มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2718 มหันตภัยแห่งยุคมหาศักดิ์
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2718 มหันตภัยแห่งยุคมหาศักดิ์
“ผู้น้อย บรรพศักดิ์สิทธิ์ยังคงอยู่ในโลกหรือ?”
จู่ ๆ ก็มีเสียงที่แหบแห้งดังมาจากความมืดบริเวณรอบ ๆ ดูเหมือนเจ้าของมือดำอันลึกลับนั่นไม่ได้จะลงมือต่อแต่อย่างใด
“ข้าไม่เข้าใจว่าบรรพศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าหมายถึงคือผู้ใด”หลัวซิวยังคงระแวดระวังอยู่เช่นเคย ฝ่ายตรงข้ามซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ แม้แต่เขายังไม่ทราบตำแหน่งพิกัดที่ชัดเจนเลย ภายใต้สถานการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ทำให้เขาอยากออกจากที่นี่เร็ว ๆ มาก
“เจ้าไม่รู้จักบรรพศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ? แล้วเจ้าไปเอาเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณมาจากที่ใด? แล้วญาณเทวของเจ้าผนึกรวมออกมาได้อย่างไร?”เสียงที่แหบแห้งยิงคำถามอย่างต่อเนื่อง
เคล็ดเทวกลั่นวิญญาณ?
เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว หลัวซิวถึงจะนึกขึ้นมาได้กะทันหันว่าขณะที่ฝ่ายตรงข้ามใช้พลังโจมตีวิญญาณที่แปลกประหลาดในตอนแรก ก็เคยอุทานแล้วว่าเขามีพลังญาณเทว
เห็นได้ชัดเจนมากเลยว่าคนดังกล่าวไม่เพียงรู้จักเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณ แต่ยังรู้จักญาณเทวอีกด้วย ราวกับเข้าใจคัมภีร์โอสถดีมาก ๆ
เขาเห็นว่าตัวเองผนึกรวมญาณเทวออกมาได้ จึงสันนิษฐานว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอดของบรรพศักดิ์สิทธิ์ไท่ชิงอะไรนั่น หรือว่าความเป็นมาของคัมภีร์โอสถมีความเกี่ยวข้องกับบรรพศักดิ์สิทธิ์ท่านนั้นที่เขาหมายถึง?
ในขณะที่หลัวซิวกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ ๆ มือใหญ่สีดำนั่นก็ปรากฏอีกครั้ง ทว่าความเร็วในครั้งนี้เร็วกว่าครั้งก่อนมาก คว้าจับมาทางเขา
แม้นขณะที่ครุ่นคิด หลัวซิวก็ไม่เคยลดความระมัดระวังลงเลย เนื่องจากภายในเสี้ยววินาทีที่ฝ่ายตรงข้ามลงมือ เขาก็ตอบสนองแล้ว ฟาดฟันกระบี่ร่องฟ้าออกไป
“เตี๊ยง!”
พลังที่มากมายมหาศาลและเกะกะระรานพุ่งตรงมา ทำให้ร่างกายของหลัวซิวกระเด็นลอยออกไปอีกครั้ง เขากระอักเลือดเฮือกหนึ่ง ก่อนจะง้างมือโยนธงค่ายออกไปสิบกว่าผืน แล้วเรียงรายกันกลางอากาศที่ว่างเปล่า
“ทิ้งเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณไว้ให้ข้า!”
ภายในน้ำเสียงที่แหบแห้งมีความดุดันปนอยู่เล็กน้อย เห็นเพียงมือใหญ่สีดำข้างนั้นขยำมา แล้วมีระลอกคลื่นสีดำปรากฏหนึ่งลูก มีพลังดูดกลืนที่น่าสยดสยองพรั่งพรูออกมาจากระลอกคลื่น ทำให้ทุกสรรพสิ่งที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ถูกกระชากเข้าไป
“ทลายซะ!”
