มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2751 เขตแดนสุขาวดีทั้งหก
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2751 เขตแดนสุขาวดีทั้งหก
ถึงแม้หลัวซิวและสวีเซิ่งเจี๋ยจะอยู่ห่างจากชนเผ่าเฉว่ซ่าอีกไกลมาก ๆ ทว่ากระแสสัมผัสของผู้แข็งแกร่งราชาเทพระดับเก้าแข็งแกร่งมากเพียงใด เจ้าเผ่าสตรีที่อยู่ในชุดสีเลือดกวาดมองมาทางนี้ด้วยแววตาที่เยือกเย็น จิตสังหารเข้มข้น
ผู้แข็งแกร่งระดับราชาเทพคนหนึ่งที่ฝึกวิถีแห่งการสังหารนั้น น่ากลัวกว่าราชาเทพระดับเก้าทั่วไปมากอย่างแน่นอน เจ้าเผ่าสตรีคนนี้สัมผัสได้ว่าผลการฝึกตนของหลัวซิวและสวีเซิ่งเจี๋ยต่างไม่สูง จึงไม่ได้นำมาใส่ใจ ก่อนจะกำชับเทียนซ่าเจินจวินที่อยู่ข้างกายอย่างเรื่อยเปื่อย: “เทียนซ่า เจ้าไปสังหารผู้น้อยสองตัวนั้นซะ จะได้ป้องกันไม่ให้มีปัญหาใหม่แทรกซ้อนขึ้นมา แล้วรบกวนภารกิจใหญ่ของชนเผ่าเฉว่ซ่าข้า!”
“ขอรับ! เจ้าเผ่า!”
เทียนซ่าเจินจวินตอบตกลงอย่างเคารพนอบน้อม จากนั้นตัวสำนึกก็แผ่สำรวจมาโดยที่ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ เมื่อเขาสังเกตเห็นหลัวซิว ก็จำหลัวซิวได้ภายในพริบตา
“หลัวซิว! ฮ่าฮ่า……สวรรค์มีทางมึงไม่ไป นรกไร้ประตูมึงดันบุกเข้ามา มึงได้รับสมบัติมาจากโลกาแดนปริศนาของผู้แข็งแกร่งตระกูลเทพสงครามไม่น้อยเลยสินะ? วันนี้ถูกลิขิตไปแล้วว่ามึงต้องตกอยู่ในเงื้อมมือเจินจวินอย่างกูแน่นอน!”
เทียนซ่าเจินจวินย่างกรายมาอย่างน่าเกรงขาม ครั้นเมื่ออยู่สถานฌาปนของจ้าววัฏสงสารยุคแปด ภายใต้การขัดขวางจากมหาค่ายสยบฟ้า กลุ่มเทพมารระดับเก้าอย่างพวกเขายังไม่สามารถทำอะไรได้ ทำได้เพียงเดินวนเวียนอยู่ด้านนอก ซึ่งมีเพียงหลัวซิวคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ภายในค่ายกล
ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา เทียนซ่าเจินจวินก็รู้แล้วว่าบนตัวผู้น้อยคนนี้ต้องมีของล้ำค่าอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นต้องไม่สามารถต้านทานการกดอัดของมหาค่ายสยบฟ้าได้แน่นอน
“หึ ก็แค่เทพมารระดับเก้าขั้นปฐมภูมิคนหนึ่ง ก็บังอาจมาพูดจาโอหังต่อหน้าท่านชายอย่างกูอย่างนั้นหรือ?”
หลัวซิวยังไม่ได้ลงมือ สวีเซิ่งเจี๋ยก็โบกมือเรียกดาบกระบี่ศัสตราวุธออกมาแล้ว ฟาดฟันดาบกระบี่ออกไป ฉีกกระชากอนัตตา ราวกับมังกรดาบและมังกรกระบี่ตัวหนึ่ง ทำให้เทียนซ่าเจินจวินจมหายไปในพลังดาบและปราณกระบี่ที่ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ภายในพริบตา
“ผู้น้อยมึงรนหาที่ตาย!”
