มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2725 ฮวงหวูจี๋
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2725 ฮวงหวูจี๋
หลัวซิวไม่รู้จักชายหนุ่มชุดแพรนั่นแต่อย่างใด ถึงแม้จะไม่มีพลังออร่าที่แข็งแกร่งแผ่กระจายออกมาจากตัวฝ่ายตรงข้าม แต่หลัวซิวก็สัมผัสคลื่นพลังออร่าได้ลาง ๆ อยู่ดี
เขาสามารถดูออกอยู่ว่าอายุของชายหนุ่มคนนั้นต้องไม่มากอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นคือระยะเวลาที่ฝึกตนก็ไม่เกินหนึ่งหมื่นปี แต่ผลการฝึกตนของเขากลับอยู่ในแดนเทพมารระดับแปดขั้นปฐมภูมิแล้ว!
หากเป็นเทพมารระดับแปดขั้นปฐมภูมิทั่วไป หลัวซิวก็ยังไม่ถึงขั้นต้องเก็บมาใส่ใจ ทว่าชายหนุ่มคนนี้กลับทำให้เขาสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันเสี้ยวหนึ่ง!
เทพมารระดับแปดขั้นปฐมภูมิที่สามารถทำให้หลัวซิวสัมผัสได้ถึงแรงกดดันนั้น สามารถพูดได้เลยว่ามีน้อยมากถึงมากที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้เลยว่าชายหนุ่มชุดแพรนี่ต้องเป็นบุคคลอัจฉริยะขั้นสุดยอดแน่นอน อีกทั้งฝึกการสืบสานที่ทรงพลัง มีพรสวรรค์เป็นเลิศ!
ต่อให้วรยุทธ์สืบสานที่ฝึกจะทรงพลังมากเพียงใด หากไม่มีพรสวรรค์ปัญญาที่แข็งแกร่ง ก็ไม่มีทางฝึกสำเร็จเช่นกัน ในหมู่วัยรุ่น ถึงแม้จะนำลิ่งฮู๋จื่อเซวียนมาเปรียบเทียบกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนก็ยังด้อยกว่าหนึ่งระดับ
“ไม่คุ้นหน้าสหายท่านนี้เลย น่าจะไม่ใช่จอมยุทธ์ที่อยู่ในดินแดนเขตกลางแห่งโลกร้างสินะ?”
ผลการฝึกตนของชายหนุ่มชุดแพรแข็งแกร่ง ทว่ากลับไม่ได้อาศัยที่ผลการฝึกตนตนสูงกว่าแล้วดูหมิ่นดูแคลนผู้อื่น เขาประสานมือทำท่าคารวะไปทางหลัวซิวพลางยิ้มพลางพูด: “ข้าน้อยฮวงหวูจี๋มาจากเมืองต้าฮวงโบราณ ไม่นึกเลยว่าผลการฝึกตนของผู้เพื่อนยุทธ์เป็นเพียงเทพมารระดับหก แต่กลับมีความสามารถในการสังหารเทพมารระดับแปดแล้วอย่างนั้นหรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว หลัวซิวก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มคนนี้ต้องได้ยินเรื่องราวของสำนักเสว่หยูแน่นอน
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์เก่งแห่งเมืองต้าฮวงโบราณนี่เอง ข้าน้อยหลัวซิว”หลัวซิวก็ทำท่าคารวะกลับเช่นกัน “ข้ามิใช่คนในเขตกลางแห่งโลกร้างจริง ๆ ข้ามาจากอาณาจักรตะวันออก”
“เจ้าคือหลัวซิวหรอกหรือ?”รูม่านตาของฮวงหวูจี๋หดลง “ได้ยินมาว่ามีอัจฉริยะคนหนึ่งอุบัติขึ้นมาในการคัดเลือกอัจฉริยะแห่งตระกูลเทียนฮวง ซึ่งก็มีนามว่าหลัวซิวเช่นกัน หรือว่าเขาคนนั้นก็คือเจ้า?”
