มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2722 หลงอวี้
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2722 หลงอวี้
พลังฉีกชั้นฟ้าสีดำทองเป็นพลังที่มีบ่อเกิดมาจากดั้งเดิม ซึ่งเช่นนี้ก็หมายความว่าพลังฉีกชั้นฟ้าที่เหมือนดั่งพระอาทิตย์นั่น มีต้นกำเนิดมาจากพลังฉีกชั้นฟ้าในตำนาน
พลังประเภทนี้อยู่เหนือเกณฑ์ทั่วไปแล้ว ซึ่งบรรลุถึงแดนที่อยู่ในระดับเดียวกันจักรวาลเทียนเต้า
หากนำพลังฉีกชั้นฟ้าก้อนนั้นมาฝึกเซ่นเป็นศัสตราวุธของขลัง ต้องสามารถฝึกเซ่นให้มันกลายเป็นของล้ำค่าที่อยู่เหนืออาวุธเทพมหาศักดิ์ได้อย่างแน่นอน
หลัวซิวหกระเหินเดินฟ้าประชิดใกล้เข้าไป ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไหร่ ออร่าพลังเต๋าที่สามารถฉีกกระชากบดขยี้ทุกสรรพสิ่งนั่นก็ยิ่งน่ากลัว ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่ส่งตรงมาจากผิวหนังที่ถูกฉีกกระชาก ราวกับร่างกายจะถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ยังไงอย่างนั้น
ยิ่งกว่านั้นคือภายใต้ผลกระทบจากออร่าพลังเต๋านี้ เวลาและปริภูมิต่างได้รับผลกระทบ เริ่มผันผวนไม่แน่วแน่ สรรพวิชาหลบเลี่ยง!
เมื่ออยู่ภายในขอบเขตที่ออร่าพลังเต๋าพลังฉีกชั้นฟ้าครอบคลุม สรรพวิชาดับสูญ มีเพียงพลังเต๋านี่เท่านั้นที่คงอยู่!
ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็หยุดฝีเท้าลง เนื่องจากเมื่อเดินถึงจุดนี้ ก็มาถึงขีดจำกัดของร่างกายเขาแล้ว แต่ก็ยังคงห่างไกลจากพลังฉีกชั้นฟ้าอีกระยะหนึ่งเลย
ทว่าในเวลานี้ รูม่านตาของหลัวซิวกลับหดลงกะทันหัน เนื่องจากเขาพบว่ามีเงาร่างของคนที่สูงชะลูดกำลังยืนอยู่ข้างพระอาทิตย์สีดำทองที่ผนึกรวมมาจากพลังฉีกชั้นฟ้า เงาร่างดังกล่าวกำลังใช้มือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลัง แล้วหันหลังให้เขา
ตอนแรกที่มาถึงที่นี่ หลัวซิวไม่เห็นคนดังกล่าวแต่อย่างใด และตอนนี้ถึงแม้เขาจะเห็นแล้ว ก็สัมผัสพลังออร่าจากตัวคนดังกล่าวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
เป็นผู้ที่แม้แต่เขาเองก็ยังประเมินศักยภาพไม่ได้ แสดงว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน!
เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามกำลังหันหลังให้ตัวเอง หลัวซิวไม่เห็นบุคลิกลักษณะของฝ่ายตรงข้าม และเขาก็ไม่ได้ใช้ตัวสำนึกแผ่สำรวจเช่นกัน การใช้ตัวสำนึกสำรวจคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอย่างบุ่มบ่าม ง่ายต่อการทำให้ฝ่ายตรงข้ามคิดว่าเรามีเจตนาร้าย
หลัวซิวเพ่งตามองไป เห็นเพียงเงาร่างที่สูงชะลูดนั่นยกมือแล้วคว้าจับไปทางพลังฉีกชั้นฟ้า
มีคลื่นพลังเวทย์ที่ทรงพลังแผ่กระจายออกมาจากตัวเขา แล้วปะทะกับออร่าพลังเต๋าที่บดขยี้ฉีกกระชากทุกสรรพสิ่ง
แม้นพลังฉีกชั้นฟ้าในสถานที่แห่งนี้จะไร้เจ้าของ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ทั่วไปสามารถแตะต้องได้ ดูจากคลื่นพลังเวทย์ที่แผ่กระจายออกมาจากตัวฝ่ายตรงข้าม หลัวซิวสันนิษฐานว่าผลการฝึกตนของคนดังกล่าวน่าจะไม่ค่อยต่างอะไรจากลวี่โหลวอย่างน้อยผลการฝึกตนก็อยู่ที่เทพมารระดับแปดช่วงปลาย
หลัวซิวส่ายหน้า แม้นผลการฝึกตนของคนดังกล่าวจะไม่ต่ำ ทว่าการที่จะครอบครองพลังฉีกชั้นฟ้านั้น ผลการฝึกตนแค่นี้ยังไม่เพียงพอ
“เวิ่งง!”
