มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2755 โลกาจ่างจง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2755 โลกาจ่างจง
“ข้าน้อยลิ่งฮู๋จื่อเซวียน กราบคารวะสหายฮวง”
ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนมองหลัวซิวด้วยสายตาที่แปลกใจเล็กน้อยรอบหนึ่ง เขานึกไม่ถึงเลยว่าหลัวซิวจะรู้จักกับเจ้าเมืองน้อยแห่งเมืองต้าฮวงโบราณด้วย อีกทั้งความสัมพันธ์ของพวกเขายังดูไม่เลว
“สหายลิ่งฮู๋เกรงใจเกินไปแล้ว”
ฮวงหวูจี๋ประสานมือทำท่าคารวะตอบกลับ “นามสกุลลิ่งฮู๋หาพบได้ไม่มาก หรือเจ้าจะมาจากตระกูลลิ่งฮู๋แห่งโลกจักรภพ?”
“หากโลกจักรภพไม่มีตระกูลลิ่งฮู๋ที่สองละก็ เช่นนั้นสหายฮวงก็เดาถูกแล้วล่ะ”ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนยิ้มพลางตอบกลับ
ความเป็นมาของตระกูลลิ่งฮู๋ก็ถือว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน บรรพบุรุษคือผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพระดับเก้า ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับชนเผ่าฮวงแห่งเมืองต้าฮวงโบราณแล้ว ก็ไม่ได้ต่างกันแค่หนึ่งถึงสองระดับแล้ว
“ฮวงหวูจี๋ มึงหมายความว่าอย่างไร? หรือว่ามึงจะออกหน้าแทนสองตัวนี้?”
หวงฟางเทียนแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น “อย่าคิดว่าที่นี่คือเมืองต้าฮวงโบราณ แล้วท่านชายอย่างกูจะไม่กล้าทำอะไรมึงนะ!”
“สหายหวง มึงพูดถูกจริงด้วย ที่นี่ไม่ใช่แค่เมืองต้าฮวงโบราณเท่านั้น แต่ยังเป็นโลกร้างด้วย หากมึงคิดที่จะกดขี่ข่มเหงสหายของแซ่หยุนกู ก็ต้องดูก่อนว่าแซ่หยุนกูตกลงหรือไม่”
มีเงาดำอีกร่างหนึ่งเดินตรงมาทางนี้ ซึ่งผู้ที่เดินมาก็คือเจ้าเมืองน้อยแห่งเมืองหยุนหลง หยุนยี่เทียน
“เอ๊ะ? ไอ้คนน่าสมเพชนั่นแดกโอสถเพิ่มความกล้ามาหรือไง ถึงกับบังอาจหาเรื่องสหายหลัวหรือ?”
นอกเมืองต้าฮวงโบราณ มีรัศมีเทวที่สีสันสดใสดวงหนึ่งบินตรงมา ก่อนจะร่วงลงบนถนนในเมือง แล้วผันร่างเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งคนดังกล่าวก็คือสวีเซิ่งเจี๋ยที่มีฉายาว่าท่านชายไร้มลทินนั่นเอง
“ท่านชายหลัวคือผู้มีพระคุณของข้า ผู้ใดข่มเหงรังแกเขา ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นผู้ใด ฮู๋ชิงชิงข้าก็จะไม่ปล่อยมันไปทั้งสิ้น!”
มีโฉมงามเย้ายวนที่อยู่ในชุดกระโปรงสีดำอีกคนหนึ่งหกระเหินเดินฟ้ามา การปรากฏตัวของนาง ทำให้ดึงดูดสายตาของทุกคนไปทันที
พรายสาวสรรค์!