เทียนซ่าเจินจวินโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก ก่อนจะเรียกของขลังคุ้มกันชิ้นหนึ่งออกมาต้านทานพลังโจมตีทั้งหมด ง้างมือครั้งหนึ่ง จากนั้นก็มีจิตสังหารที่มากมายมหาศาลผนึกรวมกันอยู่กลางฝ่ามือ แล้วกดอัดไปทางสวีเซิ่งเจี๋ย
มีรัศมีเทวแย้มบานออกมารอบกายสวีเซิ่งเจี๋ย สามารถพูดได้เลยว่าร่างเทวไร้มลทินของเขาสามารถต้านทานสรรพวิชา เมื่อจิตสังหารที่มากมายมหาศาลประชิดใกล้ร่างกายเขา จิตสังหารเหล่านั้นก็สลายหายไปในรัศมีเทว หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว สีหน้าของเทียนซ่าเจินจวินก็เปลี่ยนไป ยังไม่ทันรอให้เขาตอบสนองกลับมาได้ เงาร่างหลัวซิวก็กระพริบทีหนึ่ง ก่อนจะปรากฏด้านหลังเขา แล้วปล่อยหมัดออกไปจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
“เทียนซ่าเจินจวิน มึงไม่เคยได้ยินคำว่าไม่พบกัน 3 วัน ควรประเมินกันใหม่หรือ?”
เพียงหมัดเดียว หลัวซิวก็โจมตีผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าอย่างเทียนซ่าเจินจวินจนกระอักเลือด ร่างกายกลิ้งกระเด็นออกไปสิบกว่าไมล์ด้วยสภาพที่ดูจนตรอก
อย่างไรก็ตามหลัวซิวกลับไม่ได้ไล่โจมตีต่อแต่อย่างใด แววตามองไปทางทะเลสาบมรณากะทันหัน สีหน้าอารมณ์ดูตึงเครียด
เขาสัมผัสพลังออร่าที่น่าสยดสยองอย่างไร้ขอบเขตได้จากทิศทางของทะเลสาบมรณา ซึ่งพลังออร่าดังกล่าวแข็งแกร่งถึงขั้นที่สามารถทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดหวั่นใจสั่น
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็เข้าใจขึ้นมาภายในพริบตาเช่นกันว่าน่าจะเป็นเพราะเขาย้ายแท่นบูชามรณาที่ตั้งอยู่ใจกลางทะเลสาบมรณาออกไป จึงทำให้ผู้แข็งแกร่งคนใดคนหนึ่งที่นอนหลับใหลอยู่ในทะเลสาบมรณาตื่นตกใจ
อ้างอิงจากการคาดเดาของเขา หากที่นี่เป็นสถานฌาปนของจ้าววัฏสงสารยุคสอง ในเมื่อมีทะเลสาบมรณาคงอยู่ แล้วจะมีทางไม่มีญาณมรณะที่แข็งแกร่งปกปักรักษาอยู่ในทะเลสาบมรณาได้อย่างไร?
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ ตรงระหว่างคิ้วหลัวซิวก็เป็นประกายขึ้นมา จากนั้นหว่างคิ้วก็แยกออก เขาใช้พลังเวทย์และผลการฝึกตนกระตุ้นแท่นบูชามรณาที่เก็บอยู่ในห้วงจักรหยั่งรู้ ก่อนจะมีแสงมืดดวงหนึ่งบินออกมาจากหว่างคิ้วภายในพริบตา แล้วพุ่งยิงไปทางเทียนซ่าเจินจวิน
“ไอ้ผู้น้อยที่สมควรตาย ไม่นึกเลยว่ามึงจะกล้าจู่โจมเจินจวินอย่างกูอย่างนั้นหรือ!”
เทียนซ่าเจินจวินโกรธมากจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ง้างมือขยำทีเดียว ก็ทำการบีบแสงมืดดวงนั้นจนแตกสลายแล้ว ก่อนหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วพูด: “นอกจากจู่โจมแล้ว มึงคิดว่าอุบายประเภทนี้จะสามารถสร้างความเสียหายให้แก่เจินจวินอย่างกูได้อย่างนั้นรึ? หากกูโกรธเกรี้ยวขึ้นมาจริง ๆ มดตัวจ้อยอย่างมึงน่ะแค่ง้างมือก็บีบให้ตายได้แล้ว!”