เตากลั่นนภาจื่อเซียวปรากฏเหนือศีรษะหลัวซิว เมื่อมีเตาเซียนเตานี้คุ้มกันร่าง หลัวซิวก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเยอะมาก ๆ ก้าวเท้าเดินอยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่า แล้วเข้าใกล้สถานที่ที่พลังฉีกชั้นฟ้าผนึกรวมกันต่อ
จากการที่เขายิ่งอยู่ยิ่งเข้าใกล้ จู่ ๆ ฝีเท้าเขาก็หยุดลงอีกครั้ง มีความแปลกใจเสี้ยวหนึ่งทะลุออกมาจากแววตา
จากความมั่นคงในตัวธรรมของเขา การที่สามารถทำให้เขาแสดงสีหน้าแปลกใจออกมาได้นั้น เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นเลยว่าเขาต้องประสบพบเจอกับเรื่องที่เหลือเชื่ออย่างแน่นอน
และในความเป็นจริงมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะหลังจากที่หลัวซิวประชิดใกล้เข้าไปอีกนิดหนึ่งแล้ว หลัวซิวก็เห็นว่ามีเงามนุษย์ร่างหนึ่ง นั่งท่าขัดสมาธิอยู่ในพลังฉีกชั้นฟ้าที่มีรัศมีสีดำทองเป็นประกายระยิบระยับ!
ซึ่งเงาร่างดังกล่าวอยู่ในชุดคลุมยาวสีทอง อยู่ในท่านั่งขัดสมาธิมาโดยตลอด ปล่อยวิชาตราประทับที่มหัศจรรย์ออกมาจากมือทั้งสองข้าง แล้วกุมมือวางไว้ตรงจุดตันเถียน หลับตาทั้งสองข้าง ไม่มีพลังออร่าใด ๆ รั่วไหลออกมาเลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้จะไม่มีพลังออร่าแม้แต่น้อย ทว่าแค่พลังเต๋าของพลังฉีกชั้นฟ้าก็ทำให้เขายากที่จะประชิดใกล้แล้ว ลองคิดดูว่าถ้าเกิดร่างอยู่ในพลังฉีกชั้นฟ้า จักยังมีผู้ใดในโลกปัจจุบันสามารถต้านทานได้?
“หรือจะเป็นร่างแท้ของชางเทียนเลี่ยในตำนาน?”มีความเป็นไปได้นี้ผุดขึ้นมาในใจ แม้แต่ผู้ที่ใจเย็นอย่างหลัวซิวก็ใจเย็นต่อไปไม่ได้แล้ว
มาตรแม้นว่าจากประสบการณ์ของไท่ซ่างฉิงเมื่อชาติปางก่อน ก็ไม่เคยเห็นร่างสวรรค์มาก่อนเลย เขาทราบแค่ว่าชางเทียนหมิงถูกฝังอยู่ในโลงศพเทวที่กลายมาจากร่างเนื้อของผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานเก้าท่าน
ในยุคไท่ชูอันเก่าแก่ ณ ช่วงเวลาที่สวรรค์ทุกองค์ปกครองโลกหล้า จะมีผู้แข็งแกร่งบำเพ็ญปรปักษ์ที่นับไม่ถ้วนต่อต้านสวรรค์อยู่เสมอ และยุคสมัยที่ชางเทียนเลี่ยปกครองได้สิ้นสุดลงตั้งนานแล้ว ซึ่งดับสลายสูญสิ้นมายาวนานอย่างไม่รู้จบแล้ว
ในโลกหล้านี้ ไม่มีผู้ใดสามารถมีชีวิตคงอยู่ชั่วนิรันดร์ สวรรค์ทำไม่ได้ จ้าววัฏสงสารก็ทำไม่ได้เช่นกัน
ส่วนวินาทีนี้ สายตาคู่นั้นของคนที่หุ่นร่างสูงชะลูดนั่น ก็จับจ้องไปทางวิชาตราประทับที่ถูกมือทั้งสองข้างของชางเทียนเลี่ยกุมอยู่ตรงจุดตันเถียน
“เคล็ดเซียนฉีกชั้นฟ้า……”เขาพูดพึมพำคนเดียว ไม่มีการปิดบังเลยแม้แต่น้อย หลัวซิวที่ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ห่างออกไปไม่ไกลจากเขาย่อมต้องได้ยินอย่างชัดแจ๋วอยู่แล้ว
ขณะที่หลัวซิวเพิ่งมาถึงที่นี่เขาก็สัมผัสได้แล้ว แต่เขาแค่ไม่นำมาใส่ใจ ในเมื่อเขาสามารถเดินมาถึงจุดนี้ ผู้อื่นก็ย่อมสามารถเดินมาถึงจุดนี้ได้
เขาค่อย ๆ หันหน้ากลับไป เป็นครั้งแรกที่เขามองมาทางหลัวซิว ซึ่งเวลานี้หลัวซิวก็มองเห็นบุคลิกลักษณะของฝ่ายตรงข้ามแล้ว ใบหน้าของเขาคือชายหนุ่มที่สีหน้าอารมณ์เย็นชาคนหนึ่ง
“ของขลังไม่เลวเลยนี่!”
