มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2737 การแข่งขันอย่างยุติธรรม
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2737 การแข่งขันอย่างยุติธรรม
สักพักหลังจากนั้น เขาก็ได้พบสถานที่รกร้างแห่งหนึ่ง พูดให้ถูกหน่อยคือสนามรบแห่งหนึ่ง ซึ่งมีซากปรักหักพังเกลื่อนกลาด มองเห็นเพียงความถูกทำลาย ร่องเหวขนาดใหญ่สายแล้วสายเล่าปรากฏให้เห็นได้ทุกที่ และยังมีชิ้นส่วนอาวุธของขลัง โครงกระดูกเทพมารมากมาย ทำให้คนยากที่จะจินตนาการได้ว่าสงครามที่เกิดขึ้นนั้นรุนแรงน่าเวทนาถึงเพียงใด
หลัวซิวเดินเข้าสู่สนามรบแห่งนี้โดยไม่ลังเล วินาทีที่เดินเข้ามา เขาก็รู้สึกได้ว่าพลังชีวิตของเขากำลังไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย เหมือนดั่งว่าในสนามรบแห่งนี้มีปีศาจร้ายตัวหนึ่งซ่อนอยู่ ดูดกลืนพลังชีวิตของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในที่แห่งนี้
“สรรพวิถีล้วนว้าง!”
หลัวซิวกล่าวขึ้นมา แสงเทวแวววาวสาดส่องออกมาจากร่างกายของเขา จุดที่แสงเทวสาดส่องนั้น ทุกสรรพสิ่งกลายเป็นความว่างเปล่า กฎและเกณฑ์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ล้วนไม่มีอยู่
“เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!……”
หลัวซิวได้ยินเสียงกระบี่ดังขึ้นในที่ห่างไกลออกไป ตัวสำนึกแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ก็พบว่ามีกระบี่เล่มหนึ่งลอยอยู่ในอากาศ ปล่อยปราณกระบี่ร่วงหล่นลงมาสายแล้วสายเล่า คุ้มครองกลุ่มคนที่อยู่ภายใต้อานุภาพของกระบี่
ในขณะเดียวกัน ตัวสำนึกของหลัวซิวก็ได้มองเห็นตำหนักปีศาจแห่งหนึ่งเคลื่อนไปในสนามรบอย่างกำเริบเสิบสาน แม้ว่ายู่ช่าโหมวจวินจะเป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง ทว่าผลการฝึกตนกับสูงส่งไร้ที่เปรียบ รัศมีกลืนกินพลังแห่งชีวิต ล้วนถูกตำหนักปีศาจต้านทานเอาไว้ที่ด้านนอก
ไม่ว่าจะเป็นรัศมีพลังเต๋ายู่ช่าโหมวจวิน หรือรัศมีพลังเต๋าของพรายสาวสรรค์ฮู๋ชิงชิง หลัวซิวล้วนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกพิเศษบางอย่าง เพราะรัศมีพลังเต๋าของพวกนางแตกต่างไปจากสรรพวิชา คนธรรมดาทั่วไปอาจพบเห็นได้ยาก แต่เขากลับสัมผัสได้อย่างเข้าใจ เพราะเขาเป็นผู้บำเพ็ญปรปักษ์
การค้นพบเช่นนี้ ทำให้หลัวซิวเดาออกได้ว่า แดนศักดิ์สิทธิ์วิถีมารในโลกร้าง น่าจะเป็นกองกำลังที่สร้างขึ้นโดยผู้บำเพ็ญปรปักษ์ จากไท่ชูจนถึงปัจจุบัน ผู้บำเพ็ญปรปักษ์ก็ดำรงอยู่มาโดยตลอด สืบทอดกันมาทุกยุคทุกสมัย
ทันใดนั้นเอง เหมือนหลัวซิวจะเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดฮู๋ชิงชิงถึงได้ต้องการชิ้นส่วนของกงล้อวัฏจักรธรรมจากเขา ผู้บำเพ็ญปรปักษ์กับภูตสวรรค์และจ้าววัฏสงสารพูดได้ว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตในชะตาชีวิต
“เช่นนี้นี่เอง” หลัวซิวเข้าใจแล้วว่าเหตุใดฮู๋ชิงชิงถึงบอกว่าอยากจะช่วยตนเอง บางทีในสายตาของฮู๋ชิงชิง นางไม่หวังว่าเพราะเรื่องของกงล้อวัฏจักรธรรม วันใดวันหนึ่งผู้บำเพ็ญปรปักษ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีมารจะมาหาเรื่องเขา