เทียนซ่าเจินจวินคิดว่าอุบายของหลัวซิวก็มีดีแค่นี้แหละ แต่หารู้ไม่ว่าขณะที่เขาบีบแสงมือดวงนั้นแตก ออร่าของแท่นบูชามรณาที่แฝงซ่อนอยู่ในแสงมืดก็ได้สิงสถิตเข้าไปในร่างกายเขาแล้ว
หลัวซิวไม่มีความตั้งใจที่จะเสียเวลาอยู่กับเทียนซ่าเจินจวินเลยด้วยซ้ำ ภายใต้การปลุกเสกจากเกณฑ์ความเร็วและปริภูมิ ร่างกายเขาก็กลายเป็นลำแสงดวงหนึ่งภายในพริบตา ก่อนจะบินไปยังขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไป
“เชี่ย! สหายหลัวเจ้าจากไปเช่นนี้เลยหรือ?”
สวีเซิ่งเจี๋ยเตรียมพร้อมที่จะพุ่งเข้าไปลงมือ แต่กลับเห็นหลัวซิวบินหนีกะทันหัน ใบหน้าจึงดูมึนงงขึ้นมาทันที ในมุมมองของเขา เทียนซ่าเจินจวินนี่เป็นเพียงเทพมารระดับเก้าขั้นปฐมภูมิเท่านั้น อย่าว่าแต่เขาและหลัวซิวร่วมมือกันเลย ต่อให้สู้กันตัวต่อตัว เสียเวลาเปลืองแรงเพียงเล็กน้อย เขาก็สามารถกำราบฝ่ายตรงข้ามได้เช่นกัน
เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลัวซิวจึงต้องบินหนีกะทันหัน ดูจากสภาพที่ลุกลนนั่น ดูเหมือนจะรีบมาก ๆ
ทันใดนั้นเอง แววตาของสวีเซิ่งเจี๋ยก็เป็นประกายขึ้นมาพลางพูดพึมพำ: “สหายหลัวต้องกังวลว่าชนเผ่าราชาเทพแห่งชนเผ่าเฉว่ซ่าจะลงมือแน่นอน หากได้ปะทะกับราชาเทพละก็ ต่อให้ข้าและสหายหลัวร่วมมือกัน ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้แน่นอน”
เมื่อคิดจุดนี้ได้ สวีเซิ่งเจี๋ยจึงผันร่างเป็นแสงกลดวงหนึ่งอย่างไม่ลังเลใจเช่นกัน ก่อนจะไล่ตามไปยังทิศทางที่หลัวซิวจากไป
ทั้งสองบินหนีตามกันไปด้วยความเร็วที่น่าทึ่งมาก ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้เทียนซ่าเจินจวินยืนงงอยู่กับที่ ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความมึนงงและความสับสน หรือว่าไอ้เด็กเมื่อวานซืนสองตัวนั้นเกรงกลัวศักยภาพของข้าจริง ๆ ถึงได้หนีหางจุกตูดอย่างน่าสมเพช?
“แค่ผู้น้อยสองคนก็กำราบไม่ได้หรือ?”