เขามองหลัวซิวรอบหนึ่ง จากนั้นสายตาก็สังเกตเห็นเตากลั่นนภาจื่อเซียวที่อยู่เหนือศีรษะหลัวซิว เพียงแวบเดียวก็ดูออกแล้วว่าเตาเซียนนี้ไม่ธรรมดา
“ผู้เพื่อนยุทธ์ชมเกินไปแล้ว”หลัวซิวอมยิ้ม ถึงแม้คนดังกล่าวจะชมว่าของขลังของเขาไม่เลว ทว่าสายตากลับสงบเรียบนิ่งมาโดยตลอด ไม่มีจิตที่โมภเลยแม้แต่น้อย
“ผลการฝึกตนของเจ้าเป็นเพียงเทพมารระดับหก แต่กลับมีของขลังที่ดีเช่นนี้ แสดงให้เห็นเลยว่าเจ้าก็น่าจะเป็นบุคคลที่กลับชาติมาเกิดเช่นกัน”
“เช่นกัน? พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าผู้เพื่อนยุทธ์เป็นเฉกเช่นเดียวกันหรือ?”
หลัวซิวยังคงอมยิ้มอยู่เช่นเคย ประโยคที่เขาพูดออกมา ก็ถือเป็นการตอบกลับคำถามของฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน
“ข้าชื่อหลงอวี้”ชายที่หุ่นร่างสูงชะลูดพูดอย่างเย็นชา
“ข้าชื่อหลัวซิว”หลัวซิวก็บอกชื่อของตัวเองเช่นกัน
ทว่าทั้งสองต่างรู้ดีอยู่ว่าสิ่งที่พวกเขาพูดถึงไม่ใช่ชื่อของชาติปางก่อน แต่เป็นของชาตินี้
หลงอวี้ก็ไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะสืบเสาะชาติปางก่อนของหลัวซิวเช่นกัน สายตาของเขายังคงจับจ้องไปทางเตากลั่นนภาจื่อเซียวอยู่เช่นเคยแล้วถาม: “สหายหลัว เจ้าและข้ามาร่วมมือกันเป็นอย่างไร?”
ไม่รอให้หลัวซิวได้สอบถาม หลงอวี้ก็เป็นฝ่ายที่บอกก่อนแล้วว่า “ข้าเพิ่งปลุกตื่นความทรงจำได้ไม่นาน ในมือก็ไม่มีของขลังที่เหมาะสมด้วย แต่ทว่าระดับขั้นของเตาเซียนนี้ของสหายหลัวสูงมาก หากเจ้าและข้าร่วมมือกันกระตุ้นละก็ น่าจะสามารถเอาพลังฉีกชั้นฟ้าของสถานที่แห่งนี้ออกมาได้ส่วนหนึ่งอยู่”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลัวซิวก็รู้แล้วว่าหลงอวี้ก็รู้จักพลังฉีกชั้นฟ้าของที่นี่เช่นกัน ซึ่งเข้าใจสถานที่แห่งนี้มากกว่าเขาเสียอีก
“ได้อยู่แล้วสิ”หลัวซิวก็ไม่มีความลังเลใจใด ๆ พยักหน้าตอบตกลง ท้ายที่สุดแล้วผลการฝึกตนของเขาก็ต่ำไปหน่อย หากควบคุมเตากลั่นนภาจื่อเซียวด้วยศักยภาพของเขาเพียงคนเดียว การที่จะเอาพลังฉีกชั้นฟ้าของสถานที่แห่งนี้ไปนั้น ระดับความยากก็ค่อนข้างสูงเลย
“สหายหลงเข้าใจชางเทียนเลี่ยมากเท่าไหร่หรือ?”หลัวซิวเผลอถามอย่างเรื่อยเปื่อย “สถานที่แห่งนี้มีนามว่าเขาผีเก้า ที่หนึ่งคือเขาผีเก้า อีกที่หนึ่งคือนิรยะเพชฌฆาต……”
หลงอวี้ต้องรู้อยู่แล้วว่าหลัวซิวอยากถามอะไร เขาก็ไม่ได้ลังเลใจเช่นกัน ก่อนจะตอบกลับ: “เมื่อหลายแสนล้านปีก่อน เคยมีผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานปะทะกับชางเทียนเลี่ยอย่างยิ่งใหญ่ ณ ที่แห่งนี้ หลังจากสิ้นสุดการปะทะในครั้งนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็ดับสลายสูญสิ้น สถานที่ที่ชางเทียนเลี่ยดับสูญกลายเป็นเขาผีเก้า”