หลัวซิวนึกไม่ถึงเลยว่าชื่อเสียงของตัวเองจะแพร่งพรายจากอาณาจักรเหนือมาถึงเขตกลาง สำหรับเรื่องนี้นั้น เขาก็ไม่มีอะไรน่าปิดบังเช่นกัน ดังนั้นจึงพยักหน้า
“สหายหลัวสามารถสังหารเทพมารระดับแปด จึงแสดงให้เห็นเลยว่าศักยภาพไม่ธรรมดา หวูจี๋อยากประลองกับสหายหลัวเล็กน้อยแล้วเนี่ย ไม่ทราบว่าสหายหลัวยินดีประลองกับข้าหรือไม่?”
แม้นจักถามความคิดเห็นของหลัวซิว แต่น้ำเสียงของฮวงหวูจี๋กลับทำให้คนฟังรู้สึกปฏิเสธไม่ได้
ยังไม่ทันสิ้นเสียงเขา พลังออร่าบนตัวฮวงหวูจี๋ก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามจังหวะ ราวกับอสูรโหดโบราณที่ฟื้นตื่นขึ้นมา
หลัวซิวสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยว่าร่างกายของลาร์บีบแน่นขึ้น แสดงให้เห็นเลยว่าแค่พลังออร่าของฮวงหวูจี๋นี่ ก็ทำให้ลาร์รู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจแล้ว
หากได้ต่อสู้กันจริง ๆ อ้างอิงจากการคำนวณของหลัวซิว แม้นลาร์จักมีศักยภาพราชาเทพระดับเจ็ด แต่ก็ต้านทานกระบวนท่าหนึ่งของฮวงหวูจี๋นี่ไม่ได้แน่นอน
ยักษ์ตรีภพแข็งแกร่งมาตั้งแต่กำเนิด ทว่าข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวก็คือเจริญเติบโตช้าเกินไป เมื่อรวมกับระยะเวลาที่ถูกผนึกอยู่ในมหาค่ายกักชีวีเทวโทษเวหากาล ลาร์ก็ถือว่ามีชีวิตมานานหนึ่งยุคตรีภพกว่าแล้ว ทว่าสุดท้ายแล้วศักยภาพของเขาก็เป็นเพียงราชาเทพระดับเจ็ด ซึ่งยังไม่เคยมีการพัฒนาเลยแม้แต่น้อย
“ผู้เพื่อนยุทธ์รับกระบวนท่าของข้าหนึ่งท่า หมัดต้าฮวง!”
พลังออร่าบนตัวฮวงหวูจี๋พุ่งถึงขีดสูงสุดในรวดเดียว เห็นเพียงเขาค่อย ๆ ก้าวเท้าขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แต่กิริยาท่าทางกลับเร่งถึงขีดสูงสุดภายในเสี้ยววินาที ราวกับในฟ้าดินผืนนี้เหลือเพียงกำปั้นเดียว กำลังพุ่งสังหารมาทางหลัวซิว
“ตู้มม!”
ณ วินาทีนี้ มีคลื่นพลังที่แข็งแกร่งส่งตรงมาจากหัวใจหลัวซิว เลือดปราณมากมายมหาศาลที่อยู่รอบกายเริ่มโคจร ร่างเทวระดับแปดถูกโคจรอย่างบ้าคลั่ง ยันต์ค่ายทั้งหลายปรากฏบนผิวหนังชั้นนอก ก่อนที่เขาจะกระโดดขึ้นฟ้า
“หมัดจ้านเทียน!”