ในโลกร้าง ณ ปัจจุบัน ชื่อเสียงของพรายสาวสรรค์ไม่ด้อยกว่าท่านชายไร้มลทินเลย เพราะร่างอสูรฟ้าก็เป็นฐานร่างที่หาพบได้ยากมาตั้งแต่โบราณกาลเช่นกัน
เพียงชั่วพริบตาเดียว ด้านหลังหลัวซิวก็มีฮวงหวูจี๋ หยุนยี่เทียน สวีเซิ่งเจี๋ยและฮู๋ชิงชิง อัจฉริยะผู้แข็งแกร่งทั้งสี่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่เด็กรุ่นใหม่รวมตัวกัน
นี่จึงทำให้สีหน้าของหวงฟางเทียนดูย่ำแย่ลงไปภายในพริบตา เขาโอ้อวดว่ากำลังรบของตนน่าทึ่ง ในบรรดาวัยรุ่นรุ่นเดียวกัน ผู้ที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขานั้นมีน้อยมาก ทว่าทุกคนที่อยู่ตรงหน้านี้กลับไม่มีผู้ใดที่ด้อยกว่าตนเองเลย หากต้องลงมือกันจริง ๆ ผู้ที่เสียเปรียบต้องเป็นเขาแน่นอน
“กล้ากร่างเพราะคนพวกมึงเยอะกว่าหรือ? คิดว่ากูไม่มีผู้ช่วยหรือไง?”หวงฟางเทียนพูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
“เหอะ ๆ ท่านชายฟางเทียนพูดถูก ทุกท่านในโลกร้างรังแกข่มเหงเพราะโลกเหลืองของเราไม่มีคนอย่างนั้นรึ?”
ท่านชายหนุ่มที่อยู่ในชุดแพรย่างเท้าเดินตรงมาทางนี้ พลางยิ้มอ่อนพลางพูด: “ข้าน้อยจูโร่เฉิน อยากประลองกับวีรบุรุษทุกท่านในโลกร้างตั้งนานแล้ว”
จูโร่เฉินนี่บอกว่าตัวเองมาจากโลกเหลือง ส่วนหวงฟางเทียนก็แซ่หวงอีกซึ่งมีความหมายว่าเหลือง แสดงว่าเขาต้องมาจากเผ่าเหลืองแน่นอน ในส่วนของชนเผ่าฮวงแห่งโลกร้างนั้น ก็เป็นแปดตระกูลที่เก่าแก่ที่สุดเช่นกัน
“ท่านชายจูพูดถูก ในโลกเหลืองของเราก็มียอดฝีมือมากดั่งเมฆบนฟ้า หากจะสู้ละก็ คิดว่าเรากลัวหรือ?”
มีชายร่างใหญ่ที่ดูฮึกเหิมมีพลังอีกคนหนึ่งเดินตรงมาพร้อมกับแบกขวานใหญ่ไว้บนบ่า เดินมายืนอยู่ข้างหวงฟางเทียนและจูโร่เฉิน
ไม่นานนัก ก็มีอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งแห่งโลกเหลืองอีกสามสี่คนเร่งเดินทางมาหลังจากได้ยินข่าว ลักษณะท่าทีเหมือนกำลังจะลงไม้ลงมือกัน
เมื่อเห็นว่าผู้ช่วยยิ่งอยู่ยิ่งเยอะ หวงฟางเทียนก็ยิ่งอยู่ยิ่งมั่นใจเช่นกัน ยื่นนิ้วชี้ไปทางพวกหลัวซิวและฮวงหวูจี๋ พลางพูดอย่างดูหมิ่น: “หมูหมากาไก่อย่างพวกมึง ก็เหมาะกับการได้รับโควต้าของหอคอยฮวงหรือ วันนี้กูจะทำให้พวกมึงได้รู้เองว่าอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งในโลกเหลืองของกู เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดต่างหาก!”