หลงอวี้ไม่ได้อธิบายละเอียดมากนัก แต่ไม่ต้องอธิบายลึกก็เข้าใจในความหมายแล้ว ในเมื่อเขาผีเก้าเป็นสถานที่ที่ชางเทียนเลี่ยดับสูญ เช่นนั้นนิรยะเพชฌฆาตก็น่าจะเป็นสถานที่ที่ผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานท่านนั้นดับสูญแล้วล่ะ
ทั้งสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หลัวซิวก็ไม่ได้ถามอะไรมาก ก่อนจะโบกมือเรียกเตากลั่นนภาจื่อเซียวออกมาแล้วพูด: “รบกวนผู้เพื่อนยุทธ์ช่วยข้าอีกแรงหนึ่งด้วยนะ”
หลงอวี้พยักหน้า พลังเวทย์ผลการฝึกตนที่อยู่รอบกายเชี่ยวกราก เรียกเตากลั่นนภาจื่อเซียวออกมาพร้อมกับหลัวซิว พยายามเก็บพลังฉีกชั้นฟ้า
“ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ……”
พลังฉีกชั้นฟ้าและเตากลั่นนภาจื่อเซียวพุ่งชนกันอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้เตาเซียนเตานี้จะเป็นของล้ำค่าพรสวรรค์ระดับเก้า แต่ก็ถูกพลังฉีกชั้นฟ้าที่น่าสยดสยองพุ่งชนจนรูปร่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่องอยู่ดี หากเปลี่ยนเป็นสมบัติอื่น ๆ เกรงว่าคงถูกฉีกกระชากจนกลายเป็นฝุ่นผงไปตั้งนานแล้ว
หลัวซิวและหลงอวี้ทั้งสองคนต่างทุ่มสุดกำลังสามารถแล้ว กระทั่งผลการฝึกตนแทบจะแห้งเหือด เตากลั่นนภาจื่อเซียวถึงจะเก็บพลังฉีกชั้นฟ้าสีดำทองมาได้เสี้ยวหนึ่งเท่านั้น แล้วกดอัดผนึกมันไว้ในเตาเซียน
“กวง! กวง! กวง!”
เตาเซียนสั่นสะเทือนอย่างไม่หยุดหย่อน พลังฉีกชั้นฟ้าที่อยู่ด้านในอยากหลุดพ้นออกมาจากด้านใน ราวกับมีธาตุทิพย์ยังไงอย่างนั้น
ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรเลย ต่างคนต่างนั่งท่าขัดสมาธิ เริ่มฟื้นฟูผลการฝึกตนที่เสียหายไป มีพลังฉีกชั้นฟ้าอยู่ที่นี่หนึ่งก้อน จึงไม่มีทางจากไปหลังจากที่เก็บมาได้เสี้ยวหนึ่งอยู่แล้ว
หลัวซิวไม่รู้ว่าความเป็นมาของหลงอวี้ว่าเป็นอย่างไรกันแน่ ตอนแรกเริ่มเขายังสันนิษฐานอยู่เลยว่าคนดังกล่าวเป็นร่างของผู้แข็งแกร่งแห่งยุคที่ปะทะกับชางเทียนเลี่ยกลับชาติมาเกิด ทว่าเมื่อเห็นหลงอวี้ฝึกตน เกณฑ์ออร่าพลังเต๋าที่เขาฝึกไม่ใช่ธาตุเพลิงอัคคีแต่อย่างใด
ทั้งสองคนพูดคุยกันน้อยมาก ๆ หลังจากผ่านไปครึ่งเดือนกว่า ก็เก็บพลังฉีกชั้นฟ้ามาได้เท่ากำปั้นเด็กทารกเท่านั้น
เมื่อเปรียบเทียบกับพลังฉีกชั้นฟ้าที่เหมือนดังพระอาทิตย์สีดำทองที่แวววาว ทั้งหมดที่พวกเขาทั้งสองได้รับจากการร่วมมือกัน ก็ยังไม่เท่าขนเส้นเดียวของวัวเก้าตัวเลย