หลัวซิวกัดปลายลิ้น อ้าปากแล้วพ่นพลังและเลือดออกมา ทำการเผาผลาญพลังและเลือดภายในพริบตา จากนั้นก็มีพลังที่มากมายมหาศาลปะทุออกมา ธงค่ายสิบกว่าผืนที่เขาโยนออกไประเบิดแตกพร้อมกัน ทำให้ค่ายกลต้องห้ามของที่นี่ฉีกกระชากจนเกิดเป็นช่องโหว่หนึ่งจุด
ไม่มีความลังเลใจใด ๆ เลยแม้แต่น้อย หลัวซิวก็พุ่งออกไปภายในพริบตาแล้ว เมื่อเขาพบว่าตัวเองมาถึงด้านนอก แต่ก็ยังคงได้ยินเสียงคำรามและตะโกนที่ดังมาจากด้านล่างของแม่น้ำอยู่เช่นเคย
หลัวซิวไม่ได้หยุดอยู่กับที่ หลังจากเขาบินหนีออกไปหลายหมื่นไมล์ด้วยความเร็วที่รวดเร็วที่สุดแล้ว เมื่อพบว่าไม่มีคนตามสะกดรอยมา เขาถึงจะหยุดลง
หยิบยาออกมาจากแหวนเก็บของแล้วกลืนกินลงไป หลัวซิวนั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนแผ่นดินที่กว้างโล่ง เขม็งตาขมวดคิ้ว
“คัมภีร์โอสถที่มีเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณบันทึก มีต้นกำเนิดมาจากบรรพศักดิ์สิทธิ์ไท่ชิงหรือ?”
ผู้แข็งแกร่งลึกลับที่อำพรางอยู่ด้านล่างแม่น้ำ จากคำพูดของฝ่ายตรงข้าม ทำให้หลัวซิวที่ว่องไวได้เฉียบแหลมทราบข้อมูลบางอย่างที่เขาเมื่อชาติปางก่อนไม่ทราบ
นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เขาได้ยินสมญานามบรรพเทพหากบรรพศักดิ์สิทธิ์ไท่ชิงเป็นผู้ริเริ่มคัมภีร์โอสถจริง ๆ ละก็ เช่นนั้นเกรงว่าความเป็นมาของบรรพศักดิ์สิทธิ์ไท่ชิงท่านนั้นคงจะเก่าแก่กว่าสวรรค์ทั้ง 12 มาก ๆ
เนื่องจากเขาที่เป็นไท่ซ่างฉิงเมื่อชาติปางก่อนเคยแสวงหาโบราณสถานที่เก่าแก่ แล้วค้นพบว่าช่วงเวลาที่คัมภีร์โอสถ ฎีกาค่ายและหนังสือยุทธภัณฑ์อุบัติขึ้นมาในช่วงแรก เป็นยุคสมัยก่อนชิงเทียนเสียอีก! ส่วนชิงเทียนคือสวรรค์องค์แรก และเป็นผู้นำของสวรรค์ทั้ง 12 ด้วย
ภายใต้การโคจรของเกณฑ์ชีวีนิรันกาล ควบคู่กับประสิทธิผลของยาเซียน ทำให้พลังและเลือดของหลัวซิวที่สูญเสียไปฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว
ตำแหน่งที่ตั้งของแม่น้ำสายนั้นถูกเขาจัดเป็นเขตต้องห้ามแล้ว การที่เขาสามารถหลบหนีออกมาจากด้านล่างได้นั้น สิ่งที่อาศัยคือการจู่โจม ทำการระเบิดธงค่ายนับสิบพร้อมกัน ถึงจะสามารถฝืนฉีกกระชากปริภูมิจนเกิดเป็นช่องโหว่หนึ่งจุด
หากมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นอีกครั้งละก็ ฝ่ายตรงข้ามต้องมีการเตรียมป้องกันอย่างแน่นอน ซึ่งแผนการเขาก็จะไม่มีทางสำเร็จอีก นอกเสียจากว่ารอผลการฝึกตนของเขาบรรลุถึงแดนเทพมารระดับเจ็ดแล้ว หลัวซิวถึงจะมีความมั่นใจในการต่อกรกับผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในโดยตรง
นั่นเป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งในยุคโบราณ ถึงแม้จะด้วยสาเหตุบางอย่างทำให้ผลการฝึกตนศักยภาพตกต่ำ แต่ใช่ว่าสักวันเขาจะไม่มีโอกาสเห็นแสงสว่างอีกครั้งเสมอไป
“ภพชาตินี้ ไม่สงบเลยนะ……”
หลัวซิวถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แท่นบูชาเทพมาร วังเทียนหมิง แล้วก็หุบเขาผนึกปีศาจ ศิลาผนึกปีศาจในมหาโลกาพันสาม บวกกับสิ่งต่าง ๆ นานาที่ได้พบเห็นหลังจากเขามาถึงโลกร้าง ทำให้หลัวซิวมักจะรู้สึกเหมือนมหันตภัยกำลังจะมาเยือนยังไงอย่างนั้น
หากสืบสาวราวเรื่องกลับไปถึงยุคไท่ชู ในทุกยุคสมัยล้วนจะมีมหันตภัยหนึ่งครั้ง ตลอดจนหลายครั้งเลยก็ว่าได้
ยกตัวอย่างเช่นมหันตภัยแห่งการย้อนสังหาสวรรค์ในยุคไท่ชู ก็เป็นมหันตภัยที่ผู้บำเพ็ญปรปักษ์นับไม่ถ้วนที่ถูกเรียกขานว่าวิถีมารปะทะกับสวรรค์ มหันตภัยในครั้งนั้นได้ดำเนินการมาถึงยุคสมัยที่สวรรค์ทั้ง 12 ปกครองจักรวาลฟ้าดิน
เมื่อสวรรค์ยุคที่ 12 หายเข้าไปในกลีบเมฆ ก็สิ้นสุดยุคไท่ชู ในขณะเดียวกันเนื่องจากมหันตภัยแห่งศึกสงครามครั้งยิ่งใหญ่ ทำให้เกณฑ์ฟ้าดินในจักรวาลฟ้าดินพังทลาย จนถูกคนรุ่นหลังเรียกว่าจักรวาลกันดาร หรือมหาโลกาพันสามในยุคหลังนี่เอง
หลังจากสิ้นสุดยุคไท่ชู ก็คือยุควัฏสงสาร มีจ้าววัฏสงสารอุบัติขึ้นมาทั้งหมดเก้ายุค ก่อนจะสิ้นสุดลง ช่วงปลายยุควัฏสงสาร มีผู้แข็งแกร่งที่นับไม่ถ้วนได้ทำสงครามกันอีกครั้ง จนก่อให้เกิดศึกการช่วงชิงชีวี ซึ่งศึกสงครามในครั้งนั้นรุนแรงดุเดือดกว่ามาก ผู้แข็งแกร่งชั้นยอดในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดแทบจะดับสลายสูญไปหมด!
ในยุคสมัยที่ไท่ซ่างฉิงคงอยู่นั้น หลังจากผ่านพ้นศึกการช่วงชิงชีวีแล้ว ผู้แข็งแกร่งที่อยู่สูงกว่าเทพมารระดับเก้าเป็นต้นไปในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด ก็เหลือไม่ถึงสิบคน!