เมื่อเทียนซ่าเจินจวินย้อนกลับมา เห็นได้ชัดเจนเลยว่าบนใบหน้าที่เย็นชาของเจ้าเผ่าสตรีมีความไม่พอใจปนอยู่เสี้ยวหนึ่ง
“ความเร็วของผู้น้อยสองตัวนั้นเร็วเกินไป ข้าก็ไล่ตามไม่ทันเช่นกันขอรับ”เทียนซ่าเจินจวินตอบกลับอย่างระมัดระวัง
ผู้คนในชนเผ่าเฉว่ซ่าฝึกวิถีแห่งการสังหาร การปลิดชีพคนนั้นเป็นเรื่องที่ปกติมาก ๆ ถึงแม้เขาเทียนซ่าเจินจวินจะเป็นผู้อาวุโสในเผ่า แต่ถ้าเกิดลบหลู่เจ้าเผ่า ก็มีโอกาสถูกเจ้าเผ่าสตรีท่านนี้ตบจนตายคาที่ได้สูงมาก และไม่มีผู้ใดพูดเข้าข้างเขาเช่นกัน
เจ้าเผ่าสตรีทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วลง “บนตัวเจ้ามีออร่าพิเศษประเภทหนึ่ง”
“โครมคราม……”
และในเวลานี้เอง ก็มีพลังออร่าที่น่าสยดสยองอย่างไร้ขอบเขตตลบฟุ้งไปทั่วฟ้าดิน ชี่มรณะสีดำจำนวนมากบินตรงมาจากทิศทางของทะเลสาบมรณา จากนั้นก็มีใบหน้าที่ใหญ่โตมโหฬารปรากฏในเมฆดำ เย็นชาไร้ความปราณี เอ่ยปากพูด: “พวกมึงเป็นผู้ขโมยสมบัติกูไปหรือ?”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เมฆดำขนาดใหญ่ก็เริ่มผนึกรวมกันอย่างไม่หยุดหย่อน จากนั้นก็เผยให้เห็นชายร่างยักษ์ที่อยู่ในชุดเกราะเทพสีแดงเลือดคนหนึ่ง
ซึ่งแตกต่างจากญาณมรณะที่มีลักษณะดุร้ายน่ากลัวนั่น ชายที่อยู่ในชุดเกราะเทพสีแดงเลือดนี่ดูไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาทั่วไป แต่ทว่าบนตัวเขากลับไม่มีออร่าพลังชีวิตเลยแม้แต่นิดเดียว
“สมบัติ?”
เจ้าเผ่าสตรีชุดสีเลือดขมวดคิ้วที่โค้งงามได้รูปนั่นลงไปเล็กน้อย ก่อนที่ใจจะดิ่งลงไปทันที ในที่สุดนางก็นึกขึ้นมาได้สักทีว่าไยจึงรู้สึกคุ้นเคยต่อออร่าพิเศษที่อยู่บนตัวเทียนซ่าเจินจวินเล็กน้อย ครั้นเมื่อนางนำกำลังคนเข้าไปฝ่าฟันในทะเลสาบมรณา เคยเห็นแท่นบูชาที่มีชี่มรณะลอยวนเป็นเกลียวขึ้นไปกลางทะเลสาบมรณา ซึ่งออร่าของแท่นบูชานั่น ก็คือออร่าเดียวกันกับออร่าที่อยู่บนตัวเทียนซ่าเจินจวินนั่นเอง!
ส่วนเมื่อครู่เทียนซ่าเจินจวินได้ประมือกับผู้น้อยสองคนนั้น หลังจากกลับมาก็มีออร่าประเภทนี้ติดตัว เรื่องนี้มันหมายความว่าอย่างไรนั้น เจ้าเผ่าสตรีชุดสีแดงเลือดเข้าใจขึ้นมาได้ภายในพริบตาเลย
แต่ทว่าแม้นนางจักเข้าใจเวลานี้มันก็สายไปแล้ว เพราะผู้เฝ้าดูแลทะเลสาบมรณาได้ลงมือโจมตีโดยที่ไม่ยอมให้ชี้แจงแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น ชี้ขาดแล้วว่าคนพวกนี้เป็นผู้ที่ขโมยสมบัติแท่นบูชาที่กดอัดอยู่ในทะเลสาบมรณาไป
“ไอ้สารเลว บังอาจวางแผนลอบกัดชนเผ่าเฉว่ซ่าของกูอย่างนั้นหรือ!”
บนใบหน้าที่เย็นชาเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารและความโกรธเกรี้ยว ทว่าผู้เฝ้าดูแลทะเลสาบมรณาได้บุกฆ่าเข้ามาแล้ว บวกกับมังกรดำที่ถูกชนเผ่าเฉว่ซ่ารุมโจมตี เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ชนเผ่าเฉว่ซ่าก็เท่ากับถูกศัตรูขนาบทั้งหน้าและหลัง
มีออร่ามกุฎเทพระดับเก้าแพร่กระจายออกมาจากตัวผู้เฝ้าดูแลเฉว่ซ่า ซึ่งนี่ก็หมายความว่าครั้นเมื่อยังมีชีวิตอยู่ คนดังกล่าวต้องเป็นผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพระดับเก้าแน่นอน แต่ทว่าเขาตายนานมากแล้ว มาตรแม้นว่าอยู่ภายใต้การเกื้อหนุนจากชี่มรณะในทะเลสาบมรณา ศักยภาพก็ไม่สามารถเทียบทัดมกุฎเทพระดับเก้าที่แท้จริงเช่นกัน น่าจะเท่ากับประมาณราชาเทพระดับเก้าขั้นสูง
มาตรแม้นว่าเป็นเช่นนี้ มันก็เป็นสิ่งที่น่าสยดสยองอย่างยิ่งแล้ว แดนของเจ้าเผ่าสตรีแห่งชนเผ่าเฉว่ซ่านี่ก็เป็นเพียงราชาเทพระดับเก้าช่วงกลาง
“ถอย!”
