มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2783 เข้าสู่สนามรบ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2783 เข้าสู่สนามรบ
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่หรงหรง หลัวซิวก็ขมวดคิ้วลงอย่างควบคุมไม่ได้ พูดตามตรงเลยว่าเขาไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องประเภทนี้มาก ๆ
เนื่องจากอย่างไรเสียงนี้ก็เป็นบุญคุณความแค้นระหว่างสำนักเต๋าเสวียนและสำนักเจิ้นหลัวเทียน ถ้าเกิดเขาลงมือช่วยเหลือมู่หรงหรงที่นี่ เช่นนั้นก็ต้องเป็นศัตรูกับสำนักเต๋าเสวียนแน่นอน ต่อให้เขาไม่กลัวสำนักเต๋าเสวียน ทว่าเรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสียเช่นนี้ ไม่ว่าเปลี่ยนเป็นผู้ใดก็ไม่อยากทำหรอก
มิหนำซ้ำความสัมพันธ์ระหว่างเขาและมู่หรงหรงก็ไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้นด้วย ยิ่งกว่านั้นคือครั้นเมื่ออยู่ในหุบเขามังกรไฟพวกมู่หรงหรงทั้งสี่คนก็ได้ผลประโยชน์ไปจากตัวเองไม่น้อยเลย
ในขณะที่หลัวซิวกำลังจะบอกว่าตัวเองไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่นั้น คนฝั่งสำนักเต๋าเสวียนกลับเอ่ยปากพูดก่อน
“ผู้ใดบังอาจเข้ามายุ่งกับเรื่องในสำนักเต๋าเสวียนของกู? หากประเมินสถานการณ์เป็นก็รีบไสหัวไปซะ มิเช่นนั้นก็จะเป็นการรนหาที่ตาย!”
ชายวัยกลางคนรูปหน้าเหลี่ยมคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น ในขณะที่พูดอยู่นั้น ก็มีออร่าเกณฑ์พลังเต๋าที่แข็งแกร่งพรั่งพรูออกมา เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขาคือผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าคนหนึ่ง
ทันทีที่ออร่าของคนดังกล่าวปรากฏ สีหน้าของพวกมู่หรงหรงก็ดูย่ำแย่ลงไปมากกว่าเดิม บัดนี้นางถึงจะทราบว่าฝั่งสำนักเต๋าเสวียนยังมีเทพมารระดับเก้าคนหนึ่งอีกอย่างนั้นหรือ
โชคดีที่ผู้ที่มีผลการฝึกตนเทพมารระดับเก้าไม่ได้ลงมือแต่อย่างใด มิเช่นนั้นละก็ ถึงแม้หลัวซิวจะไม่ได้ปรากฏที่นี่ พวกมู่หรงหรงก็คงถูกเขากำจัดทิ้งตั้งนานแล้ว
แต่เมื่อนึกถึงศักยภาพอันแข็งแกร่งที่ผู้อาวุโสท่านนี้แสดงให้เห็นครั้นเมื่ออยู่ในหุบเขามังกรไฟมู่หรงหรงก็วางใจลง ก่อนหน้านี้นางยังกังวลอยู่เลยว่าผู้อาวุโสท่านนี้จะไม่ลงมือช่วยเหลือ ทว่าในเมื่อฝั่งสำนักเต๋าเสวียนเป็นฝ่ายยั่วยุก่อนแล้ว เช่นนั้นโอกาสที่ผู้อาวุโสท่านนี้จะลงมือก็เพิ่มสูงมากขึ้นแล้ว
มู่หรงหรงกำเนิดจากกองกำลังที่ถูกโอ๋จนเปราะบาง ทว่านางก็ยังมาฝึกฝนในมิติสมรภูมิกู่ไท่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยภยันตรายอยู่ดี ซึ่งหมายความว่านางไม่ใช่สตรีที่มีดีแค่เปลือกนอกเท่านั้น แต่เป็นสตรีที่มีทั้งความงามและสติปัญญา
และทุกอย่างก็เหมือนอย่างที่นางคาดการณ์เอาไว้จริง ๆ เดิมทีหลัวซิวไม่มีความคิดที่จะช่วยเหลือจริง ๆ เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างเขาและมู่หรงหรงยังไม่ได้ดีถึงขั้นให้เขาลงมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องชาวบ้าน
แต่ต่อให้อารมณ์ของหลัวซิวจะดีมากเพียงใด เมื่อมีคนยั่วยุตนก่อน ก็ทำให้แววตาของเขาดูเฉียบคมและดุดันขึ้นมาทันที
“ช่างปากดียิ่งนัก สำนักเต๋าเสวียนเจ๋งมากเลยรึ? ต่อให้บรรพอาจารย์สำนักเต๋าเสวียนของพวกมึงคลานออกมาจากโลงศพ ก็ไม่กล้าพูดจาโอหังต่อหน้ากู!”
หลัวซิวทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง เขาทราบความเป็นมาของสำนักเต๋าเสวียนอยู่ ในยุคสมัยที่เขาบรรลุเป็นผู้สูงส่ง สำนักเต๋าเสวียนก็เพิ่งกำเนิดเช่นกัน ในยุคสมัยนั้นเมื่อบรรพอาจารย์ผู้บุกเบิกสำนักเต๋าเสวียนเจอเขา ก็ต้องก้มคำนำให้อย่างเคารพนอบน้อม แล้วเรียกเขาว่าไท่ซ่างผู้สูงส่งอย่างเคารพ
“มึงมันรนหาที่ตาย! ไอ้คนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง! ถังจิ่งฉงกูก็อยากรู้เหมือนกันว่ามึงจะมีปัญญาความสามารถอะไร!”
ชายวัยกลางคนโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก ผู้ที่อยู่ในแดนเทพมารระดับแปดเหมือนกันมองความลึกตื้นในผลการฝึกตนของหลัวซิวไม่ออก ทว่าในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งแดนเทพมารระดับเก้า ถังจิ่งฉงกลับสามารถสัมผัสได้อยู่ว่าผลการฝึกตนของชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำนี่เป็นเพียงเทพมารระดับแปด
เทพมารระดับแปดเล็ก ๆ คนหนึ่งก็บังอาจจองหองเช่นนี้ หากไม่อบรมสั่งสอนเจ้าเด็กเดรัจฉานนี่ดี ๆ สักตั้ง ต่อไปเขาถังจิ่งฉงก็ไม่ต้องอยู่ในวงการนี้อีกแล้วล่ะ
สำหรับเหตุการณ์นี้นั้น หลัวซิวกลับเบื่อที่จะพูดจาไร้สาระแม้แต่คำเดียว เงาร่างกระพริบทีหนึ่ง ก่อนจะพุ่งออกไปทันที ไม่ได้ใช้พลังอมตะและอาวุธเทพใด ๆ เลย ปล่อยหมัดออกไปจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
“ไอ้คนไม่รู้จักความเป็นความตาย!”
เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามถึงกับพุ่งตรงเข้ามาด้วยกำปั้นเปล่า บนใบหน้าของถังจิ่งฉงก็เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารและรอยยิ้มอันดุร้าย ดังคำกล่าวที่ว่าเสือล่ากระต่ายต้องทุ่มสุดแรง เขาไม่มีทางออมมือหรอกนะ โบกมือครั้งเดียวเรียกกระบี่เทพออกมาหนึ่งเล่ม
“เตี๊ยงง!”
กระบี่เทพกับกำปั้นพุ่งชนกัน แต่กลับไม่มีภาพเหตุการณ์ที่เลือดสาดกระเด็นเกิดขึ้นเหมือนอย่างที่จินตนาการเอาไว้ ในทางตรงกันข้ามกลับมีเสียงแคว็กดังขึ้น กระบี่เทพพังทลาย มีเพียงกำปั้นเดียวเท่านั้นที่ก้าวรุดไปด้านหน้าอย่างองอาจ พุ่งตรงไปด้านหน้าถังจิ่งฉงโดยตรง
“ว่าอย่างไรนะ!”