ถัดจากนั้นวินาทีต่อไป กำปั้นทั้งสองก็พุ่งชนกันดั่งดาวหางสองดวง
ชี่จิ้งที่น่าสยดสยองระเบิดออกมา แม้แต่อนัตตายังต้านทานแรงกดอัดที่มากมายมหาศาลนี้ไม่ไหว จนเริ่มพังทลายเป็นชิ้น ๆ รอยร้าวขนาดใหญ่แผ่กระจายไปถึงสุดปลายขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว ทำให้ลาร์เบิกตากว้าง ภาพเหตุการณ์นี้เหมือนสวรรค์ที่ปกคลุมแผ่นดินถูกฉีกกระชากยังไงอย่างนั้น
มีเงาดำสองร่างบินออกมาจากอนัตตาที่พังทลายพร้อมกัน ร่างกายของหลัวซิวร่วงลงบนยอดเขาลูกหนึ่ง เสี้ยววินาทีที่เท้าทั้งสองข้างย่ำลงพื้น ยอดเขาลูกนี้ก็พังทลายจนกลายเป็นฝุ่นผงภายในพริบตา
ฮวงหวูจี๋ก็ร่วงลงบนตำแหน่งที่ห่างออกไปไกลเช่นกัน ฝ่าเท้าคู่หนึ่งย่ำลงบนพื้นจนทำให้พื้นแตกร้าว แล้วสั่นสะเทือนอย่างไม่หยุดหย่อน
“ช่างเป็นร่างเนื้อที่แข็งแกร่งยิ่งนัก!”ฮวงหวูจี๋ใช้มือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลัง นิ้วมือทั้งห้าบิดงอไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง ทว่าบนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มที่สุขุมอยู่เช่นเคย
“เจ้าก็ไม่ต่างจากข้าเท่าไหร่หรอก”หลัวซิวก็รู้สึกปวดกระดูกนิ้วเช่นกัน แต่ทว่าสำหรับเขาแล้ว ความเจ็บปวดระดับนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ตั้งนานแล้ว
“สหายหวูจี๋ เจ้าก็ลองรับกระบวนท่าหนึ่งของข้าดู!”ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หลัวซิวก็หกระเหินเดินฟ้า จิตสังหารอันมากมายมหาศาลและไร้ขอบเขตผนึกรวมกันอยู่กลางฝ่ามือทั้งสองข้างของเขา ก่อนจะกลายเป็นหอกยุทธ์สีแดงเลือดหนึ่งเล่ม
“ช้าก่อน!”
ในขณะที่หลัวซิวกำลังจะลงมืออยู่นั้น จู่ ๆ ฮวงหวูจี๋ก็เอ่ยปากพูด “ศักยภาพของสหายหลัวเกะกะระราน แซ่ฮวงรู้สึกเลื่อมใสอย่างยิ่ง จากความเห็นของข้า เราไม่จำเป็นต้องต่อสู้กันอีกแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลัวซิวก็รู้สึกหมดคำจะพูดเล็กน้อย ดูเหมือนฮวงหวูจี๋ไม่ได้มีท่าทีที่จะเป็นศัตรูกับเขาแต่อย่างใด ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามพูดเช่นนี้แล้ว เขาย่อมลงมือต่อไม่ได้อยู่แล้ว
หลัวซิวทำให้หอกยุทธ์สีแดงเลือดที่อยู่ในมือสลายหายไป ฮวงหวูจี๋รู้สึกโล่งอก จากการประมือในเมื่อครู่นี้ เขาก็รู้แล้วว่าศักยภาพของหลัวซิวนี่ไม่ด้อยกว่าเขา หากไม่ใช่เพราะไร้ทางเลือกจริง ๆ เขาไม่อยากไม่จบไม่สิ้นกับคนประเภทนี้หรอกนะ
“สหายหลัว ช่างไม่รู้เสียจริงว่าเจ้าฝึกตนอย่างไรกันแน่ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปดช่วงปลายก็ต้านทานหมัดหนึ่งของข้าไม่ได้ แต่ดูเหมือนร่างเนื้อของเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าข้าเล็กน้อยด้วย”
ฮวงหวูจี๋ยิ้มอย่างขมขื่นพลางดึงมือข้างขวาที่ไขว้อยู่ด้านหลังออกมา ลักษณะนิ้วมือทั้งห้าเปลี่ยนไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะกลัวขายหน้า วินาทีนี้เขาคงตะโกนร้องว่าเจ็บมากออกมาแน่นอน
“สหายหวูจี๋ชมเกินไปแล้ว หมัดต้าฮวงของเจ้าก็ไม่ธรรมดามากเลยนะ”หลัวซิวพูดอย่างถ่อมตัว
ฮวงหวูจี๋เห็นว่าหลัวซิวไม่ได้ใช้อำนาจบาตรใหญ่เพราะอยู่เหนือตนหนึ่งระดับ จึงรู้สึกดีต่อเขาขึ้นมากะทันหัน ก่อนจะยิ้มพลางพูด: “หากสหายหลัวไม่รังเกียจละก็ ข้าขอเชิญเจ้าไปดื่มที่เมืองต้าฮวงโบราณสักแก้วเป็นอย่างไร?”
