มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2738 ด้านหลังประตูหิน
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2738 ด้านหลังประตูหิน
เมื่อมาถึงพื้นที่ชั้นสาม สายตากับความสนใจของทุกคนต่างได้ถูกป้ายบัญชาการถ้ำดึงดูดไปภายในทันที
หยุนยี่เทียนได้ลงมือเป็นคนแรก พุ่งเข้าไปหาป้ายบัญชาการถ้ำ ฮู๋ชิงชิงก็พุ่งเข้าไปเช่นกัน แต่กลับถูกฮวงหวูจี๋กับหยุนยี่เทียนร่วมมือกันขวางเอาไว้
สำหรับการที่ทั้งสามคนแย่งชิงป้ายบัญชาการถ้ำในที่แห่งนี้ หลัวซิวไม่ได้เข้าไปร่วมด้วย สายตาของเขามองข้ามป้ายบัญชาการถ้ำไป จับจ้องไปยังส่วนลึกของชั้นสาม
ในส่วนลึกของสถานที่แห่งนี้ มีประตูหินอยู่แห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าใช้สำหรับไปที่แห่งใด
“สวบ!”
เงาร่างของหลัวซิวหายไปจากตรงนั้น จากนั้นก็มีระลอกคลื่นเกิดขึ้นในอากาศ ร่างของเขาได้มาปรากฏตรงหน้าประตูหินเป็นที่เรียบร้อย
ประตูหินแห่งนี้ดูแสนธรรมดา ทว่าตัวสำนึกของหลัวซิวกลับสัมผัสได้ถึงลายค่ายตัวต้องห้ามอย่างหนาแน่น ลายค่ายตัวต้องห้ามแต่ละสายในสถานที่แห่งนี้ล้วนทรงพลัง ด้วยแดนการฝึกตนในตอนนี้ของเขาไม่สามารถทำลายได้เลย
กระทั่งที่ว่าหากสัมผัสเข้ากับตัวต้องห้ามที่อยู่บนประตูโดยไม่ระวัง เกรงว่าต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งราชาเทพขั้นเก้า ล้วนต้องเกลียดชังคับแค้นสถานที่แห่งนี้
“ในถ้ำปริศนาของเทพมารระดับเก้าแห่งตระกูลเทพสงครามท่านหนึ่ง มีสถานที่เช่นนี้อยู่ได้อย่างไร?”
หลัวซิวจับจ้องตาเขม็ง ความสงสัยปรากฏขึ้นมาในแววตา สายตากับตัวสำนึกของเขากวาดผ่านไปบนประตูหินอย่างละเอียด ในตอนที่เขามองเห็นรอยเว้าสามแห่ง สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย
บนประตูหินมีรอยเว้าอยู่สามแห่ง ข้างบนแห่งหนึ่ง ข้างล่างแห่งหนึ่ง ตรงกลางแห่งหนึ่ง
รอยเว้าที่ด้านบน ขนาดของมัน ใกล้เคียงกับยันต์เทพสงคราม รอยเว้าที่ตรงกลาง หากแทงหอกเทพสงครามลงไป ก็มีขนาดพอดี ส่วนรอยเว้าที่อยู่ด้านล่างสุดนั้น มีขนาดพอดีกับเสื้อเกราะเทพสงครามเมื่อแปลงเป็นแผ่นเสื้อเกาะ
“บังเอิญหรือ? ไม่ใช่อย่างแน่นอน!”
แววตาของหลัวซิวเคร่งขรึมขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้เขาถึงเข้าใจ ยันต์เทพสงคราม หอกเทพสงคราม เกราะเทพสงครามของวิเศษทั้งสามชิ้นนี้ไม่ได้ง่ายอย่างการเปิดถ้ำควบคุมแดนปริศนาเท่านั้น ประตูเทพแห่งนี้ ถึงเป็นจุดสำคัญ!
“ครืนนน!”