ตั้งแต่สิ้นสุดยุคไท่ชูและวัฏสงสาร เกณฑ์ฟ้าดินก็ได้รับผลกระทบและเสียหายอย่างมาก ไม่มีผู้ใดสามารถยึดกุมวิถีสวรรค์ได้อีก ผู้ที่อยู่สูงกว่าแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า ผนึกรวมกงล้อเทพออกมาได้สิบวงคือผู้สูงส่ง ดังนั้นยุคสมัยนี้ก็ถูกเรียกว่ายุคมหาศักดิ์เช่นกัน
ทว่าอ้างอิงจากเบาะแสร่องรอยต่าง ๆ ที่คงอยู่มาตั้งแต่โบราณกาล ก่อนยุคไท่ชู ยังมียุคสมัยที่เก่าแก่กว่าอีก แต่มันผ่านพ้นมายาวนานมากเกินไป นานถึงขั้นที่ไม่สามารถสืบสาวราวเรื่องกลับไปได้
แต่ว่าความล้ำลึกของคัมภีร์โอสถ ฎีกาค่ายและหนังสือยุทธภัณฑ์ที่ผู้คนในโลกหล้าต่างให้การยอมรับนั้น ก็สืบทอดมาจากยุคสมัยนั้นเช่นกัน
ดาราจักรวาลคงอยู่มายาวนานอย่างไม่รู้จบ ผ่านไปยุคแล้วยุคเล่า มีมหันตภัยเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ยุคมหาศักดิ์ในปัจจุบันก็ผ่านมาหนึ่งยุคตรีภพกว่าแล้ว ราวกับมหันตภัยก็ใกล้จะมาเยือนแล้ว
……
หลังจากผ่านไปสามวัน เงาร่างของหลัวซิวลอยอยู่กลางนภา พลางสำรวจสภาพพื้นดินบริเวณรอบ ๆ เขาก็เข้ามาในแดนเทียนฮวงระยะหนึ่งแล้ว ในที่สุดก็เจอเอกลักษณ์สภาพพื้นดินที่คล้ายคลึงกับจุดที่บันทึกอยู่บนแผนที่สักที
มีเค้าโครงของแผนที่ปรากฏในหัว หลัวซิวอ้างอิงจากตำแหน่งปัจจุบัน แล้วผนึกตำแหน่งที่ได้นัดหมายกับลิ่งฮู๋จื่อเซวียนไว้ล่วงหน้าได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมงกว่า หลัวซิวก็มาถึงละแวกใกล้เคียงของหุบเขาแห่งหนึ่ง ในละแวกใกล้เคียงของหุบเขายังมีน้ำตกขนาดใหญ่หนึ่งแห่งด้วย เขาแผ่ขยายตัวสำนึกออกไป ทว่ากลับไม่เห็นเงาร่างของลิ่งฮู๋จื่อเซวียนแต่อย่างใด
มีแค่ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนเท่านั้นที่ทราบพิกัดแม่นยำของภูเขากรองแก้วมรกตดั้งเดิม หลัวซิวก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าลิ่งฮู๋จื่อเซวียนนั่นเข้าไปเองแล้ว หรือว่าเขายังมาไม่ถึงที่นี่
อย่างไรเสียขณะที่ทุกคนถูกส่งเข้ามาในแดนเทียนฮวง ล้วนถูกส่งไปยังเขตพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งโดยการสุ่ม ขณะที่เขาถูกส่งเข้ามา ก็ไม่มีเบาะแสใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแผนที่เลย บางทีลิ่งฮู๋จื่อเซวียนก็อาจจะเจอสถานการณ์ที่เป็นทำนองเดียวกันกับตนก็เป็นได้
โบกมือจับวางค่ายกลซ่อนงำ หลัวซิววางแผนที่จะรอที่นี่สามวัน หากหลังจากผ่านไปสามวันแล้ว ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนยังไม่ปรากฏ เขาก็จะออกจากที่นี่
ถึงแม้ภูเขากรองแก้วมรกตดั้งเดิมจะถือเป็นทรัพยากรที่ไม่ค่อยเลวต่อเขา ณ ปัจจุบัน แต่ก็ไม่ใช่ของที่ต้องมีเช่นกัน หากมีเวลาเพียงพอละก็ เขาสามารถไปสถานที่อื่น เพื่อตามหาโชคโอกาสที่เหมาะสมกับตัวเอง
หลัวซิวรออยู่ที่นี่ไม่นานนัก ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวัน ก็มีแสงกลดวงหนึ่งบินมาจากที่ไกล ก่อนจะร่วงลงละแวกใกล้เคียงของหุบเขา
“สหายหลัว ให้เจ้าคอยนานเลยนะ”
เมื่อเห็นว่าลิ่งฮู๋จื่อเซวียนมาถึงแล้ว หลัวซิวจึงถอนค่ายกลซ่อนงำออกโดยตรง ก่อนลิ่งฮู๋จื่อเซวียนจะพูดอย่างเกรงใจเล็กน้อย
