มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2758 คัมภีร์ร้อยแปดหวงถิง
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2758 คัมภีร์ร้อยแปดหวงถิง
ค่ายเทพระดับเก้าผนึกฟ้าดิน เมื่ออยู่ภายใต้การผนึกระดับนี้ มาตรแม้นว่าเป็นยันต์ทะลุฟ้าราชันย์ระดับเก้าก็ไม่มีประสิทธิผลใด ๆ
ไร้ซึ่งหนทางหลบหนี จึงมีรังสีที่ดูลนลานปรากฏบนใบหน้าบูอิงสงทันที จากนั้นสภาพจิตใจก็สับสนขึ้นมาเช่นกัน
เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าหากไม่สามารถหลบหนีออกไปได้ละก็ เช่นนั้นเขาก็เหลือเพียงสองตัวเลือกสุดท้ายแล้ว
ซึ่งก็คือต่อสู้โดยทุ่มสุดกำลังสามารถ หรือไม่ก็ทำได้เพียงกราบขอร้องอ้อนวอน แต่ข้อแม้คือหลัวซิวยินดีปล่อยตัวเองไป
บุรุษผู้ภาคภูมิของสวรรค์อย่างบูอิงสงไม่มีทางยอมก้มหัวง่าย ๆ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้เลือกที่จะกราบขอร้องอ้อนวอน มีเปลวไฟที่จะทุ่มสุดกำลังสามารถทะลุออกมาจากสายตา
“ร่างกอปรมหายุทธ์!”
บูอิงสงตะคอกอย่างพิโรธ มีแสงสีทองพรั่งพรูออกมาจากร่างกาย เขากำเนิดจากตระกูลมหายุทธ์ที่เก่าแก่ บรรพบุรุษของตระกูลพวกเขา เป็นผู้แข็งแกร่งที่แทบจะสามารถเทียบทัดกับสวรรค์และจ้าววัฏสงสาร ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่แดนมหายุทธ์ในพิภพต่ำสามารถเทียบเคียงได้
ชนเผ่ามหายุทธ์ได้สืบทอดสายเลือดของบรรพบุรุษ ทว่าจากการที่กาลเวลาล่วงเลยไป เมื่อมาถึงยุคของบูอิงสง เส้นปราณมหายุทธ์ก็เบาบางมาก ๆ แล้ว การเรียกวิญญาณบรรพบุรุษสถิตร่างก็กลายเป็นวิชาต้องห้ามเช่นกัน ทันทีที่ใช้วิชานี้ผลลัพธ์ที่ตามมาก็จะได้ไม่คุ้มเสีย
นี่แทบจะเป็นอุบายไพ่เด็ดสุดท้ายของบูอิงสงแล้ว หลังจากใช้ร่างกอปรมหายุทธ์ กำลังรบของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างบ้าระห่ำ แทบจะบรรลุถึงขั้นที่สามารถเทียบทัดราชาเทพระดับเก้า
“สมกับเป็นชนเผ่ามหายุทธ์ที่เก่าแก่จริง ๆ ถึงแม้จะเป็นพลังสายเลือดที่เบาบาง แต่ก็สามารถยกระดับให้กำลังรบแข็งแกร่งเช่นนี้ได้”
เมื่อเผชิญหน้ากับบูอิงสงที่ศักยภาพพุ่งพรวด มาตรแม้นว่าเป็นหลัวซิวก็ต้องหลบเลี่ยงพลังโจมตีที่ดุดันก่อน
บูอิงสงยิ่งสู้ยิ่งรู้สึกตะลึง ถึงแม้เขาจะปลดปล่อยพลังอมตะอย่างร่างกอปรมหายุทธ์และเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบในศึกการเข่นฆ่าในครั้งนี้ แต่ถ้าเกิดไม่สามารถทลายการผนึกของค่ายเทพระดับเก้าที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่สามารถหลุดพ้นออกไปได้อยู่ดี
เขานึกไม่ถึงเลยว่าหลัวซิวจะแข็งแกร่งเช่นนี้ กำลังรบ ณ วินาทีนี้ของเขาเทียบเท่าราชาเทพระดับเก้าแล้ว แต่ก็ได้เปรียบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และจากการที่เวลาค่อย ๆ ล่วงเลยไป ศักยภาพของเขาก็จะค่อย ๆ อ่อนแอลง ทันทีที่อ่อนแอถึงจุดวิกฤตหนึ่ง เช่นนั้นสิ่งที่รอคอยเขาก็คือหนทางแห่งความตาย!