ทันใดนั้นเอง พลังอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งเต็มไปด้วยจิตอสูรได้กระจายออกมาในชั้นสามของหอคอยเทว
ฮู๋ชิงชิงขับเคลื่อนฤทธิ์เทวอสูรฟ้าที่อยู่ในร่างกาย รัศมีพลังของนางได้ไต่ขึ้นถึงระดับที่ทัดเทียมได้กับเทพมารระดับเก้าภายในพริบตา เพียงสะบัดมือก็ซัดจนฮวงหวูจี๋กับหยุนยี่เทียนลอยออกไป
นี่ยังเป็นเพราะฮู๋ชิงชิงเห็นแก่หน้าของหลัวซิวถึงไม่ได้ลงมือขั้นเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นละก็ด้วยพลังที่ฤทธิ์เทวอสูรฟ้ามอบให้ ต่อให้ฮวงหวูจี๋กับหยุนยี่เทียนมีศัสตราวุธระดับเก้าคุ้มครองกาย หากไม่ตายก็ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก
ฮู๋ชิงชิงส่งเสียงฮึเบา ๆ กระโดดลอยตัวขึ้น แล้วลอยลงที่บริเวณใกล้เคียงกับป้ายบัญชาการถ้ำ วางฝ่ามือลงไปด้านบน ฤทธิ์เทวอสูรฟ้าทะลักออกมา ไหลเข้าไปในป้ายบัญชาการถ้ำชิ้นนั้น แล้วเริ่มการกลั่นแปร
ฮวงหวูจี๋กับหยุนยี่เทียนรู้ว่าแย่งป้ายบัญชาการถ้ำมาไม่ได้แล้ว แม้ว่าที่ตรงกลางระหว่างคิ้วของฮวงหวูจี๋จะมีพลังอมตะระดับราชาเทพสายหนึ่งซ่อนอยู่ แต่หากใช้พลังอมตะนี้ออกมา ก็จะกลายเป็นการต่อสู้แบบตายกันไปข้างหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงได้ห้ามความวู่วามเช่นนี้เอาไว้
ในชั้นที่สามแห่งนี้นอกจากป้ายบัญชาการถ้ำแล้ว ยังมีเขาหินแก้วดั้งเดิมอยู่แห่งหนึ่ง และเขาหินแก้วดั้งเดิมแห่งนี้ยังไม่ใช่กรองแก้วมรกตธรรมดาทั่วไป แต่เป็นกรองแก้วม่วง!
เพียงแต่ว่าตอนเข้ามาในตอนแรกนั้น ทุกคนต่างถูกป้ายบัญชาการถ้ำดึงดูดความสนใจไปจนหมด เขากรองแก้วม่วงดั้งเดิมแห่งนี้ จึงถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่สอง
ในตอนนี้ฮู๋ชิงชิงกำลังใช้พลังทั้งหมดในการกลั่นแปรป้ายบัญชาการถ้ำ ขอเพียงกลั่นแปรป้ายบัญชาการถ้ำได้สำเร็จ นางก็จะกลายเป็นเจ้าของถ้ำปริศนาแห่งนี้ ควบคุมพลังทั้งหมดที่อยู่ด้านใน
พอถึงตอนนั้นเกรงว่าอยู่ที่นี่แม้แต่เทพมารระดับเก้าก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง ดังนั้นก่อนที่ฮู๋ชิงชิงจะกลั่นแปรป้ายบัญชาการถ้ำได้สำเร็จ จะต้องรีบออกไปจากแดนปริศนาแห่งนี้โดยเร็ว และก่อนที่จะออกไปนั้น ย่อมต้องนำสมบัติบางอย่างออกไปด้วยถึงจะได้!
ทว่าในตอนที่ฮวงหวูจี๋กับหยุนยี่เทียนกำลังจะมีการเคลื่อนไหวนั่นเอง เงาร่างของหลัวซิวก็ได้ปรากฏขึ้นที่ข้าง ๆ เขากรองแก้วม่วงดั้งเดิม เขายื่นมือออกไปคว้า กระบี่ร่องฟ้าก็ปรากฏขึ้นมาในมือของเขา ฟันกระบี่ตัดเขากรองแก้วม่วงดั้งเดิมลูกนั้นออก เป็นชิ้น ๆ เหมือนดั่งภูเขาลูกเล็ก ถูกเขาเก็บเข้าสู่แหวนเก็บของ
“สหายหลัว เหลือไว้ให้กันบ้างสิ!”