เจ้าเผ่าสตรีชุดสีแดงเลือดออกคำสั่งอย่างเด็ดเดี่ยวมาก ผู้เฝ้าดูแลทะเลสาบมรณาน่าสยดสยองกว่ามังกรดำตัวนั้นมาก ๆ ขืนได้เข่นฆ่าอยู่ที่นี่จริง ๆ บางทีนางอาจจะสามารถหนีรอดไปได้ แต่เหล่าผู้แข็งแกร่งยอดฝีมือในเผ่าที่ถูกนางพามา คาดว่าคงจะได้ตายอยู่ที่นี่หมดแน่ ซึ่งจะทำให้รากฐานของชนเผ่าเฉว่ซ่าสั่นคลอน
ในตำแหน่งที่อยู่ห่างไกลออกไป หลัวซิวยืนอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่ง เบิ่งมองลาดเลาฝั่งชนเผ่าเฉว่ซ่า ในส่วนของแท่นบูชามรณาที่แท้จริงนั้น ต้องถูกเขาผนึกอยู่ในตัวหยั่งรู้ด้วยอุบายค่ายกลต่าง ๆ นานาอยู่แล้ว ผู้เฝ้าดูแลทะเลสาบมรณานั่นสัมผัสออร่าใด ๆ ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“ให้ตายเถอะ สหายหลัวเจ้าโหดเกินไปหรือเปล่า?”สวีเซิ่งเจี๋ยยืนอยู่ข้างกายหลัวซิว วินาทีนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจสักทีว่าเหตุใดเมื่อครู่หลัวซิวจึงต้องหลบหนี เขาก็เคยได้ยินมาก่อนเช่นกันว่าในทะเลสาบมรณามีผู้เฝ้าดูแลคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง ขอแค่อยู่ภายในเขตพื้นที่รอบทะเลสาบมรณา เขาก็แทบจะเป็นอมตะ เมื่อร่างกายถูกโจมตีจนแตกสลายแล้ว ก็จะผนึกรวมกลับมาในชี่มรณะ
“ตกลงสหายหลัวทำอะไรในใจกลางทะเลสาบมรณากันแน่? ถึงขั้นทำให้ผู้เฝ้าดูแลทะเลสาบมรณายังตื่นตกใจไปด้วย?”สวีเซิ่งเจี๋ยมองหลัวซิวรอบหนึ่ง “เท่าที่ข้าทราบมา เวลาส่วนใหญ่ผู้เฝ้าดูแลทะเลสาบมรณาจักนอนหลับใหลอยู่ในส่วนลึกของทะเลสาบมรณาตลอดเลยนะ มีเพียงมีผู้แข็งแกร่งที่อยู่สูงกว่ามกุฎเทพระดับเก้าบุกเข้าไปในทะเลสาบมรณา เขาถึงจะปรากฏ”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนี่ แต่คนบางคนแถวนี้สิ ทำอะไรไปก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจนะ”
หลัวซิวเหล่ตามองสวีเซิ่งเจี๋ยพลางพูด เขาถูกญาณมรณะระดับราชาเทพจำนวนมากรุมโจมตี แต่เจ้าสวีเซิ่งเจี๋ยนี่กลับเอาแต่หนีเอาชีวิตรอดอยู่คนเดียว เขายังไม่ได้ตามชำระบัญชีนี้กับเจ้าหมอนี่ดี ๆ เลยนะ
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว สวีเซิ่งเจี๋ยจึงไม่ถามต่อแล้วจริง ๆ กระแอมอย่างเก้อเขินสองที แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไร ลักษณะดูไร้ยางอายเล็กน้อย
“เราไปกันเถอะ ระวังถูกเจ้าเผ่าสตรีคนนั้นในชนเผ่าเฉว่ซ่าหมายตาเข้าล่ะ มิเช่นนั้นเราทั้งสองก็ต้องลำบากแล้วล่ะ”หลัวซิวยิ้มอ่อน ก่อนจะมุ่งหน้าเดินไปยังส่วนที่ลึกกว่าของแดนสุขาวดีต่อ