เพียงชั่วพริบตาเดียว เวลาก็ล่วงเลยไปหนึ่งชั่วโมง กำลังรบของบูอิงสงที่พุ่งพรวดลดลงอย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้พลังโจมตีของเขายังสามารถบีบให้หลัวซิวถอยหลังอย่างต่อเนื่องได้อยู่ ทว่าวินาทีนี้ หลัวซิวสามารถรับมือกับเขาได้อย่างสบายมือโดยสิ้นเชิงแล้ว
“กูบอกแล้วว่ามึงหนีเงื้อมมือกูไม่พ้นหรอก!”
หลัวซิวก็สัมผัสได้เช่นกันว่าพลังออร่าของบูอิงสงกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง เห็นเพียงร่างกายเขาสั่นเทิ้มทีหนึ่ง พลังร่างเนื้อที่เกะกะระรานและพลังเวทย์ที่บ้าระห่ำก็พรั่งพรู ง้างมือประสานอิน ตราสรรพสิทธิ์หนึ่งถูกปล่อยออกไปจนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว!
บูอิงสงตกตะลึงมากจนสีหน้าเปลี่ยนไป แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ถึงแม้จะมีเกราะเทพคุ้มกัน แต่ก็ถูกพลังที่เกะกะระรานม้วนซัดจนกระเด็นออกไปอยู่ดี แล้วกระอักเลือดอย่างบ้าคลั่ง
พลังอันแข็งแกร่งที่อยู่ในร่างกายกำลังสลายหายไปอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเส้นปราณมหายุทธ์ของเขาค่อนข้างอ่อนแอ หลังอมตะของร่างกอปรมหายุทธ์จึงประคองได้ไม่นานนัก
นี่จึงทำให้มีความสิ้นหวังผุดขึ้นมาในใจบูอิงสง ความมั่นใจและศรัทธาที่จะทุ่มสุดกำลังสามารถก็สั่นไหวไปตามกัน
“หลัวซิว กูไม่ได้มีความแค้นอะไรกับมึง กู……”
หลัวซิวต้องรู้อยู่แล้วว่าบูอิงสงจะพูดอะไร แต่เขากลับไม่รอให้บูอิงสงได้พูดจบเลยด้วยซ้ำ โบกมือไปมาแล้วพูดว่า: “มึงมาพูดอะไรตอนนี้มันจะมีประโยชน์หรือ? ระหว่างกูและมึงไม่มีความแค้นอะไรต่อกัน ทว่ามึงกลับจักร่วมมือกับผู้อื่นเพื่อมาจัดการกู ในเสี้ยววินาทีที่มึงตัดสินใจเป็นศัตรูกับกู มึงก็ควรเตรียมใจไว้แล้วว่ามึงต้องได้ดับสลายสูญสิ้นอยู่ที่นี่”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หัวใจของบูอิงสงก็ดิ่งลงไปถึงตาตุ่มภายในพริบตา เขาคำรามโกรธเกรี้ยวอย่างบ้าระห่ำ ปลดปล่อยรัศมีที่แวววาวที่สุดในชีวิตออกมา เมื่อมาถึงวินาทีนี้ ก็มีเพียงสู้สุดตัวแล้วล่ะ
ตู้มม!