ดูจากท่าทีที่ยู่ช่าโหมวจวินปฏิบัติต่อเขา เห็นได้ชัดว่าไม่รู้ว่าเขามีกงล้อวัฏจักรธรรมอยู่ และนั่นก็หมายความว่าฮู๋ชิงชิงไม่ได้ขายความลับบนร่างกายของเขา
เมื่อคิดเข้าใจเรื่องพวกนี้ ทำให้ส่วนลึกภายในหลัวซิววางใจฮู๋ชิงชิงขึ้นมามาก รู้ว่าที่ผ่านมานั้นเข้าเข้าใจผิดนางไป
จากการตอบสนองและสัมผัสของสมบัติเทพสงครามทั้งสาม สนามรบแห่งนี้ ก็คือที่ซ่อนสมบัติแน่แล้ว หากเดาไม่ผิดละก็ศูนย์ควบคุมของถ้ำปริศนาแห่งนี้ ก็น่าจะตั้งอยู่ที่นี่
แม้ว่าผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารระดับเก้าพวกนั้นจะไม่มีสมบัติเทพสงครามทั้งสาม แต่ละคนนั้นต่างก็มีประสบการณ์มากมาย ด้วยการคาดคะเนจากเบาะแส ก็ได้ตามหาที่แห่งนี้เจอ และนี่ก็ทำให้หลัวซิวเข้าใจดีว่า เขาอยากจะได้รับโชคชะตาโอกาสสูงสุดในแดนปริศนาแห่งนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไรนัก
แม้ว่าผลการฝึกตนของเขาจะบรรลุถึงแดนเทพมารระดับเจ็ด แต่การฝึกตนในวิถีมารยิ่งเข้าสู่ช่วงหลัง ระยะห่างก็จะยิ่งสูง สำหรับเขาการดำรงอยู่ในขั้นเทพมารระดับเก้า ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ยากเหมือนเดิม
แต่หลัวซิวก็ไม่ได้กลัว โอกาสโชคชะตาต่างก็ต้องอาศัยความพยายามของตนเอง เขากล้าแย่งยาเซียนพรสวรรค์มาจากมือของเทียนซ่าเเจินจวิน จากนั้นค่อยควบคุมพลังทั้งหมดของถ้ำปริศนาแห่งนี้ภายใต้จมูกของบรรดาเทพมารระดับเก้า ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?
อาศัยพลังอมตะสรรพวิถีล้วนว้างคุ้มครองกาย หลัวซิวเหยียบย่ำอยู่บนสนามรบอันเก่าแก่แห่งนี้ มองเห็นร่องรอยของการต่อสู้มากมาย
ในช่วงเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา เจ้าของของถ้ำปริศนาแห่งนี้ต้องเคยสู้กับศัตรูที่ร้ายกาจอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน ดูจากร่องรอยการต่อสู้ที่ทิ้งเอาไว้ เจ้าของแดนปริศนาคงเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ แต่ก็ต้องเป็นชัยชนะที่เหี้ยมโหดอย่างแน่นอน
“ครืนนน!”
ทันใดนั้นเอง หลัวซิวมองเห็นกระบี่เทพลอยข้ามท้องฟ้าอยู่ไกลออกไป ชายชุดดำผู้หนึ่งยืนถือกระบี่ลอยอยู่กลางอากาศ กำลังต่อสู้กับยู่ช่าโหมวจวินอย่างดุเดือด
จากนั้น บรรดาผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าอย่างเลี่ยโหวเจินจวิน เทียนซ่าเเจินจวินต่างพากันปรากฏตัวขึ้น เกิดเป็นการต่อสู้กันอย่างดุเดือดชุลมุนขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าผู้แข็งแกร่งที่สามารถมาที่แห่งนี้ได้ล้วนแล้วแต่รู้ว่าที่นี่คือจุดสำคัญของถ้ำปริศนาแห่งนี้ ดังนั้นจึงได้ ดังนั้นจึงได้เปิดการแย่งชิงล่วงหน้า
ในส่วนลึกของสนามรบแห่งนี้ มีหอคอยเทวสีดำทองอยู่แห่งหนึ่ง น่าจะเป็นสถานที่ที่เคยใช้ฝึกตนของเจ้าแห่งถ้ำปริศนาแห่งนี้
บรรดายอดผู้แข็งแกร่งต่อสู้กันอย่างดุเดือด ผู้แข็งแกร่งวัยรุ่นจำนวนมากภายใต้บังคับบัญชาของพวกเขาต่างพากันแสดงวิชาท่าร่าง เซ่นของขลังออกมาคุ้มครองกาย มุ่งหน้าเข้าไปยังหอคอยเทว
หลัวซิวมองเห็นฮู๋ชิงชิง และยังมองเห็นตู๋กููเทียนหยากับหยุนยี่เทียน ฮวงหวูจี๋เองก็อยู่ในนั้นด้วย
“ตึง!”