สีหน้าของถังจิ่งฉงเปลี่ยนไปอย่างมาก กระทั่งบัดนี้แล้วเขาจะยังไม่เข้าใจได้อย่างไร ศักยภาพของชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำนี่อยู่เหนือการจินตนาการของเขา ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้อวดดีและไม่ได้รนหาที่ตายเลยด้วยซ้ำ แต่มีร่างเนื้อร่างเทวที่แข็งแกร่งมาก!
เพียงชั่วพริบตาเดียว หัวใจของถังจิ่งฉงก็ตกลงไปถึงตาตุ่ม เขารู้ว่าตัวเองเตะเข้ากับแผ่นเหล็กแล้ว เพียงหมัดเดียวฝ่ายตรงข้ามก็สามารถโจมตีอาวุธเทพระดับเก้าจนแตกสลายได้แล้ว ซึ่งนี่ก็หมายความว่าอย่างน้อยแดนร่างเนื้อร่างเทวของเขาก็บรรลุถึงระดับขั้นของราชาเทพระดับเก้าแล้ว
“วีรบุรุษยั้งมือก่อน! นี่เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด……”
ถังจิ่งฉงรีบตะโกนพูดเสียงดัง เมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตของตนเองแล้ว หน้าตาและศักดิ์ศรีก็ล้วนเปล่าประโยชน์
“เมื่อกี้มึงจองหองมากเลยมิใช่หรือ?”
กำปั้นของหลัวซิวได้หยุดอยู่ตรงหน้าถังจิ่งฉงภายในเสี้ยววินาที เขาชี้นิ้วออกไปหนึ่งนิ้ว ชี้ไปด้านหน้า ถังจิ่งฉงจึงอุทานอย่างตะลึงทันที ทั้งร่างกายกระเด็นออกไป และมีเลือดไหลนองออกมาจากหน้าผาก
สำหรับหลัวซิว ณ ปัจจุบันแล้ว สามารถพูดได้เลยว่าเมื่อเทพมารระดับเก้าขั้นปฐมภูมิทั่วไปอยู่ในเงื้อมมือเขา ก็ไม่สามารถต่อต้านอะไรได้เลยด้วยซ้ำ ไม่ต่างอะไรจากมดตัวจ้อยตัวหนึ่ง
ถังจิ่งฉงดิ้นรนพลางพยายามลุกขึ้นมาจากพื้น ในขณะที่กำลังจะขอร้องอ้อนวอนต่ออยู่นั้น กลับมีความเยือกเย็นทะลุออกมาจากดวงตาของหลัวซิว เขายังไม่ทันตอบสนองกลับมาได้ ก็มีแสงกระบี่เล่มหนึ่งเฉือนสับมา ทำการผ่าสังหารร่างกายเขาจนแยกออกเป็นสองซีกโดยตรง
สำหรับผู้ที่จักสังหารตนเองนั้น หลัวซิวไม่มีทางออมมือเพียงเพราะฝ่ายตรงข้ามอ่อนข้อขอร้องอ้อนวอน เนื่องจากในโลกของจอมยุทธ์ก็เป็นเช่นนี้แหละ ทันทีที่มีจิตที่จะสังหาร ก็ต้องเอาชีวิตของตัวเองมาเดิมพัน ต้องตระหนักได้ถึงความตาย
คนอื่นที่เหลือในสำนักเต๋าเสวียนตกตะลึงพรึงเพริดไปภายในพริบตา ถังก้วนเจ๋อที่กำลังต่อสู้กับต้วนเฉวียนก็รีบหยุดการโจมตีเช่นกัน เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าผู้คุมกฎเทพมารระดับเก้าของสำนักเต๋าเสวียนจะถูกฝ่ายตรงข้ามสังหารได้ง่ายดายเช่นนี้
สามารถสังหารเทพมารระดับเก้าได้อย่างง่ายดาย นี่จะมีทางเป็นเทพมารระดับแปดได้อย่างไร? อย่างน้อยก็เป็นเทพมารระดับเก้าช่วงปลาย และยิ่งมีโอกาสเป็นราชาเทพระดับเก้าแล้ว!