ฮวงหวูจี๋ร้องตะโกนพลางวิ่งเข้าไป เขากับหยุนยี่เทียนยังไม่ทันจะเหาะไปถึงเขากรองแก้วม่วงดั้งเดิม เขากรองแก้วม่วงก็ได้ถูกหลัวซิวเก็บเอาไปถึงสี่ส่วนแล้ว
หลัวซิวก็ไม่ได้ฮุบสมบัติพวกนั้นให้เป็นของตนเองเพียงคนเดียว เขาได้เก็บเอาเขากรองแก้วม่วงดั้งเดิมไปสี่ส่วน อีกสามส่วนนั้นเหลือไว้ให้ฮวงหวูจี๋กับหยุนยี่เทียน
จากนั้น หลัวซิวก็เหาะลงไปที่ชั้นสองและชั้นหนึ่ง ในสองชั้นนี้ยังมีศัสตราวุธระดับเก้าอยู่ไม่น้อย ถึงแม้เขาจะมีกระบี่ร่องฟ้า เตากลั่นนภาจื่อเซียว หรือแม้กระทั่งของวิเศษสำคัญอย่างศิลาเทวชิงเทียนอยู่แล้ว แต่วิชากลั่นร่างกลืนเศษณ์ของเขาของต้องการพละกำลังของศัสตราวุธของขลังอีกจำนวนมาก
ที่ชั้นสองนั้นล้วนเป็นศัสตราวุธระดับเก้าชั้นสูง และศัสตราวุธระดับเก้าชั้นยอดที่มีอยู่เพียงสามสี่ชิ้น หลัวซิวไม่โลภมากเลยสักนิด โบกมือเก็บเอาไปสี่ส่วน
ส่วนที่เหลือหกส่วน ฮวงหวูจี๋กับหยุนยี่เทียนแบ่งกันคนละครึ่ง บนใบหน้าของทั้งสองต่างปรากฏแววปีติยินดีออกมา แม้จะชิงป้ายบัญชาการถ้ำมาไม่ได้ แต่พวกเขาต่างก็ได้รับทรัพย์สมบัติไปจำนวนมาก
ในตอนที่หลัวซิวเตรียมจะลงไปชั้นหนึ่งนั่นเอง จู่ ๆ ก็สัมผัสได้ถึงพลังคลื่นอย่างรุนแรงและรัศมีพลังการต่อสู้กันของผู้แข็งแกร่งดังมาจากพื้นที่ในชั้นหนึ่ง
“เทพมารระดับเก้าพวกนั้นก็เข้ามาแล้ว” ฮวงหวูจี๋กับหยุนยี่เทียนมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังจากเทพมารระดับเก้าจำนวนมากได้เข้ามาหากพบว่าพวกเขาได้เก็บสมบัติไปจนหมดแล้ว เกรงว่าคงต้องพบกับปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน
แม้ว่าเมืองหยุนหลงก็มีเทพมารระดับเก้ามาที่นี่เหมือนกัน แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เพียงคนเดียวไม่มีทางต้านทานการล้อมโจมตีของเทพมารระดับเก้าจำนวนมากได้
หลัวซิวย่อมสัมผัสได้อยู่แล้ว เขาเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงสุดขึ้นไปยังชั้นสามของหอคอยเทวอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็มุ่งตรงไปยังประตูหิน
ถึงตอนนั้นหยุนยี่เทียนกับฮวงหวูจี๋ย่อมมีเทพมารระดับเก้าของเมืองหยุนหลงคอยปกป้องอยู่แล้ว ส่วนฮู๋ชิงชิงก็มียู่ช่าโหมวจวินคอยคุ้มกัน มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่ไม่มีที่พึ่งใด ๆ เลย ถึงตอนนั้นบรรดาผู้แข็งแกร่งเทพมารจะดับเก้าจักต้องลงมือกับเขาโดยไม่เกรงใจอย่างแน่นอน
เวลานี้เขาอยากไปจากหอคอยเทวแห่งนี้มันเป็นไปไม่ได้แล้ว ดังนั้นเส้นทางเดียวของเขา ก็คือบุกเข้าไปในประตูหินบานนั้น
“สวบ!”
ยกมือขึ้นสะบัด ลำแสงสามสายลอยออกมาจากแหวนเก็บของ แยกฝังเข้าไปในรอยเว้าทั้งสามจุด
“ครืนนน!”
หลังจากเสียงสั่นสะเทือนดังขึ้น ประตูหินบานนั้นก็ได้ส่องรัศมีเทวแวววาวออกมา ประตูหินบานนั้นได้มีรอยแยกสายหนึ่งขึ้นมา
รัศมีพลังอันแรงกล้ากลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นที่ชั้นสามของหอคอยเทว หลัวซิวไม่ต้องหันกลับไปมอง ตัวสำนึกก็สัมผัสได้ว่าเทพมารระดับเก้าผู้หนึ่งกำลังคุ้มครองหยุนยี่เทียนกับฮวงหวูจี๋ทั้งสองคนถอยหลังมาเรื่อย ๆ เทพมารระดับเก้าคนอื่น ๆ ต่างลงมือติดต่อกัน
“พวกเจ้าเมืองหยุนหลงคิดจะฮุบสมบัติของที่นี่แต่เพียงผู้เดียวอย่างนั้นหรือ?”