หลัวซิวสองเท้าเหยียบพื้น ร่างยุทธ์ร่างเนื้ออันแข็งแกร่งได้ปรากฏออกมาอย่างชัดเจนในวินาทีนี้ เขาเร่งความเร็วถึงขีดสุด เหมือนดั่งมังกรดุร้ายที่กำลังบินโฉบ มุ่งหน้าเข้าไปยังหอคอยเทวดำทองซึ่งอยู่ส่วนลึกของสนามรบ
“สวบ!”
แสงกระบี่อันแวววาวสายหนึ่งฟันเข้ามา หลัวซิวยกมือต่อยออกไปหนึ่งหมัด ประกายไฟกระจัดกระจาย
แม้ว่าหมัดของเขาจะได้ต่อยแสงกระบี่แตกสลาย ทว่าความเร็วในการเคลื่อนไหวไปด้านหน้ากลับได้ถูกขัดขวาง และห่างออกไปไม่ไกลนัก ฮู๋ชิงชิงก็ได้ถูกหยุนยี่เทียนกับฮวงหวูจี๋ร่วมมือกันโจมตี
แม้พวกเขาจะรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างฮู๋ชิงชิงกับหลัวซิว แต่โชคชะตาโอกาสของถ้ำปริศนาแห่งนี้ไม่ธรรมดา เมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์ ความสัมพันธ์นั้นย่อมตกเป็นรอง
“ตู๋กููเทียนหยา เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า หลบไป!” หลัวซิวมองตู๋กููเทียนหยาอย่างเย็นชา แล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ผู้ฝึกกระบี่อย่างข้า ไม่เคยกลัวศัตรูผู้ร้ายกาจ” ตู๋กููเทียนหยามือถือกระบี่ยุทธ์ แต่ละก้าวเต็มไปด้วยไอสังหาร แสงกระบี่มืดฟ้ามัวดิน ปกคลุมหลัวซิวเอาไว้
“ฮึ!”
หลัวซิวสีหน้าเคร่งขรึมลง แสงของร่างเนื้อร่างเทวสาดส่อง ตอนที่ผลการฝึกตนของเขายังอยู่ในแดนเทพมารระดับหกขั้นสูงสุด ตู๋กููเทียนหยาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแล้ว ตอนนี้เขาได้บรรลุถึงแดนเทพมารระดับเจ็ด ตู๋กููเทียนหยาก็ยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาไปกันใหญ่
“ตราสรรพสิทธิ์ !”
หลัวซิวไม่ได้ใช้ของขลังศัสตราวุธใด ๆ เลย เขาโจมตีเข้าไปด้วยวิชาตราประทับ แสดงพลังอมตะออกมานับไม่ถ้วน
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!……
แสงกระบี่สายแล้วสายเล่าได้สลายไปภายใต้การกดทับของตราสรรพสิทธิ์ การเคลื่อนไหวของหลัวซิวรวดเร็วดั่งฝนดาวตก ได้มาถึงด้านหน้าของตู๋กููเทียนหยาภายในชั่วพริบตา
“ไสหัวไป!”
หลัวซิวตวาด เหมือนดั่งฟ้าผ่า ยกมือซัดออกไป กดทับเข้าไปหาตู๋กููเทียนหยาที่อยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อมมือ
“กระบี่สับอนัตตา!”