พลังอมตะของทั้งสองคนประสางากัน ทำให้ทั่วทั้งท้องฟ้าจมหายไปในรังสีที่แวววาวจับตาอย่างไร้ขอบเขต ราวกับดาวเคราะห์สองดวงพุ่งชนกัน งดงามอย่างยิ่ง
ผ่านไปนานมาก ธงค่ายทั้งหลายก็บินมาจากทั่วทุกสารทิศ แล้วบินเข้าไปในแหวนเก็บของบนมือหลัวซิว หลัวซิวเดินออกมาจากรังสีที่แวววาวจับตา มีศพที่ร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยบาดแผลร่วงหล่นลงมาจากฟ้า แล้วตกเข้าไปในฝุ่นละออง
“แค่ก ๆ ๆ……”
หลัวซิวไอจนมีเลือดปนออกมาเล็กน้อย เริ่มจากพลังอมตะของร่างกอปรมหายุทธ์ ตามมาด้วยเผาผลาญชีวีดั้งเดิมสู้สุดกำลังสามารถ ถึงแม้เขาจะฆ่าบูอิงสงแล้ว อวัยวะภายในก็เสียหายไม่น้อยเช่นกัน ผลการฝึกตนลดฮวบ
“ในฟ้าดินนี้ขาดฐานร่างที่แข็งแกร่งไปอีกหนึ่งร่างแล้ว”หลัวซิวถอนหายใจพลางส่ายหน้า ตั้งแต่โบราณกาลมา บุตรผู้ภาคภูมิของสวรรค์มีมากจนนับไม่ถ้วน ร่างเทวทุกประเภทล้วนเป็นสิ่งที่หาพบได้ยาก ยิ่งกว่านั้นคือใช่ว่าจะอุบัติขึ้นมาในทุกยุคสมัยเสมอไป
ส่วนปัจจุบันร่างเทวร่างหนึ่งถูกหลัวซิวสังหาร ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง หากไม่มีศึกการต่อสู้ในครั้งนี้ละก็ อนาคตทันทีที่บูอิงสงเติบใหญ่ขึ้นมา เมื่ออาศัยความเกะกะระรานของร่างยิ่งศักดิ์ทอง ในฟ้าดินผืนนี้ต้องมีที่นั่งเล็ก ๆ ของเขาหนึ่งที่แน่นอน
กวาดตามองดูบริเวณรอบ ๆ หลัวซิวพูดพึมพำ “การแข่งขันชิงโควต้าของหอคอยฮวงน่าเวทนาอย่างยิ่ง อัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศนับหมื่นมารวมตัวกันที่นี่ กระทั่งเข่นฆ่ากันจนเหลือหนึ่งพันคนสุดท้าย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องมีคนดับสลายสูญสิ้นกี่คน”
ตั้งแต่โบราณกาลมา ในทุก ๆ ยุคสมัยล้วนจะมีช่วงเวลาที่เจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง ส่วนช่วงเวลานี้นั้น การโผล่พรวดพราดขึ้นมาของผู้แข็งแกร่งยุคใหม่ล้วนต้องผ่านการเหยียบย่ำซากกระดูกที่นับไม่ถ้วน สุดท้ายมีเพียงจำนวนคนไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถตั้งตระหง่านอยู่บนจุดสูงสุดของวิถียุทธ์ และยุคสมัยนี้ก็เป็นยุคสมัยที่เริ่มถดถอยสู่ความเสื่อมโทรมเช่นกัน เป็นลางของมหันตภัยแห่งยุค
ปัจจุบันหลัวซิวไม่ขาดแคลนยาเซียนต่าง ๆ เขากินยาเซียนลงไปหนึ่งเม็ด เพื่อฟื้นฟูผลการฝึกตนที่สูญเสียไป เนื่องจากเมื่ออยู่ในนี้ เขาสามารถประสบพบเจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งได้ทุกวินาทีเลย จึงจำเป็นต้องเตรียมทุกอย่างให้เพียบพร้อม
หลังจากผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนเทพมารระดับแปด การก้าวข้ามพันธนาการของหนึ่งแดนใหญ่ทำให้หลัวซิวสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยว่าศักยภาพของตัวเองแข็งแกร่งกว่าอดีตหลายเท่าตัวมาก หากยังอยู่ในช่วงที่ผลการฝึกตนยังไม่มีการบรรลุ เมื่อปะทะกับบูอิงสงด้วยแดนเทพมารระดับเจ็ดขั้นสูง เขาต้องเป็นฝ่ายแพ้แน่นอน!
