแม้แต่ตัวเขาเองยังไม่ได้ยินเสียงของตัวเองเลย
“เวิ่ง!”
ทันใดนั้นเอง ปริภูมิก็สั่นเทิ้มเล็กน้อย ถัดจากนั้นก็มีกำปั้นหนึ่งเหมือนผุดขึ้นมาจากน้ำที่มีระลอกคลื่น แล้วทุบไปทางท่านหมี่อย่างรุนแรง
กำปั้นนี้ยังไม่ได้ทุบมา เพลาไหลรวยสายหนึ่งก็ปรากฏกลางนภา ท่านหมี่รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองถูกหยุดนิ่งภายในเสี้ยววินาที
“อาศัยอุบายประเภทนี้ก็คิดที่จะสังหารกูหรือ ฝันไปเถอะ!”
ท่านหมี่ตะคอกอย่างพิโรธ ออร่าเกณฑ์พลังเต๋าที่อยู่บนร่างกายระเบิดออกมา อาศัยพลังผลการฝึกตนที่แข็งแกร่ง ฝืนหลุดพ้นจากการพันธนาการของเวลาที่หยุดนิ่ง
มีอสูรกายสามตัวที่พลังออร่าดุดันคอยคุ้มกันอยู่ข้างกายท่านหมี่ อสูรกายสามตัวนี้ ตัวหนึ่งคือเทพเสือโบยบิน ตัวหนึ่งคือวานรมหิตเตโช แล้วยังมีอีกตัวหนึ่งคือเทพงูมังกรเจ็ดสี
ในฐานะที่เป็นนักทาสอสูร นี่คืออสูรกายที่แข็งแกร่งที่สุดของท่านหมี่ ทุกตัวล้วนอยู่ในระดับเทพระดับแปด โดยทั่วไปแล้วเมื่อประสบพบเจอกับคู่ต่อสู้ที่เป็นเทพมารระดับแปดเหมือนกัน เมื่อมีอสูรกายสามตัวบวกกับตัวเองอีกคนหนึ่ง ก็เท่ากับกลายเป็นสถานการณ์ที่หนึ่งต่อสี่ และนี่ก็คือความแข็งแกร่งของนักทาสอสูร
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น รอบกายท่านหมี่ยังมีฝูงอสูรเทพระดับหกและระดับเจ็ดจำนวนมากด้วย ถึงแม้จะเป็นเพียงอสูรพื้นฐาน แต่กลับสามารถลดทอนศักยภาพของคู่ต่อสู้ในช่วงเวลาสำคัญ ทำให้อัตราชนะของเขาเพิ่มขึ้น
“ตู้มม!”
อสูรกายทั้งสามตัวพุ่งตรงเข้ามา กำปั้นของหลัวซิวหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ถัดจากนั้นร่างกายเขาก็ปรากฏในสายตาท่านหมี่
“เจ้าเด็กเดรัจฉาน ไปตายซะเถอะ!”
ท่านหมี่ควบคุมฝูงอสูรพุ่งตรงเข้ามาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แต่ทว่าทันใดนั้นเองก็มีอัคคีเทพที่มืดฟ้ามัวดินม้วนซัดมา ทำให้ฝูงอสูรได้รับความเสียหายอย่างหนักหน่วงภายในพริบตา
มังกรดำตายไปแล้ว คนต่อไปก็คือมึงแล้วล่ะ”
หลัวซิวพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น จากนั้นเงาร่างก็กระพริบครั้งหนึ่ง พุ่งตรงเข้าไปพร้อมกับกระบี่ร่องฟ้าในมือ
“ว่าอย่างไรนะ!”
เมื่อได้ยินว่าฝ่ายตรงข้ามสังหารมังกรดำไปแล้ว ปฏิกิริยาแรกของท่านหมี่คือไม่เชื่อ แต่ข่าวคราวนี้ทำให้เขารู้สึกน่าทึ่งอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจึงสติหลุดไปเสี้ยววินาที
และในเสี้ยววินาทีที่เขาสติหลุด เงาร่างของหลัวซิวก็ปรากฏตรงหน้าเขาแล้ว พลังทั้งหมดของเขาล้วนถูกถ่ายเทเข้าไปในกระบี่เทพเล่มนี้ แล้วฟาดฟันกระบี่ที่ทรงพลังที่สุดออกไป!
ทุ่มผลการฝึกตนและพลังทั้งหมดเพื่อกระตุ้นพลานุภาพของกระบี่ร่องฟ้า พลานุภาพของพลังโจมตีในครั้งนี้ มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปด หากไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต!
สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันบ้าคลั่งที่พุ่งตรงเข้ามา ท่านหมี่จึงดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว กัดฟันแรง ๆ แล้วพ่นพลังและเลือดออกมา ก่อนจะเรียกลูกแก้วสีทองออกมาหนึ่งลูก
“ไข่มุกทองกรองแก้ว?”
รูม่านตาของหลัวซิวหดลง เมื่ออยู่ภายใต้ระยะห่างที่ใกล้กันขนาดนี้ มาตรแม้นว่าเป็นเขาก็หลบไม่ทันแล้ว
“ตู้มม!”
เสี้ยววินาทีที่เรียกลูกแก้วทองออกมา ก็มีพลังระเบิดที่น่ากลัวเกิดขึ้น แสงทองที่นับไม่ถ้วนแย้มบานออกไป ชุดคลุมยาวดำที่อยู่บนตัวหลัวซิวถูกระเบิดจนสภาพพังยับเยินภายในพริบตา
ไม่เพียงแค่ชุดคลุมยาวดำที่อยู่บนตัวเขาเท่านั้น ร่างเนื้ออันเกะกะระรานของเขาที่เทียบเท่าอาวุธเทพระดับเจ็ดก็ท่วมเต็มไปด้วยเลือด
เขาไม่ทราบแต่อย่างใดว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีของอย่างไข่มุกทองกรองแก้วด้วย หากเขารู้แล้วเตรียมป้องกันล่วงหน้าละก็ ต้องไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแน่นอน
ไข่มุกทองกรองแก้วคือของขลังประเภทหนึ่งที่สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว เมื่อเรียกออกมาขณะที่อยู่ในระยะประชิด จะสามารถระเบิดพลังโจมตีที่ทรงพลังมาก ๆ ออกมา หากอยู่ไกลกันเล็กน้อยละก็ คู่ต่อสู้ก็จะหลบหลีกได้ง่ายมาก
โชคดีที่ไข่มุกทองกรองแก้วลูกนี้ของท่านหมี่เป็นเพียงระดับแปด ถึงแม้จะทำให้เขาบาดเจ็บไม่เบา แต่กลับไม่ถึงแก่ชีวิต หากเป็นระดับเก้าละก็ หลัวซิวคาดว่าหากตัวเองไม่ตายก็ต้องเจ็บหนักมากแน่นอน
นี่จึงทำให้หลัวซิวตระหนักหลักการหนึ่งได้ ถึงแม้เขาจะมีประสบการณ์และความทรงจำของสองภพชาติ ทว่าเวลานี้ก็จะประมาทเลินเล่อไม่ได้ ขณะที่ต่อสู้ต้องคอยระมัดระวังอยู่ทุกวินาที