สำหรับเมืองต้าฮวงโบราณนั้น หลัวซิวเมื่อชาติปางก่อนก็พอเข้าใจอยู่บ้าง ฮวงหวูจี๋คนนี้ก็ทำให้เขารู้สึกไม่เลวเช่นกัน ดังนั้นจึงพยักหน้า “ในเมื่อสหายหวูจี๋เชื้อเชิญ แซ่หลัวย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว”
ฮวงหวูจี๋หัวเราะเสียงดัง “ฮ่าฮ่า การที่ได้เป็นมิตรสหายกับคนอย่างสหายหลัวนั้น เป็นเกียรติยศของฮวงหวูจี๋ข้า เชิญ!”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ฮวงหวูจี๋ก็เรียกเรือรบออกมาหนึ่งลำ ก่อนลอยตัวขึ้นฟ้า เขาไม่ได้เชิญให้หลัวซิวขึ้นเรือ นั่นเป็นเพราะหลัวซิวมียักษ์อัสนีเป็นสัตว์ที่ใช้ขี่อยู่แล้ว ซึ่งนั่นมันมาดเท่กว่าเรือรบลำนี้ของเขามากเชียวนะ
ลาร์มีร่างกายที่สูงหลายพันเมตร ความเร็วในการเคลื่อนที่ไม่ช้ากว่าเรือรบแม้แต่น้อย ทั้งสองคนพลางมุ่งหน้าไปยังเมืองต้าฮวงโบราณ ฮวงหวูจี๋พลางพูดอย่างทอดถอนใจ: “สหายหลัว ร่างเนื้อของเจ้าเกะกะระรานถึงขีดสุด ในทั้งเขตกลางแห่งโลกร้าง เกรงว่าในเด็กรุ่นใหม่คงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับเจ้าได้”
“โอ๊ะ? ไม่ทราบว่าในบรรดาเด็กรุ่นใหม่ของเขตกลางแห่งโลกร้าง มียอดฝีมือแบบใดบ้างหรือ?”หลัวซิวยิ้มพลางถาม
เขาเพิ่งมาเขตกลางแห่งโลกร้างเป็นครั้งแรก ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ของที่นี่ แต่ฮวงหวูจี๋กลับฝึกตนอยู่ที่นี่มานานหลายปี จึงต้องทราบข้อมูลที่มีประโยชน์ไม่น้อยอยู่แล้ว
“ยังไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ๆ เมื่อไม่นานมานี้มีสตรีผู้เก่งกาจนางหนึ่งอุบัติขึ้นมาอย่างไร้เทียมทาน นางแทบจะเป็นผู้ไร้เทียมทานในหมู่วัยรุ่นยุคใหม่เลย!”ฮวงหวูจี๋ถอนหายใจแล้วพูด
“สตรี?”หลัวซิวยักคิ้วทีหนึ่ง ในบรรดาสตรีผู้เก่งกาจของโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด เขาก็รู้จักแค่ชีชีคนเดียวเท่านั้น ส่วนชีชีมาจากโลกจักรภพ ก่อนหน้านี้ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนก็บอกเช่นกันว่านางไม่ได้มาโลกร้างแต่อย่างใด
“ใช่แล้ว สตรีนางดังกล่าวมีนามว่าฮู๋ชิงชิง เล่ากันว่าฝึกจนบรรลุเป็นอสูรฟ้าร่างแท้แล้ว ซึ่งเก่งกาจอย่างยิ่ง!”