เพราะผลการฝึกตนมีการบรรลุ เขาจึงสามารถปลดปล่อยพลานุภาพของสมบัติอย่างกระบี่ร่องฟ้า เตากลั่นนภาจื่อเซียวและศิลาเทวชิงเทียนได้มากขึ้นด้วย ส่วนศักยภาพโดยรวมนั้น ก็ได้รับการยกระดับไม่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เดินเที่ยวชมอยู่ในโลกาจ่างจงที่กว้างขวางนี้ หลัวซิวประสบพบเจอกับศึกการต่อสู้ใหญ่ ๆ สิบกว่าครั้งติดต่อกัน ภายใต้สถานการณ์ทั่วไปเขาจะไม่ลงมือสังหารฝ่ายตรงข้ามอย่างเหี้ยมโหด ขอแค่ฝ่ายตรงข้ามรู้ซึ้งถึงความยากลำบากแล้วถดถอย เขาก็จะไม่ไร้ความปราณี
แน่นอนอยู่แล้วว่าก็มีคนบางส่วนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องเจรจากับคนประเภทนี้เลย มีเพียงพยางค์เดียวที่จะมอบให้ นั่นก็คือฆ่า!
ตั้งแต่ย่างกรายลงเส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์เป็นต้นมา เขาก็เป็นคนที่ฆ่าปราบปรามอย่างเด็ดเดี่ยวมาโดยตลอด คนแบบใดควรฆ่า คนแบบใดไม่ควรฆ่า เขามีการพิจารณาของตัวเองอยู่
แผ่ขยายตัวสำนึกออกไป ภายใต้การปลุกเสกจากพลังญาณเทว ตัวสำนึกของเทพมารระดับแปดทั่วไปมากสุดแค่สามารถแผ่คลุมพื้นที่โดยรอบสองแสนกว่าไมล์ แต่ตัวสำนึกของเขากลับสามารถแผ่คลุมหนึ่งล้านไมล์ ทุกการเคลื่อนไหวล้วนอยู่ในสายตาเขา
ทันใดนั้นเอง ตัวสำนึกของหลัวซิวก็สัมผัสพลังออร่าที่คุ้นเคยได้ หัวใจเขาจึงสั่นไหวขึ้นมาทันที ก่อนจะผันร่างเป็นแสงกลดวงหนึ่งภายในพริบตา พุ่งทะลุฟ้าจนเสียงดังฟึ่บ บินตรงไปยังตำแหน่งที่อยู่ห่างไกลออกไป
จากระดับความเร็วของหลัวซิว ไม่นานนักเขาก็มาถึงเขตพื้นที่ที่อยู่ไกลเกือบล้านไมล์ ร่างกายของเขาได้หลอมรวมเข้ากับอนัตตาจนเป็นอันหนึ่งเดียวกัน ร่วงลงบนยอดเขาลูกหนึ่ง นอกซะจากมีคนใช้ตัวสำนึกสำรวจอย่างละเอียด มิเช่นนั้นก็ค้นพบร่องรอยของเขาได้ยากมาก
สายตาเพ่งมองออกไป เขามองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยหนึ่งร่าง ออร่าแห่งอสูรฟ้าสั่นกระเพื่อมออกไปจากหอคอยเทวสีดำที่อยู่เหนือศีรษะ ทำการต้านทานพลังอมตะทั้งหลายเอาไว้
ที่นี่คือสนามรบที่ยุ่งเหยิงแห่งหนึ่ง ของขลังพลังอมตะที่นับไม่ถ้วนบินลอยอยู่เต็มท้องฟ้า ที่นี่มีคนเข่นฆ่ารบกันไม่ต่ำกว่าร้อยคน ปริภูมิพังทลายเป็นวงกว้าง ยอดเขาที่นับไม่ล้มถล่ม