ตู๋กููเทียนหยาเองก็ได้แสดงพลังอมตะที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาอย่างไม่ลังเล กระบี่ในมือของเขาได้แสดงเจตนาวิถีกระบี่ที่นางสะพรึงกลัวอย่างสุดขีดออกมา
ทว่ารัศมีพลังเต๋าของเจตนาวิถีกระบี่กับเกณฑ์แห่งวิถีกระบี่พวกนี้เพิ่งจะหลั่งไหลออกมา หลังจากกระทบเข้ากับแสงเทวที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของหลัวซิว ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เหมือนดั่งว่าภายใต้การสาดส่องของพลังเทวเหล่านี้ พลังอมตะวิชาเวทย์ต่าง ๆ นานาต่างก็ไม่สามารถแสดงออกมาได้
ตู๋กููเทียนหยาตะลึงหน้าเปลี่ยนสี ไม่รอให้เขารู้สึกตัว เขาก็ถูกฝ่ามือของหลัวซิวกดทับลงมาบนศีรษะ ร่างของเขาลอยถอยออกไปในทันที ม่านโลหิตกระจายออกมาจากร่าง เลือดสด ๆ ไหลอาบไปทั่วร่าง
“ครั้งที่แล้ว ข้าเห็นแก่ที่เจ้าเป็นทายาทของสหายเก่าถึงได้ไว้ชีวิตเจ้า ครั้งนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าอีกครั้ง แต่ผิดได้ไม่เกินสามครั้ง ข้าไม่หวังว่ามันจะมีครั้งต่อไป!” หลัวซิวกวาดสายตามองตู๋กููเทียนหยาอย่างเย็นชา จากนั้นก็กลายร่างเป็นเหมือนดั่งฝนดาวตก ลอยมุ่งหน้าเข้าไปยังหอคอยเทว
ตู๋กููเทียนหยาอ้าป่กและกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง มองดูแผ่นหลังที่จากไปของหลัวซิวด้วยแววตาอันซับซ้อน เขารู้ว่าช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในเมื่อสักครู่ หลัวซิวได้ยั้งมือให้แล้ว ไม่เช่นนั้นละก็ฝ่ามือนั้นของเพียงพอที่จะทำให้ร่างของเขาแหลกเป็นผุยผุง ตัวตายเต๋าสลาย
ต่อให้เป็นเช่นนี้ ยอดหัวกะโหลกของเขาก็ยังเกิดเป็นรอยร้าว ซึ่งนี่เป็นสถานการณ์ที่หลัวซิวยั้งมือแล้ว
“สหายหลัวช้าก่อน!”
เห็นหลัวซิวลอยเข้ามาในอากาศ หยุนยี่เทียนร้องเรียกขึ้นมาเสียงดัง: “หวังว่าสหายหลัวจะยกชะตาโอกาสของที่แห่งนี้ให้ข้าน้อย ในอนาคตข้าน้อยต้องตอบแทนอย่างสาสม!”
หลัวซิวได้ยินเช่นนี้ ก็ได้หยุดฝีเท้าลง เงยหน้ามองไปยังหยุนยี่เทียน กล่าวอย่างเรียบ ๆ : “สหายหยุน ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนก็ไม่ได้ใกล้ชิดอะไรนัก โอกาสอยู่ตรงหน้า เจ้าอยากให้ข้ายกให้เจ้า ข้าก็อยากให้เจ้าถอยให้ข้า เจ้าจะทำเช่นไรหรือ?”
เหมือนดั่งที่หลัวซิวกล่าวมา ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหยุนยี่เทียนไม่ได้ลึกซึ้ง และยังได้รู้จักผ่านฮวงหวูจี๋
เมื่อคำพูดนี้ถูกพูดออกมา สีหน้าของหยุนยี่เทียนก็ดูไม่ค่อยดีนัก เขาเองก็รู้ว่าข้อเรียกร้องของตนมันเกินไปบ้าง อย่างไรเสียเมื่ออยู่ตรงหน้าชะตาโอกาส ใครบ้างที่ไม่อยากได้? แล้วตนถืออะไรให้หลัวซิวถอยให้?
“สหายหวูจี๋ เจ้ากับข้าพึ่งพบแต่รู้สึกเหมือนรู้จักกันมานาน ข้าเห็นเจ้าเป็นสหาย แต่ฮู๋ชิงชิงก็เป็นสหายของข้าเหมือนกัน นอกจากนี้นางยังเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ ตอนนี้เจ้ากลับลงมือกับนาง มันหมายความว่าเช่นไรกันหรือ?” หลัวซิวหันไปหาฮวงหวูจี๋แล้วกล่าว
“ข้า……” ฮวงหวูจี๋ชะงักงัน ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรไปชั่วขณะ
ฮู๋ชิงชิงลอยตัวลงมาที่ข้างกายของหลัวซิว ส่งเสียงฮึหนึ่งครั้ง กล่าว: “หากไม่เห็นแก่ว่าพวกเจ้าสองคนเป็นสหายของพี่ใหญ่ข้า ข้าก็คงลงมือสังหารพวกเจ้าไปนานแล้ว”
หลัวซิวไม่ได้อธิบายอะไร มองดูฮวงหวูจี๋กับหยุนยี่เทียนแวบหนึ่ง กล่าวอย่างเรียบ ๆ : “โอกาสอยู่ตรงหน้า ทุกคนต่างอาศัยความสามารถของตัวเอง ท่านทั้งสองคิดเองก็แล้วกัน”
พูดยังไม่ทันขาดคำ หลัวซิวก็พลันหายไปจากตรงนั้น เข้าไปในหอคอยเทวก่อน พร้อมกับฮู๋ชิงชิง
หอเทวแห่งนี้มีทั้งหมดสามชั้น ในชั้นแรกนั้นเป็นสถานที่กว้างขวางแห่งหนึ่ง มีศัสตราวุธของขลังฉายพลังอันแรงกล้าลอยอยู่มากมาย ไม่นึกเลยว่าจะมีศัสตราวุธระดับเก้าอยู่ถึงสิบกว่าชิ้น!