“ช่างปากดียิ่งนัก โม้เก่งขนาดนี้ระวังโดนฟ้าผ่าจนลิ้นขาดเอาล่ะ กูว่านะ หนังหน้าของหวงฟางเทียนมึงน่ะคงหนาจนแม้แต่หอคอยฮวงยังทำอะไรไม่ได้แล้ว!”ในฐานะที่ฮวงหวูจี๋เป็นเจ้าภาพของที่นี่ ย่อมต้องตาต่อตาฟันต่อฟันอยู่แล้ว จะแพ้ด้านพลังออร่าภายนอกให้ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เด็ดขาด
เพียงชั่วพริบตาเดียว ทั้งสองฝ่ายก็จ้องหน้ากันและกัน ปราณรบพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ราวกับจะเกิดการปะทะกันยังไงอย่างนั้น ท่าทีคล้ายกำลังจะลงมือกันยกใหญ่
“หยุด!”
จู่ ๆ ก็มีเสียงที่ดังก้องกังวานดังขึ้น ถัดจากนั้นก็มีเงาร่างของผู้อาวุโสสองคนปรากฏกลางนภา ซึ่งเป็นผู้อาวุโสสองคนจากชนเผ่าฮวงและเผ่าเหลือง
“การแข่งขันชิงโควต้าหอคอยฮวงใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว หากพวกเจ้าจะต่อสู้กัน ถึงครานั้นพวกเจ้าก็เต็มที่ได้เลย แต่ที่นี่คือเมืองต้าฮวงโบราณ ซึ่งเป็นดินแดนที่บรรพจารย์ฮวงบุกเบิกขึ้นมา จักปล่อยให้พวกเจ้าทำตัวเหลวไหลได้อย่างไร!”ผู้อาวุโสชนเผ่าฮวงตะคอกด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
“แยกย้ายกันซะ รวมหัวกันต่อสู้เช่นนี้ ไม่อายคนหรือไง?”สีหน้าของผู้อาวุโสเผ่าเหลืองก็ดูย่ำแย่มากเช่นกัน
บัดนี้มีเหล่าอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศได้มารวมตัวกันที่เมืองต้าฮวงโบราณ ซึ่งไม่ได้มีแค่คนในโลกร้างและโลกเหลืองเท่านั้น ยังมีโลกสวรรค์ โลกใต้ดิน โลกเสวียน โลกจักรวาล โลกจักรภพและโลกท่วมท้น ถึงครานั้นหากโลกร้างและโลกเหลืองทะเลาะวิวาทกัน และต่างฝ่ายต่างได้รับความเสียหาย อีกหกโลกที่เหลือย่อมยินดีที่จะดูอะไรสนุก ๆ อยู่แล้ว
“หึ ในเมื่อผู้อาวุโสออกโรง วันนั้นก็ปล่อยพวกมึงไปหนหนึ่งแล้วกัน!”
หวงฟางเทียนก็ไม่กล้าขัดขืนคำสั่งของผู้อาวุโสต่อหน้าสาธารณชนเช่นกัน ก่อนจะโบกมือพาเหล่าอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งแห่งโลกเหลืองบินจากไป
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง พวกหวงฟางเทียนก็มาถึงพระราชวังแห่งหนึ่งในเมืองต้าฮวงโบราณ ทุกคนนั่งลงบนพื้น จากนั้นหวงฟางเทียนก็เอ่ยปากพูดอย่างเรียบนิ่ง: “เมื่อครู่ทุกท่านก็เห็นพวกอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งในโลกร้างแล้ว ประเมินอะไรออกบ้างหรือไม่?”