“ข้ามาถึงก่อนเจ้าไม่กี่ชั่วโมงเอง เราก็เข้ามาในแดนเทียนฮวงระยะหนึ่งแล้ว มากสุดยังเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งเดือนกว่าก็จะถูกส่งออกไปแล้ว”หลัวซิวกล่าวเช่นนี้
ขณะที่เข้ามาในแดนเทียนฮวง บนตัวทุกคนล้วนมีฮู้ติดตัวหนึ่งชิ้น ซึ่งต้องมีฮู้เท่านั้นถึงจะถูกส่งเข้ามาที่นี่ มิเช่นนั้นมาตรแม้นว่าเป็นตัวหลัวซิว ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าจะออกจากที่นี่อย่างไร
ถึงครานั้นหากไม่ถูกส่งออกไป ก็จะถูกจัดว่าผู้ล่วงลับไปแล้ว เมื่อแดนเทียนฮวงปิดลง ก็ยิ่งอย่าคิดว่าจะออกไปได้อีกเลย
“เวลาไม่เคยคอยท่า เราออกตามหาภูเขากรองแก้วมรกตดั้งเดิมบัดนี้เถิด”ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนผงกหัว จุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเข้ามาแดนเทียนฮวงในครั้งนี้ก็คือภูเขาหินแก้วดั้งเดิม ขอแค่ได้รับทรัพยากรจำนวนมาก เขาก็มั่นใจว่าตนสามารถบรรลุถึงแดนเทพมารระดับเจ็ดภายในระยะเวลาสั้น ๆ
เขากรองแก้วมรกตดั้งเดิมคือยอดเขาลูกหนึ่ง เมื่อดูจากลักษณะภายนอก มันก็ดูไม่ต่างอะไรจากยอดเขาทั่วไปเลย ทว่าสิ่งที่มันแตกต่างจากยอดเขาทั่วไปคือในละแวกใกล้เคียงของยอดเขาลูกนั้น มีค่ายกลต้องห้ามที่ประกอบขึ้นมาเองตามธรรมชาติ
ตำแหน่งที่ตั้งของสมบัติส่วนใหญ่ ล้วนจะมีตัวต้องห้ามที่ประกอบขึ้นมาเองตามธรรมชาติ มีเพียงผู้ที่มีศักยภาพเท่านั้นถึงจะได้ครอบครองสมุนไพรสมบัติต่าง ๆ มันจึงไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนสามารถครอบครองได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว
“คนเยอะขนาดนี้เลยหรือ?”
ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนเบิกตากว้าง เดิมทีเขานึกว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่ทราบตำแหน่งของเขากรองแก้วมรกตดั้งเดิมลูกนี้ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเมื่อเขาและหลัวซิวมาถึงที่นี่พร้อมกัน ถึงกับมีคนเกือบสองร้อยคนได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว!
ในจำนวนคนสองร้อยกว่าคนนี้ ส่วนมากล้วนเป็นศิษย์จากตระกูลเทียนฮวง นอกเหนือจากนี้แล้วหลัวซิวยังเห็นเจียนอันเหมินที่นี่ด้วย เจ้าหมอนั่นอยู่ในชุดคลุมยาวสีทองที่ดูมั่งคั่ง จึงดูโดดเด่นมากเมื่ออยู่กลางหมู่คน
ผู้คนที่รวมตัวกัน ณ วินาทีนี้ ล้วนกำลังลงมือโจมตีตัวต้องห้ามที่อยู่รอบเขากรองแก้วมรกตดั้งเดิม
“โชคดีที่ถือว่ายังมาไม่สาย พวกนั้นยังทลายตัวต้องห้ามไม่ได้”ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนกล่าวเช่นนี้
ทว่าทันทีที่สิ้นเสียงเขา ก็มีเสียงที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่นดังก้องอยู่กลางฟ้าดิน ภายใต้การรุมโจมตีจากคนสองร้อยกว่าคน ทำให้ค่ายกลต้องห้ามที่อยู่รอบเขากรองแก้วมรกตดั้งเดิมฉีกกระชากจนเกิดเป็นช่องโหว่หนึ่งจุด
ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว ก็มีออร่าดั้งเดิมที่เข้มข้นแผ่กระจายออกมาจากค่ายกลต้องห้าม ตัวก้อนหินที่อยู่บนภูเขาที่ดูไม่ต่างอะไรจากยอดเขาทั่วไปแตกออก แล้วเผยให้เห็นหินแก้วที่พรั่งพราวดั่งมรกตสีเขียว
“กรองแก้วมรกตดั้งเดิม! ภูเขาที่ใหญ่โตขนาดนี้ แล้วจะขุดหินแก้วออกมาได้มากเท่าไหร่เนี่ย?”