“ไสหัวไป!”
หลัวซิวเบื่อที่จะไปสังหารจอมยุทธ์คนอื่น ๆ ที่เหลือของสำนักเต๋าเสวียน แม้นการปล่อยคนพวกนี้ให้มีชีวิตรอดต่อไปจะทำให้สำนักเต๋าเสวียนโกรธเกลียดเขา และยิ่งมีโอกาสส่งผู้แข็งแกร่งมาไล่ล่าตน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน สำนักเต๋าเสวียนไม่มารุกรานเขาก็แล้วไป หากกล้ามารุกราน สักวันในอนาคตเขาก็ไม่รังเกียจที่จะล้มล้างรากฐานสำนักเขาของสำนักเต๋าเสวียน
พวกถังก้วนเจ๋อเหมือนได้รับพระราชทานอภัยโทษ จักกล้าพูดจาไร้สาระได้อย่างไร ต่างผันร่างเป็นแสงกลด้วยความเร็วที่รวดเร็วที่สุด แล้วหลบหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้
มู่หรงหรงพูดคำว่าเสียดายในใจ อันที่จริงนางคาดหวังว่าผู้อาวุโสท่านนี้จะสามารถลงมือสังหารพวกถังก้วนเจ๋อให้สิ้นซาก
แต่มู่หรงหรงก็ทราบเช่นกันว่าตนจะร้องขอเช่นนี้ไม่ได้ ทันทีที่ทำให้ผู้อาวุโสท่านนี้ไม่พอใจ เกรงว่าคงมีแต่จะทำให้เรื่องทุกอย่างกลับตาลปัตร ดังนั้นนางจึงเข้าใจดีมาก ๆ ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร
“ขอบพระคุณผู้อาวุโสอย่างยิ่งที่ช่วยชีวิตเราไว้”พวกมู่หรงหรงไม่มีเวลาไปสนใจสภาพอาการบาดเจ็บตามร่างกาย ต่างพากันคุกเข่าลงบนพื้นพลางกราบขอบคุณ
“มิต้องพิธีรีตองหรอก สำหรับพวกเจ้าแล้ว มิติสมรภูมิกู่ไท่อันตรายมากเกินไป โดยเฉพาะสถานภาพ ณ ปัจจุบันผันผวนไม่แน่นอน ข้าสามารถช่วยชีวิตพวกเจ้าหนึ่งหน สองหน ทว่าทุกครั้งที่ตกอยู่ในความอันตรายพวกเจ้าไม่มีทางบังเอิญพบข้าได้ตลอดแน่นอน”
หลัวซิวพูดอย่างเย็นชา “หากพวกเจ้ายินดีปฏิบัติตามคำแนะนำของข้า ก็รีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดซะ หรือไม่ก็ไปตามหาผู้แข็งแกร่งในสำนักเจิ้นหลัวเทียนของพวกเจ้า เพื่อให้พวกเขาคุ้มกันพวกเจ้า”
“ผู้อาวุโสพูดถูกเจ้าค่ะ ผู้น้อยก็วางแผนที่จะออกจากมิติสมรภูมิกู่ไท่แล้ว แต่ทว่าสำนักเต๋าเสวียนพึ่งพาวังชิงเทียนอาศัย ศึกสงครามระหว่างแดนเทวบรรพอัคคีในครั้งนี้ กองกำลังใหญ่ทั้งหลายที่พึ่งพาวังชิงเทียนอาศัยก็ล้วนส่งผู้แข็งแกร่งจำนวนมากเพื่อเร่งเดินทางมามิติสมรภูมิกู่ไท่เช่นกัน หากผู้อาวุโสอยู่ในมิติสมรภูมิกู่ไท่ต่อละก็ ต้องระวังให้มาก ๆ นะเจ้าคะ”มู่หรงหรงกล่าวเช่นนี้
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว หลัวซิวก็ขมวดคิ้วลง เรื่องนี้มันยุ่งยากเล็กน้อยจริง ๆ นี่จึงทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะมองหน้ามู่หรงหรงอีกครู่หนึ่ง มีแผนการอะไรซ่อนอยู่ภายใต้โฉมหน้าอันงดงามที่ทำให้คนมองยิ่งอยู่ยิ่งรู้สึกถูกตาสบายใจนี้กันแน่ ไม่นึกเลยว่านางจะลอบกัดเขาไปด้วย