หวงฟางเทียน ณ วินาทีนี้ดูไม่จองหองพองขนเลยแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้เขาจงใจยั่วยุให้เกิดความขัดแย้ง ก็เพื่ออยากใช้โอกาสนี้ประเมินระดับฝีมือของเหล่าอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งแห่งโลกร้าง จะได้เข้าใจพวกเขามากยิ่งขึ้น
ส่วนตัวตนของลิ่งฮู๋จื่อเซวียนและหลัวซิวนั้น เขาก็รู้จักเช่นกัน เขารู้อยู่ว่าทันทีที่มีปัญหากับหลัวซิว พวกฮวงหวูจี๋ต้องโผล่หน้าออกมาแน่นอน
สามารถพูดได้เลยว่าแม้แต่ตัวหลัวซิวเอง เมื่อครู่เขาก็มองจุดประสงค์ที่แท้จริงของหวงฟางเทียนไม่ออกเช่นกัน
“ทุกคนล้วนแข็งแกร่งมาก ลึกซึ้งมากจนไม่อาจคาดเดาได้”จูโร่เฉินตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้ม “ทว่าสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจคือ ความเป็นมาของหลัวซิวนั่นเป็นอย่างไรกันแน่ แม้แต่แดนเทพมารระดับแปดยังบรรลุไม่ถึงเลย ไม่นึกเลยว่าจะสามารถทำให้พวกคนอย่างฮวงหวูจี๋ต่างออกหน้าแทนเขาติด ๆ?”
ไม่เพียงแค่จูโร่เฉินเท่านั้นที่รู้สึกสงสัย อัจฉริยะแห่งโลกเหลืองคนอื่น ๆ ที่อยู่ที่นี่ก็รู้สึกสงสัยมาก ในบรรดาวัยรุ่นผู้มีคุณสมบัติแข่งขันช่วงชิงโควต้าหอคอยฮวงในยุคปัจจุบัน ทุกคนล้วนอยู่ในแดนเทพมารระดับแปด และยิ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่บรรลุถึงเทพมารระดับแปดช่วงปลาย ตลอดจนแดนขั้นสูง
ยิ่งกว่านั้นคือมีคนจำนวนไม่น้อยที่ศักยภาพบรรลุถึงแดนเทพมารระดับเก้าตั้งนานแล้ว แต่ทว่าเพื่อเป็นการรอให้หอคอยฮวงเปิดออก คนเหล่าถึงได้จงใจระงับผลการฝึกตนเอาไว้ สั่งสมผลการฝึกตนมาได้หนาแน่นจนน่าทึ่งน่ากลัว
“ไม่ พวกเจ้าล้วนคิดผิดแล้ว บางทีผลการฝึกตนของหลัวซิวนั่นอาจจะต่ำที่สุด แต่กลับเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด และเป็นผู้ที่อันตรายที่สุดเช่นกัน พวกเจ้าทราบความเป็นมาที่แท้จริงของมันหรือไม่?”หวงฟางเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวดอย่างยิ่ง
“หรือว่าภูมิหลังของมันยิ่งใหญ่มาก?”พวกจูโร่เฉินต่างรู้สึกสงสัยมากอย่างควบคุมไม่ได้
“หากจะบอกว่าภูมิหลังของมันยิ่งใหญ่นั้น มันก็ไม่ถือว่ายิ่งใหญ่มากหรอก ทว่าความเป็นมาของมันกลับน่าทึ่งมากกว่า!”หวงฟางเทียนหัวเราะเบา ๆ“ทุกท่านล้วนกำเนิดจากแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอด น่าจะเคยได้ยินตำนานเรื่องเล่าของหุบเขาสยบปีศาจมาก่อนสินะ เมื่อหนึ่งยุคตรีภพก่อน ในยุคสมัยที่ยุคมหาศักดิ์เพิ่งเริ่มต้นขึ้น จ้าวแห่งหุบเขาสยบปีศาจก็อุบัติขึ้นมาอย่างไร้เทียมทาน กลายเป็นผู้แข็งแกร่งคนแรกที่บรรลุสู่แดนผู้สูงส่งหลังจากสิ้นสุดยุควัฏสงสาร!”