“ฮู๋ชิงชิง?”เมื่อหลัวซิวได้ยินคำพูดนี้ ก็มีความแปลกใจทะลุออกมาจากแววตา เนื่องจากเขาไม่ได้ไม่คุ้นเคยต่อชื่อดังกล่าว ยิ่งกว่านั้นคือยังมีความทรงจำช่วงหนึ่งที่ลืมยากด้วย
กระทั่งบัดนี้เขาก็ยังคงจำได้อยู่ว่าครั้นเมื่อเขากลับไปยังโลกแสงดาว เคยมีความคิดที่จะพาฮู๋ชิงชิงเดินทางไปยังมหาโลกายอดอัมพรพร้อมกัน แต่นางปฏิเสธ บอกว่าจะแสวงหารอยเท้าที่เขาเคยเดิน
ฮู๋ชิงชิงรู้สึกกับเขายังไง หลัวซิวต้องทราบเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แต่ทว่า ณ เวลานั้น สตรีที่อยู่ข้างกายเขามีเยอะมากแล้ว ส่วนเขาก็ไม่อยากคิดเรื่องความรักระหว่างหนุ่มสาวมากเกินไปเช่นกัน นางเป็นสตรีที่อ่อนแอคนหนึ่ง แต่กลับอยากค่อย ๆ แสวงหารอยเท้าที่เขาเคยเดิน ซึ่งมันต้องเป็นเส้นทางที่ลำบากอย่างยิ่งแน่นอน
ตอนแรกเริ่มหลัวซิวก็ไม่ได้ใส่ใจเช่นกัน ไม่มีผู้ใดเข้าใจดีไปมากกว่าเขาแล้วว่าระหว่างทางที่เขาเดินมานั้นมันยากลำบากมากเพียงใด และเขาก็ไม่เชื่อเช่นกันว่าฮู๋ชิงชิงจะทำได้
อีกทั้งจากพรสวรรค์ของฮู๋ชิงชิง มากสุดก็แค่สามารถบรรลุถึงแดนราชาเทพมกุฎเทพ
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้หลัวซิวยิ่งคาดไม่ถึงคือ เขาจะได้ยินชื่อที่ซ้ำกันในเขตกลางแห่งโลกร้าง
เขาจำได้ว่าฮู๋ชิงชิงก็เป็นร่างอสูรฟ้าเช่นกัน ส่วนฮู๋ชิงชิงที่อยู่ที่นี่กลับฝึกจนบรรลุเป็นอสูรฟ้าร่างแท้ หรือว่าระหว่างทั้งสองมีความเกี่ยวโยงกัน?
หลัวซิวไม่ได้พูดอะไร ฮู๋ชิงชิงทั้งสองคนจะมีความเกี่ยวโยงกันหรือไม่นั้น คอยเขาได้พบหน้าฝ่ายตรงข้าม ก็จะทราบเรื่องทุกอย่างเอง
จากการสนทนากับฮวงหวูจี๋หลัวซิวจึงเข้าใจสถานการณ์ในเขตกลางแห่งโลกร้างโดยคร่าว ๆ กองกำลังในเขตกลางแห่งโลกร้างสลับซับซ้อน ซึ่งมีสำนักและตระกูลแข็งแกร่งคงอยู่เยอะมาก
ยกตัวอย่างเช่นเมืองต้าฮวงโบราณที่ฮวงหวูจี๋อยู่ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของตระกูลฮวง และความเป็นมาของตระกูลฮวงก็เก่าแก่มาก ต้องท้าวความก่อนว่าชื่อของโลกาห้วงดาราแห่งนี้ ก็ตั้งมาจากคำว่าฮวงซึ่งมีความหมายว่าร้างนี่แหละ
ขณะที่เป็นไท่ซ่างฉิงเมื่อชาติก่อน เขาเคยได้ยินตำนานเรื่องเล่าที่เก่าแก่ ซึ่งเล่ากันว่าครั้นเมื่อยังไม่กำเนิดจักรวาล มีเพียงตรีภพที่ไร้ขอบเขต และมีบรรพเทพมารแปดท่านถูกหล่อเลี้ยงออกมาจากตรีภพ โดยแบ่งออกเป็นสวรรค์ ใต้ดิน เสวียน เหลือง จักรวาล จักรภพ ท่วมท้นและร้าง!