“รีบให้เจ้าหนุ่มสองคนนั้นมอบของออกมาเสีย มิเช่นนั้นที่นี่จะกลายเป็นที่ฝังศพของพวกเจ้า!”
“ป้ายบัญชาการถ้ำ!”
“มีคนกำลังกลั่นแปรป้ายบัญชาการถ้ำ แย่แล้ว!”
“……”
เสียงอึกทึกครึกโครมดังมาจากด้านหลัง ตอนนี้ยังไม่มีใครสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวทางฝั่งหลัวซิว และในเวลานี้ก็รอให้ประตูเปิดอย่างเต็มที่ไม่ได้แล้ว หลัวซิวขยับอย่างรวดเร็ว เขาได้มุดตัวเข้าไปช่องของประตูที่เปิดออก
วินาทีนั้น สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าหลัวซิว คือห้วงดาราอันกว้างใหญ่ไพศาล ในขณะเดียวกัน แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวได้โหมกระหน่ำเข้ามา ทำให้คนรู้สึกดวงจิตสั่นสะท้าน เหมือนดั่งว่าสวรรค์ได้กดทับลงมา ทำให้คนหายใจไม่ออก ได้แต่คุกเข่าเลื่อมใส
“นี่คือรัศมีพลังของสิ่งใด?”
หลัวซิวสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ได้มองเห็นส่วนลึกของห้วงดาราแห่งนี้ มีรูเล็ตขนาดใหญ่หมุนอยู่อย่างช้า ๆ และวินาทีที่มองเห็นรูเล็ตวงนี้ เขาก็ต้องชะงักไป
วัฏสงสาร!
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
ในลูกแก้วความเป็นตายก็แฝงไปด้วยเงาสะท้อนของวัฏสงสาร ดังนั้นหลัวซิวย่อมจำไม่ผิดอยู่แล้ว ไม่นึกเลยว่าเขาจะได้พบวัฏสงสารอยู่ในที่แห่งนี้!
แต่ภายใต้ความตกใจนั้นเขาก็พบว่า ที่เขากำลังมองเห็นอยู่นั้นเหมือนว่าจะไม่ใช่วัฏสงสารที่แท้จริง แต่เป็นวัฏสงสารที่ยอดผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ได้สร้างขึ้นโดยการผนึกรวมจิตตั้ง
ก็เหมือนกับจิตตั้งบู๊ของเขาได้ผนึกรวมเงาลวงขึ้นมาที่ด้านหลัง แยกไปตามความแตกต่างของวรยุทธ์พลังอมตะรวมทั้งวิถีแห่งกฎ จิตตั้งบู๊ของผู้แข็งแกร่งวิถียุทธ์แต่ละคนที่ปรากฏออกมาก็จะแตกต่างกันไป
ส่วนจิตตั้งบู๊ได้ผนึกรวมเป็นรูปร่างของวัฏสงสาร เช่นนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าวรยุทธ์ที่คนผู้นี้ฝึกฝนนั้น ต้องมีความเกี่ยวข้องกับวิถียุทธ์วัฏสงสาร
กลิ่นอายของวัฏสงสารอันไร้ขอบเขตแฝงไปด้วยพลังกดดันอันน่าสะพรึงกลัว ต่อให้จิตตั้งตัวธรรมของหลัวซิวมั่นคงเป็นอมตะ แต่ก็ต้านทานอย่างยากลำบาก จึงได้เซ่นเตากลั่นนภาจื่อเซียวออกมาลอยอยู่เหนือศีรษะทันที เช่นนี้ถึงรู้สึกว่าผ่อนคลายขึ้นมามาก
เกณฑ์อัคคีเทพสายแล้วสายเล่าร่วงหลุ่นลงมาจากเตากลั่นนภาจื่อเซียว เกณฑ์อัคคีเทพพวกนี้เกิดจากการบ่มเพาะของพรสวรรค์ อานุภาพไร้ขอบเขต การกดทับอันทรงพลังของรัศมีพลังแห่งวัฏสงสารได้ถูกขวางเอาไว้ด้านนอก
ตอนนี้ผลการฝึกตนของหลัวซิวได้บรรลุถึงแดนเทพมารระดับเจ็ดเป็นที่เรียบร้อย เตากลั่นนภาจื่อเซียวถูกเซ่นออกมา ถึงแม้จะเป็นผู้แข็งแกร่งเทพมาระดับเก้าธรรมดา ก็อย่าคิดว่าจะสามารถทำลายการป้องกันของเขาได้
มีเตาเซียนคุ้มครองกาย หลัวซิวจึงได้ก้าวเท่าเดินไปข้างหน้า เดินไปได้เพียงสองก้าว ก็ได้หยุดลง และขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เช่นนี้ถึงแม้ว่าข้าจะสามารถต้านทานแรงกดดันของที่นี่เอาไว้ได้ แต่แล้วทำไมข้าถึงไม่อาศัยแรงกดดันของที่แห่งนี้ ทำให้ผลการฝึกตนของข้ารุดหน้าไปอีกขั้นเล่า?”