“หุบเขาสยบปีศาจ? ข้าเคยได้ยินอยู่ ในตำราโบราณของแดนศักดิ์สิทธิ์เราก็มีการบันทึกอยู่บ้างเช่นกัน เล่ากันว่าเจ้าของหุบเขาสยบปีศาจมีนามว่าไท่ซ่างฉิง ซึ่งได้รับสมญานามว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์เป็นหนึ่งในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด พรสวรรค์ปัญญาล้วนเป็นหนึ่งไม่เป็นรอง ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเคียงได้ ต่อมาได้เปิดศึกสงครามกับผู้สืบทอดจ้าววัฏสงสารยุคที่เก้า จนดับสลายสูญสิ้นไปทั้งคู่”
“เล่ากันว่าคนดังกล่าวเป็นผู้ทลายกงล้อวัฏจักรธรรมจนแตก ทำให้ลบล้างโอกาสที่จ้าววัฏสงสารจะปกครองโลกหล้าไปโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้เขาก็ถูกผู้คนในโลกเรียกขานว่าผู้สูงส่งไท่ซ่างอย่างเคารพเช่นกัน”
“กระทั่งภายหลัง จากการที่มีผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งอุบัติขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ตำนานเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับหุบเขาสยบปีศาจจึงค่อย ๆ สลายหายไปในความทรงจำของผู้คน ตำนานเรื่องเล่าของผู้สูงส่งไท่ซ่างก็แทบจะกลายเป็นสิ่งต้องห้ามประเภทหนึ่ง ซึ่งมีน้อยคนมากที่พูดถึง”
เหล่าวัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศแห่งโลกเหลืองต่างพากันพูดคนละประโยค ภูมิหลังที่เป็นกองกำลังของพวกเขาต่างเก่าแก่มาก ๆ ข่าวลับเก่าแก่ที่ปุถุชนจำนวนมากไม่ทราบ ก็มีการบันทึกอยู่ในตำราเก่าแก่ของแดนศักดิ์สิทธิ์พวกเขาเช่นกัน
หวงฟางเทียนพยักหน้า “พวกท่านพูดถูก อ้างอิงจากข้อมูลที่เผ่าเหลืองของเรายึดกุม หลัวซิวนั่นรับช่วงดูแลหุบเขาสยบปีศาจต่อ กล่าวอ้างว่าตัวเองเป็นจ้าวแห่งหุบเขาสยบปีศาจ ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีโอกาสเป็นร่างที่ไท่ซ่างฉิงกลับชาติมาเกิดสูงมาก!”
“ว่าอย่างไรนะ!?”
พวกจูโร่เฉินต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน ต่างรู้สึกช็อกอย่างยิ่ง หากทั้งหมดที่หวงฟางเทียนกล่าวมาเป็นความจริง เช่นนั้นต้องไม่สามารถคาดคะเนผู้สูงส่งคนหนึ่งที่กลับชาติมาเกิดด้วยหลักการทั่วไปได้แน่นอน
ตอบรับคำเชื้อเชิญของฮวงหวูจี๋ พวกหลัวซิวมาถึงตำหนักหลักเมือง ครั้งก่อนขณะที่หลัวซิวและฮวงหวูจี๋ออกไปจากเมืองโบราณแห่งนี้พร้อมกัน ทั้งคู่ประสบกับการจู่โจมสังหารจากผู้อาวุโสพระบัญญัติ จึงส่งผลให้พลังอมตะราชาเทพที่ซ่อนอยู่ในหว่างคิ้วฮวงหวูจี๋ระเบิดด้วย จนทำให้เจ้าเมืองร้างที่อยู่ในการปิดขังตื่นตกใจ
ต่อมาเจ้าเมืองร้างได้ทำการสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตนเอง ผลการฝึกตนของผู้อาวุโสพระบัญญัติถูกทำลายทิ้ง แล้วถูกกักขังในคุกใต้ดิน ส่วนท่านพี่ของฮวงหวูจี๋ ฮวงหวูเต้ากลับถูกขังอยู่ในภูเขาหนาน ไม่สามารถก้าวออกมาจากภูเขาหนานภายในระยะเวลาหนึ่งหมื่นปี