“สหายหลัวอาจจะยังไม่รู้ ข้าเคยได้ยินข่าวลับบางอย่างด้วยนะ เล่ากันว่าแดนสุขาวดีแห่งนี้เป็นที่ที่จ้าววัฏสงสารรุ่นสองทิ้งไว้ ยิ่งกว่านั้นคือมีโอกาสเป็นสถานฌาปนของจ้าววัฏสงสารยุคสองสูงมากด้วย!”สวีเซิ่งเจี๋ยเดินเคียงไหล่หลัวซิว พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้มอย่างดูลึกลับมาก
เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อตนบอกข้อมูลที่น่าทึ่งเช่นนี้ออกมา หลัวซิวต้องรู้สึกช็อกมากแน่นอน แต่หารู้ไม่ว่าหลัวซิวคาดคะเนเรื่องทั้งหมดนี้ได้ตั้งนานแล้ว ยิ่งกว่านั้นคือบุคคลที่อยู่ในระดับจ้าววัฏสงสาร ก็ไม่ทำให้เขารู้สึกช็อกมากเช่นกัน สภาพจิตใจและสติปัญญาประเภทนี้ ไม่ใช่วัยยุคอยู่ในรุ่นเดียวกันสามารถเทียบเคียงได้
ยกตัวอย่างเช่นสวีเซิ่งเจี๋ย ถึงแม้เขาจะเป็นอัจฉริยะผู้ล้ำเลิศที่มีร่างเทวไร้มลทิน แต่เมื่อพูดถึงจ้าววัฏสงสาร เขาก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจเล็กน้อยอยู่เช่นกัน อย่างไรเสียผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในระดับอย่างจ้าววัฏสงสารและสวรรค์ ล้วนเป็นตัวแทนของขีดสูงสุดและขั้นสูงสุดบนวิถียุทธ์มาตั้งแต่ยุคโบราณเลย!
สวีเซิ่งเจี๋ยมาแดนสุขาวดีเพื่อฝึกฝน เคยสืบเสาะเรื่องราวบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับแดนสุขาวดีโดยเฉพาะ หลัวซิวก็ทราบมาจากปากเขาเช่นกันว่า แดนสุขาวดีแห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นหกเขตพื้นที่ใหญ่ ซึ่งเขตพื้นที่แรกก็คือเดิมแห่งชีวี หรือว่าเขตพื้นที่ที่หลัวซิวเจอมังกรทองห้าอุ้งเท้านั่นเอง
และเขตพื้นที่ที่สองก็คือทะเลสาบมรณา เขตพื้นที่ที่สามคือหุบเขากาลเวลา เขตพื้นที่ที่สี่คือสมุทรปริภูมิ โดยที่ทั้งสี่เขตพื้นที่ใหญ่นี้สอดคล้องกับการเวียนว่ายตายเกิดและห้วง ในส่วนของสองเขตพื้นที่ใหญ่สุดท้ายนั้น คือสถานวัฏสงสาร รวมไปถึงสถานฌาปนที่ฝังจ้าววัฏสงสาร
ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน มีคนเคยบุกเข้าไปในสถานวัฏสงสารอยู่ ทว่ากลับไม่เคยมีผู้ใดไปถึงสถานฌาปนของจ้าววัฏสงสารเลย สำหรับเรื่องที่ว่าเขตพื้นที่ที่หกเป็นสถานฌาปนของจ้าววัฏสงสารจริงหรือไม่นั้น ก็มีข่าวลือเล่าขานในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดมาโดยตลอดเช่นกัน แต่กลับไม่เคยได้รับการยืนยันอย่างแท้จริงมาก่อน