หลัวซิวแอบกล่าวอยู่ในใจ ดวงตาอดไม่ได้ที่จะเปล่งประกายออกมา ด้วยแดนตัวธรรมและความสามารถของเขา คนที่สามารถใช้รัศมีพลังสร้างเป็นแรงกดดันเพื่อสร้างความกดดันให้เขาได้นั้นมีน้อยมากบนโลกใบนี้ ดังนั้นโอกาสเช่นนี้จึงมีอยู่ไม่มากนัก
คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็โบกมือเก็บเตาเซียนเข้าไปในตรงกลางระหว่างคิ้วอีกครั้ง ขับเคลื่อนวิถีไร้ลักษณ์ ที่ด้านหลังของเขา จิตตั้งบู๊ได้กลายเป็นเงาลวงมนุษย์ที่เหมือนกับเขาไม่มีผิด ตั้งสูงตระหง่าน มีขนาดสูงนับร้อยจั้ง
วัฏสงสาร ก็เป็นวิถียุทธ์ที่แข็งแกร่งมากชนิดหนึ่ง สามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับวิถีแห่งสวรรค์ที่บุกเบิกโดยสิบสองสวรรค์ หลัวซิวใช้ร่างของตัวเองฝืนต้านทานการสยบจากรัศมีพลังของวัฏสงสาร เป็นการอาศัยพลังการสยบของวัฏสงสาร เพื่อช่วยให้ตนเองได้บรรลุ สร้างความสมบูรณ์แบบให้กับวิถีไร้ลักษณ์ของเขา
ยืนอยู่ที่เดิม หลัวซิวสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของวัฏสงสารในที่แห่งนี้ วัฏสงสารที่อยู่ส่วนลึกของห้วงดาราดูมีขนาดใหญ่โต แต่ความจริงแล้วยังอยู่ห่างกับเขาอีกไกลมาก ดังนั้นจุดที่เขาอยู่เป็นเพียงเส้นขอบของบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากวัฏสงสาร
ทว่าเนื่องจากเขาได้เดินหน้าไปเรื่อย ๆ แรงกดดันจากรัศมีพลังวัฏสงสารก็ยิ่งทรงพลังขึ้นตาม น่าสะพรึงกลัวขึ้นไปเรื่อย ๆ รัศมีพลังเช่นนี้เหมือนว่าสามารถสยบสรรพโลกได้ แรงสยบหนักเหมือนดั่งเขาเซียนนับแสน
จิตตั้งบู๊ของหลัวซิวได้ผนึกรวมเป็นเงาลวงของตัวเขาเอง เป็นเงาสะท้อนจิตตั้งบู๊ของเขา แต่เนื่องจากเขาได้เดินหน้าไปเรื่อย ๆ เงาสะท้อนจิตตั้งบู๊ของเขาก็ได้ค่อย ๆ ทนรับแรงกดดันไม่ไหว มีท่าทีว่จะแตกสลาย
แม้แต่รูปมนุษย์ญาณเทวซึ่งผนึกรวมอยู่ในห้วงจักรหยั่งรู้ของเขา วินาทีนี้ก็ได้ได้รับผลกระทบจากแรงสยบ ในปริภูมิตัวหยั่งรู้ของเขาในเวลานี้ รูปมนุษย์ญาณเทวได้นอนคว่ำอยู่บนพื้น พยายามจะลุกขึ้นมา ก็รู้สึกว่ามีเขาเซียนเขามันทับอยู่ด้านหลัง ยากที่จะขยับได้