“เป็นผู้หญิงฉลาดมากเกินไปไม่ใช่เรื่องดี บางครั้งคนฉลาดมักจะถูกความฉลาดของตนนำโทษมาให้”
หลัวซิวมองมู่หรงหรงด้วยสายตาที่ลึกซึ้งรอบหนึ่ง ก่อนจะพันร่างเป็นแสงกลดวงหนึ่ง แล้วบินตรงไปยังสนามรบฝั่งแดนเทวบรรพอัคคี
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ของหลัวซิว ความรู้สึกบนใบหน้าที่เรียวบางของมู่หรงหรงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย นางจักยังไม่เข้าใจอีกได้อย่างไร ความตั้งใจของตนถูกฝ่ายตรงข้ามมองจนทะลุปรุโปร่งแล้ว
นางมีวัตถุประสงค์ที่จะให้หลัวซิวเป็นศัตรูกับสำนักเต๋าเสวียนจริง ๆ ทว่าการวางแผนลอบทำร้ายผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตตัวเองไว้มันดีจริง ๆ หรือ?
……
มือหลัวซิวถือป้ายบัญชาการภารกิจ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ถูกขวางกั้นใด ๆ ก็เข้าไปในสนามรบฝั่งแดนเทวบรรพอัคคีได้อย่างราบรื่นแล้ว
ภารกิจในแดนเทวบรรพอัคคีเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกเล็กน้อย เงื่อนไขภารกิจในก่อนหน้านี้คือต้องทำลายล้างแท่นบูชาฐานค่าย ต่อมาก็มีภารกิจใหม่เพิ่มเข้ามาอีก นั่นก็คือหากสังหารจอมยุทธ์ในแดนเทวบรรพอัคคีก็สามารถได้รับของรางวัลเช่นกัน
จำนวนคนที่สังหารยิ่งมาก สังหารคนที่ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ รางวัลตอบแทนที่ได้รับก็จะยิ่งสูงเท่านั้น
ขณะที่เจ้าทำการสังหารผู้อื่น บนป้ายบัญชาการภารกิจจะมีลายค่ายพิเศษสลักอยู่ ซึ่งจะช่วยเจ้าบันทึกผลการฝึกตนของคู่ต่อสู้ที่ถูกสังหารเองอัตโนมัติ
เมื่อสังหารคู่ต่อสู้เทพมารระดับเจ็ดคนหนึ่งจะได้รับกรองแก้วมรกตดั้งเดิมหนึ่งหมื่นก้อนเป็นรางวัลตอบแทน สังหารคู่ต่อสู้เทพมารระดับแปดคนหนึ่งจะได้รับกรองแก้วมรกตดั้งเดิมหนึ่งแสนก้อนเป็นรางวัลตอบแทน สังหารคู่ต่อสู้เทพมารระดับเก้าคนหนึ่งจะได้รับกรองแก้วม่วงดั้งเดิมหนึ่งหมื่นก้อนเป็นรางวัลตอบแทน!
รางวัลนี้ดูเหมือนจะไม่สูงมากนัก แต่ทว่าหากจอมยุทธ์ที่มีศักยภาพแข็งแกร่งสามารถสังหารศัตรูได้มาก ก็จะได้รับทรัพยากรรายรับที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน
สงครามระดับนี้แทบจะไม่มีคู่ต่อสู้ที่อยู่ต่ำกว่าเทพมารระดับเจ็ดเลย เนื่องจากหากไม่มีผลการฝึกตนเทพมารระดับเจ็ด จักไม่มีผู้ใดมาตายในมิติสมรภูมิกู่ไท่ให้เสียเปล่าหรอก
“ตู้มม!”