บนตัวผู้แข็งแกร่งทุกคนที่มาเข้าร่วมการแข่งขันชิงโควต้าหอคอยฮวง ล้วนมีอาวุธเทพระดับเก้าพกติดตัวไม่ต่ำกว่าหนึ่งชิ้น อาวุธเทพระดับเก้าจำนวนมากม้วนซัดอนัตตา มีพลานุภาพอันมากมายมหาศาลที่ทำให้ผู้คนหวาดหวั่นแผ่กระจายออกมา ภายในเขตพื้นที่บริเวณโดยรอบนับหมื่นไมล์ล้วนถูกโจมตีจนกลายเป็นฝุ่นผง วัตถุมีรูปทั้งปวงล้วนมลายหายไป
หลัวซิวแค่กวาดตามองอย่างเรื่อยเปื่อยรอบหนึ่ง ก็เห็นว่ามีหลายคนที่ตายอย่างน่าเวทนา เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเริ่มจากมีคนประมือกันที่นี่ ต่อมาคนอื่นที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงก็ทราบข่าวแล้วเร่งเดินทางมา จนค่อย ๆ กลายเป็นการตะลุมบอน
การตะลุมบอนประเภทนี้ แม้แต่ตัวหลัวซิวเองก็ไม่อยากเข้าร่วมง่าย ๆ ถึงแม้เขาจะมั่นใจในพลังป้องกันของตัวเองมาก ๆ แต่ถ้าเกิดถูกอาวุธเทพระดับเก้านับร้อยชิ้นถล่มอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าเปลี่ยนเป็นผู้ใดก็ต้องอนาถกันทั้งนั้นแหละ
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวยังมองเห็นฮวงหวูจี๋และหยุนยี่เทียนด้วย พวกเขาทั้งสองคนร่วมมือกับฮู๋ชิงชิงเพื่อกระตุ้นหอคอยเทพอสูรฟ้า พวกเขากำลังถูกหวงฟางเทียนพร้อมกับคนอีกห้าคนรุมโจมตี สถานการณ์เลวร้ายมาก
หลัวซิวจึงบินเข้าไปในสนามรบภายในพริบตาโดยที่ไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย
“ฮ่าฮ่า ไอ้แซ่หลัว มึงมาได้ตรงจังหวะพอดีเลย วันนี้กูจะรวดเก็บพวกมึงพร้อมกันนี่แหละ!”หวงฟางเทียนเห็นหลัวซิวบินเข้ามา จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
“เล่ากันว่ามึงเป็นร่างที่ผู้สูงส่งไท่ซ่างกลับชาติมาเกิด เช่นนั้นก็ให้กูดูหน่อยเถอะว่ามึงมีปัญญาความสามารถอย่างไรกันแน่!”หวงฟางเทียนบอกให้ห้าคนที่เหลือรุมโจมตีฮู๋ชิงชิงทั้งสามคน และพลังออร่าที่อยู่รอบกายเขาก็พุ่งพรวด ก่อนจะพุ่งตรงไปทางหลัวซิว
“ไสหัวไป! ตราสรรพสิทธิ์!”
หลัวซิวทลายอนัตตาจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น ฝ่ามือประสานอิน สรรพวิชาวิวัฒนาการพลังอมตะออกมา จากแดน ณ ปัจจุบันของเขา ภายในตราสรรพสิทธิ์มีพลังเต๋าของพลังแห่งชิงเทียน พลังแห่งสิงเทียนและพลังแห่งเวหาแฝงซ่อนอยู่ด้วย ทำให้พลังอมตะนี้ของเขามีพลานุภาพที่เกะกะระรานจนน่ากลัว
“นี่คือพลังอมตะอะไร?”