วินาทีนี้ทุกคนล้วนรู้สึกตื่นเต้นดีใจขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ แทบจะภายในเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น ทุกคนล้วนหยุดการโจมตี ก่อนจะพุ่งเบียดเสียดกันเข้าไปในช่องโหว่ของค่ายกลต้องห้าม
ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนก็อยากพุ่งเข้าไปเช่นกัน แต่กลับถูกหลัวซิวยื่นมือออกไปดึงตัวเขาไว้ก่อน ส่ายหน้าแล้วพูดว่า: “อย่าเพิ่งเข้าไป ในค่ายยังมีค่ายอีก!”
“หมายความว่าอย่างไร?”
ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนทำหน้างง แม้นหินแก้วบนเขากรองแก้วมรกตดั้งเดิมจะมีเยอะมาก แต่ถ้าเกิดไปสายละก็ เกรงว่าอาจจะไม่ได้อะไรเลย
“อ๊ากก! ……”
และในเวลานี้เอง ก็มีเสียงกรีดร้องที่น่าเวทนาดังขึ้น จากนั้นก็มีแสงโลหิตพุ่งกระฉูดออกมา ราวกับกลุ่มคนที่พุ่งเข้าไปก่อนถูกดาบกระบี่ที่นับไม่ถ้วนตัดสับจนกลายเป็นเนื้อที่ละเอียด ตายได้น่าอนาถมาก
“ทุกคนระวัง ด้านในยังมีค่ายกลต้องห้ามอีก อีกทั้งยังเป็นค่ายสังหารด้วย!”
คนที่อยู่ด้านหลังรีบหยุดการเคลื่อนไหว วัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศที่สามารถมาถึงที่นี่ได้นั้น โดยส่วนใหญ่แล้วล้วนมีศักยภาพเทพมารระดับเจ็ด ทว่าเมื่อตกอยู่ในค่ายสังหารกลับไม่มีแม้แต่แรงที่จะต่อต้าน ไม่มีผู้ใดกล้าบุกเข้าไปในค่ายกลประเภทนี้หรอกนะ
“ทุกคนร่วมมือกันทลายมันทิ้งซะ ค่ายสังหารทลายง่ายกว่าค่ายกลคุ้มกัน”
จากการที่มีศิษย์คนหนึ่งแห่งตระกูลเทียนฮวงเปิดฉากตะโกนพูดอย่างเสียงดัง ถัดจากนั้นทุกคนก็ลงมือโจมตีพร้อมกัน
ขณะที่ลงมือทลายค่าย แววตาของทุกคนล้วนเพ่งมองเขากรองแก้วมรกตด้ังเดิมอย่างเร่าร้อน ดูจากความสูงและขนาดของยอดเขาลูกนี้แล้ว ถึงแม้จำนวนคนที่อยู่ที่นี่จะมีเกือบสองร้อยคน ถึงครานั้นคนหนึ่งก็สามารถได้รับกรองแก้วมรกตดั้งเดิมหนึ่งแสนกว่าก้อนอยู่
เมื่อนำออร่าดั้งเดิมที่แฝงซ่อนอยู่ในกรองแก้วมรกตดั้งเดิมมาฝึกตน ประสิทธิผลในการฝึกตนจักดีกว่าโอสถแก่นแท้ระดับแปดหลายเท่าตัวเลย กรองแก้วมรกตดั้งเดิมหนึ่งแสนกว่าก้อนดูเหมือนจะไม่เยอะ ทว่าสามารถทำให้เทพมารระดับเจ็ดบรรลุหนึ่งแดนเล็กแน่นอน เทพมารระดับหกยิ่งสามารถใช้โอกาสนี้ทลายพันธนาการของเทพมารระดับเจ็ด!