“สหายหลง หากเจ้าและข้าจะเก็บพลังฉีกชั้นฟ้าทั้งหมดของที่นี่ไปละก็ เกรงว่าใช้เวลาหลักร้อยปีก็ใช่ว่าจะทำได้เสมอไป”หลัวซิวค่อย ๆ เอ่ยปากพูด
“สหายหลัวพูดถูก ดังนั้นข้าก็วางแผนที่จะออกจากที่นี่แล้ว แม้นข้าจักไม่ทราบว่าชาติปางก่อนของสหายหลัวเป็นผู้แข็งแกร่งจากที่ใด แต่ในเมื่อเจ้าสามารถกลับชาติมาเกิดผ่านวัฏสงสาร แสดงว่าต้องไม่ใช่คนทั่วไปอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นสำหรับเจ้าและข้าแล้ว เรื่องสำคัญเร่งด่วนที่ต้องจัดการในทันทีก็คือยกระดับผลการฝึกตนของตนเอง”
หลงอวี้ค่อย ๆ ลุกตัวขึ้นแล้วพูด: “ข้าวางแผนที่จะฝึกให้ถึงเทพมารระดับเก้าก่อนค่อยกลับมาอีกหน สหายหลัวเจ้าล่ะ เจ้ามีแผนการอย่างไรบ้าง?”
“แผนการของข้าก็ย่อมเป็นอย่างสหายหลงอยู่แล้ว แต่ข้าคิดว่าสหายหลงน่าจะฝึกตนถึงแดนเทพมารระดับเก้าเร็วกว่าข้า เกรงว่าพลังฉีกชั้นฟ้าของที่นี่คงจะถูกสหายหลงเอาไปหมดแล้วล่ะ”หลัวซิวพูดในเชิงล้อเล่น
แม้นผลการฝึกตนของหลงอวี้นี่จะสูงกว่าเขามาก ๆ แต่หลัวซิวรู้ตัวเองดีอยู่ว่าถึงแม้จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ แต่ก็สามารถถอยกลับไปได้อย่างปลอดภัยแน่นอน
และดูเหมือนสภาพจิตใจของหลงอวี้นี่ก็สูงส่งมากเช่นกัน ถึงแม้ผลการฝึกตนของเขาจะเป็นเพียงเทพมารระดับหก แต่ก็ไม่มีความตั้งใจที่จะลงมือต่อเขา เพื่อแก่งแย่งทรัพย์สมบัติ
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น เมื่อเห็นว่าเขาคือเทพมารระดับหกคนหนึ่งแต่กลับมีสมบัติล้ำค่าในมือ เก้าในสิบต้องเกิดความโมภอย่างแน่นอน
“มันก็ไม่เสมอไปหรอก ทว่าหากข้ามาถึงที่นี่ก่อนสหายหลัวละก็ จักเหลือไว้ให้เจ้าส่วนหนึ่งแน่นอน”หลงอวี้อมยิ้มอย่างหาดูได้ยาก
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หวังว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีกนะ!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง หลงอวี้ก็ไม่พูดมากอะไรอีกแล้ว นำพลังฉีกชั้นฟ้าครึ่งหนึ่งที่แบ่งไปจากหลัวซิว ก่อนจะหันหลังแล้วจากไป
“ชางเทียนเลี่ย เคล็ดเซียนฉีกชั้นฟ้า?”
หลัวซิวมองเงาร่างมนุษย์ที่ผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ในพลังฉีกชั้นฟ้ารอบหนึ่ง รู้สึกเสียดายเล็กน้อย ปัจจุบันสิ่งที่เขาขาดแคลนมากที่สุดก็คือเวลา มิเช่นนั้นละก็เขาอยากเก็บพลังฉีกชั้นฟ้าของที่นี่ พลางศึกษาเรียนรู้วิชาตราประทับที่ชางเทียนเลี่ยปลดปล่อยออกมามาก ๆ อนุมานความลึกลับและมหัศจรรย์ของเคล็ดเซียนฉีกชั้นฟ้า
วิถีไร้ลักษณ์ของเขามีเคล็ดเซียนมหาศักดิ์สองประเภทที่มาปรับให้สมบูรณ์มากกว่าเดิมแล้ว หากมีเคล็ดเซียนระดับสวรรค์อีกหนึ่งประเภท ต้องสามารถทำให้เขาได้รับดอกผลที่มากกว่าแน่นอน