ชื่อและสมญานามแดนเทพมารก็มีต้นกำเนิดมาจากตำนานนี้นี่แหละ โลกมหาศักดิ์ทั้งแปดในภายหลัง ก็เล่ากันว่าเป็นโลกที่บรรพเทพทั้งแปดบุกเบิกเช่นกัน
ส่วนตระกูลฮวง เป็นตระกูลที่เจริญรุ่งเรืองตั้งแต่ยุคไท่ชูแล้ว เล่ากันว่าเป็นรุ่นหลังของบรรพเทพฮวง!
ในภพชาติของไท่ซ่างฉิง หลัวซิวเคยคบค้าสมาคมกับตระกูลฮวงอยู่ บางทีอาจเป็นเพราะตำนานของบรรพเทพทั้งแปดท่าน ทำให้ตั้งแต่โบราณกาลมาในโลกร้างมีผู้แข็งแกร่งโผล่ขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย ต่างเคารพรักตระกูลฮวงอยู่ห่าง ๆ น้อยมากที่จะมีผู้แข็งแกร่งมีปัญหากับตระกูลฮวง
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง หลัวซิวก็มาถึงเมืองต้าฮวงโบราณพร้อมกับฮวงหวูจี๋ซึ่งเป็นเหมือนความทรงจำเมื่อชาติปางก่อนของเขาทุกประการเลย หลังจากกาลเวลาผ่านพ้นไปอย่างยาวนาน สภาพของเมืองต้าฮวงโบราณไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย ชาติก่อนหลังจากเขาฝึกตนถึงผู้สูงส่งแล้ว ก็เคยมาที่นี่ครั้งหนึ่ง เมื่อนั้นเขาก็ดูออกแล้วว่าทั้งเมืองต้าฮวงโบราณคือของล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่มีพลานุภาพเป็นหนึ่ง หากคูเมืองแห่งนี้ถูกกระตุ้น มาตรแม้นว่าเป็นเขาที่เป็นผู้สูงส่งเมื่อชาติปางก่อน ก็ต้านทานไว้ไม่ได้!
ตกลงภูมิฐานของตระกูลฮวงลึกแน่นมากเพียงใดนั้น ไม่มีผู้ใดทราบเลย ตั้งแต่โบราณกาลมา เมืองต้าฮวงโบราณแห่งนี้ก็ไม่เคยถูกกระตุ้นเช่นกัน ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าตระกูลฮวงจะมีความสามารถกระตุ้นพลานุภาพที่เป็นหนึ่งของของขลังชิ้นนี้ได้หรือไม่
ทุกอย่างเป็นเรื่องที่ไม่อาจทราบได้ แต่ไม่มีผู้ใดกล้ามารุกรานตระกูลลึกลับนี้ง่าย ๆ แน่
“ฮ่าฮ่า สหายหลัว และนี่ก็คือเมืองต้าฮวงโบราณ!”ฮวงหวูจี๋มองเห็นความตะลึงงันจากแววตาหลัวซิว จึงพูดด้วยความอวดดีเล็กน้อย “ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งแบบใดมาถึงเมืองต้าฮวงโบราณครั้งแรก ก็ล้วนต้องรู้สึกตะลึงงันทั้งนั้นแหละ เนื่องจากเมืองโบราณนี้ของตระกูลฮวงเรา มีประวัติศาสตร์คงอยู่มาร่วมกับโลกร้าง มาตรแม้นว่าอยู่ในยุคสมัยที่จ้าววัฏสงสารปกครองหมื่นจักรวาล เมืองต้าฮวงโบราณของข้าก็สูงตระหง่านและมั่นคงดั่งขุนเขา!”