เพียงแต่ว่าของวิเศษอย่างศัสตราวุธระดับเก้านั้นไม่ได้มีแรงดึงดูดอะไรมากนักสำหรับหลัวซิว ฮู๋ชิงชิงเองก็ไม่ขาดสมบัติประเภทนี้ ทั้งสองคนสบตากัน แล้วเดินขึ้นไปยังชั้นที่สองอย่างไม่ลังเล
แค่ชั้นที่หนึ่งก็มีของวิเศษอย่างศัสตราวุธระดับเก้าอยู่แล้ว เช่นนั้นในชั้นที่สองย่อมมีสมบัติที่ล้ำค่ากว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
ศัสตราวุธของขลังภายในพื้นที่ชั้นสองนั้นมีจำนวนน้อยกว่าเล็กน้อย แต่มีระดับที่สูงกว่าในชั้นแรกมากนัก แต่ละชิ้นล้วนเป็นศัสตราวุธระดับเก้าชั้นสูง แถมยังมีสองสามชิ้นที่อยู่ในระดับชั้นยอด
ศัสตราวุธระดับเก้าแบ่งเป็นล่าง กล่าว สูง และชั้นยอดสี่ระดับ สอดคล้องกับแดนฝึกตนเทพมาระดับเก้าตั้งแต่ขั้นปฐมภูมิจนถึงขั้นสูงสุด สูงขึ้นไปอีก ก็จะเป็นศัสตราวุธราชาเทพระดับเก้า
ศัสตราวุธระดับเก้าชั้นยอด มีเพียงผู้แข็งแกร่งแดนเทพมารระดับเก้าขั้นสูงถึงจะสามารถกลั่นมันออกมาได้ ต่อให้เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ในที่ต่าง ๆ ก็รับรองว่ามีอยู่ไม่มาก เห็นได้ว่าล้ำค่ายิ่งนัก
ทว่าหลัวซิวกลับยังคงไม่สนใจ และมุ่งหน้าตรงขึ้นไปยังชั้นสาม
ถึงชั้นที่สาม กลับไม่มีศัสตราวุธของขลังใด ๆ อยู่เลย มีเพียงป้ายบัญชาการชิ้นหนึ่ง ลอยอยู่กลางอากาศ
ป้ายบัญชาการชิ้นนี้มีขนาดใหญ่ เป็นเหมือนดั่งยอดเขาสีดำตั้งสูงตระหง่าน แผ่ซ่านรัศมีพลังอันแข็งแกร่งออกมา
“ป้ายบัญชาการถ้ำ!” ฮู๋ชิงชิงดวงตาเป็นประกายขึ้นมา กล่าว: “เพียงแค่กลั่นแปรป้ายบัญชาการนี้ ก็จะกลายเป็นเจ้าของแดนปริศนาแห่งนี้ ถึงเวลานั้นก็จะสามารถระดมพลังของทั่วทั้งแดนปริศนาเพื่อนำมาใช้ได้ กระทั่งที่ว่าสามารถรับมือกับผู้แข็งแกร่งราชาเทพขั้นเก้าได้ด้วย”
ในตอนนี้เอง เงาร่างอีกสามสายก็ได้มาถึงชั้นสามเช่นเดียวกัน หยุนยี่เทียนกระโดดลอยตัวขึ้นมาอย่างไม่ลังเล พุ่งเข้าไปหาป้ายบัญชาการถ้ำชิ้นนั้น
“สหายหลัว เจ้าพูดถูก! โอกาสอยู่ตรงหน้า ทุกคนต่างอาศัยความสามารถของตนเอง ข้าหวังว่าไม่ว่าผู้ใดได้รับชะตาโอกาสนี้ไป เมื่อออกไปแล้วพวกเรายังเป็นสหายกัน!” เสียงของหยุนยี่เทียนดังลอยเข้ามในหูของหลัวซิว
เห็นได้ชัด เขาไม่อยากสละชะตาโอกาสที่อยู่ในนี้ไป แต่ก็ไม่อยากผิดใจกับหลัวซิว ดังนั้นจึงได้เสนอการแข่งขันอย่างยุติธรรมออกมา