ใบหน้าของหวงฟางเทียนดูตะลึง อัญสมบัติโลกเหลืองมีนามว่าคัมภีร์ร้อยแปดหวงถิง ซึ่งมีพลังอมตะแฝงซ่อนอยู่แปดร้อยพลัง ส่วนวิชาตราประทับนี้ของหลัวซิวนั้น พลังอมตะพลังเต๋าที่แฝงซ่อนอยู่ภายในไม่ได้มีเพียงแปดร้อยพลังเท่านั้น เกรงว่าน่าจะมีนับหมื่นวิชาเลย!
“เวิ่งง!”
หอศาลาหนึ่งหลังปรากฏเหนือศีรษะหวงฟางเทียน ชี่แห่งดำเหลืองทั้งหลายดิ่งลงรอบกายเขา ตัวหอศาลาสว่างพร่างพราว ราวกับมีเทพมารที่นับไม่ถ้วนกำลังสวดมนต์ขอพรอยู่ภายใน ซึ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่ง
และหอศาลาหลังนี้ก็คือหวงถิงนั่นเอง ภายในมีเคล็ดเซียนคัมภีร์ฎีกาซ่อนอยู่แปดร้อยวิชา ทุกประเภทล้วนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เรียกได้เลยว่าเป็นวรยุทธ์พลังอมตะขั้นสุดยอด
ในฐานะที่หวงฟางเทียนเป็นอัจฉริยะแห่งเผ่าเหลือง เขาก็ฝึกหนึ่งในเคล็ดเซียนทั้งแปดร้อยของหวงถิงด้วย
เสียงตู้มดังขึ้น พลังอมตะของทั้งสองคนก็พุ่งชนกัน อนัตตานับพันไมล์ดับสลายเป็นฝุ่นผง
“แคว็กก!”
หวงถิงที่อยู่เหนือศีรษะหวงฟางเทียนแตกเป็นรอยร้าวหลายจุด ร่างกายก็บินกระเด็นออกไปหลายสิบไมล์
“เอาอีก!”
หลัวซิวก้าวเดินไปข้างหน้า ฝ่ามือประสานอิน พลานุภาพของตราสรรพสิทธิ์ครั้งที่สองรุนแรงกว่าครั้งแรกหลายระดับ
“ตู้ม!”
“ตู้ม!”
“……”
หลัวซิวปล่อยตราสรรพสิทธิ์ออกไปติดต่อกันสามครั้ง วิชาตราประทับทุกวิชาล้วนแข็งแกร่งกว่าครั้งก่อน ๆ หวงถิงที่อยู่เหนือศีรษะระเบิดแตกจนเสียงดังตู้ม ใบหน้าขาวซีด
เวลานี้เขาถึงจะค้นพบว่า ตัวเองถึงขั้นถูกสามพลังอมตะของหลัวซิวบีบจนถอยออกมาเกือบหมื่นไมล์แล้ว!
“สมกับเป็นร่างที่ผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งกลับชาติมาเกิดเสียจริง!”
หวงฟางเทียนหรี่ตาลงพลางพูดอย่างเยือกเย็น: “โควต้าหอคอยฮวงมีเพียงหนึ่งพันที่ หากระหว่างมึงและกูสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ถ้าเกิดเจอผู้อื่นลอบกัดมันจะได้ไม่คุ้มเสียเอา ไว้วันหลังกูค่อยมาสู้กับมึงใหม่!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ก็มีชี่แห่งดำเหลืองพรั่งพรูออกมาจากตัวหวงฟางเทียน กลายเป็นหวงถิงหนึ่งหลังอีกครั้ง ผันร่างเป็นแสงกลภายในพริบตา แล้วหายไปจากขอบฟ้า
เมื่อหวงฟางเทียนจากไป ทั้งห้าคนที่มาพร้อมกับเขาก็ต่างพากันจากไปเช่นกัน ทำให้ฮู๋ชิงชิง ฮวงหวูจี๋และหยุนยี่เทียนทั้งสามต่างรู้สึกโล่งอก แรงกดดันลดฮวบ