ทันทีที่หลัวซิวเข้ามาในสนามรบ ก็มีมือไฟขนาดใหญ่ปรากฏกลางนภา มือใหญ่ข้างนี้บดบังท้องฟ้า พลังเต๋าที่แฝงซ่อนอยู่ภายในมากมายมหาศาลจนไม่อาจเทียบเคียงได้ ต่อให้เทพมารระดับเก้าลงมือก็ไม่มีทางมีพลานุภาพที่ดุดันเช่นนี้
เห็นได้ชัดเจนเลยว่านี่คือผู้แข็งแกร่งราชาเทพระดับเก้าคนหนึ่งในแดนเทวบรรพอัคคี ซึ่งมีโอกาสเป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของมกุฎศักดิ์สิทธิ์บรรพอัคคี และมีโอกาสเป็นจิตเศษเบื้องล่างที่มกุฎศักดิ์สิทธิ์บรรพอัคคีฟื้นคืนชีพกลับมา
“ทลายซะ!”
เสียงตะคอกหนึ่งดังก้องกังวาน มีศิลาเทวแท่นหนึ่งบินมาจากเหนือศีรษะผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่กำเนิดจากวังชิงเทียน แล้วพุ่งชนเข้ากับมือไฟใหญ่กลางนภาสูงอย่างรุนแรง
การประมือของผู้แข็งแกร่งราชาเทพระดับเก้ากระทบกระเทือนไปถึงเขตพื้นที่ที่กว้างใหญ่มาก เพราะฉะนั้นจอมยุทธ์คนอื่น ๆ ที่ผลการฝึกตนไม่ค่อยสูงต่างพากันปลีกตัวออก ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ เกรงว่าตนจะซวยไปด้วย
“ฟึ่บ!”
เทพมารระดับแปดคนหนึ่งของแดนเทวบรรพอัคคีถูกหลัวซิวใช้ฝ่ามือหนึ่งตบจนกลายเป็นหมอกเลือด แววตาที่ลึกซึ้งของเขามองไปทางแดนเทวบรรพอัคคี จากนั้นก็มองเห็นแท่นบูชาขนาดใหญ่ทั้งหลายที่สูงเสียดเมฆ แท่นบูชาประเภทนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับแท่นบูชาตรีภพที่เขาเจอในหุบเขาหมัวหลัว ทว่าธาตุแท้กลับแตกต่างกันมาก
แม้นแค่สังหารศัตรูที่นี่ก็ได้รับทรัพยากรจำนวนมากแล้ว ทว่ากลับได้รับทรัพยากรที่ระดับขั้นสูงกว่านี้ยากมาก แต่ถ้าเกิดสามารถทำลายแท่นบูชาฐานค่ายหนึ่งแท่น เช่นนั้นก็จะแตกต่างกันแล้วล่ะ เพราะจะได้รับหินบรรพไท่ชูสิบก้อนไม่ว่า ยังสามารถตระหนักรู้คัมภีร์เต๋าชิงเทียนได้อีกด้วย!
นั่นคือวรยุทธ์ระดับประมุขเต๋า เมื่ออาศัยความสามารถในการตระหนักรู้และความสามารถในการอนุมานของวิถีไร้ลักษณ์ ขอแค่ให้ระยะเวลาที่แน่นอน หลัวซิวเชื่อว่าตนสามารถตระหนักรู้วิถีชิงเทียนให้ขึ้นไปถึงระดับขั้นที่สูงมาก ๆ ได้แน่นอน
อีกทั้งเขาก็สามารถเรียนรู้จากพลังอมตะที่ประมุขเต๋าชิงเทียนทิ้งไว้เช่นกัน แล้วนำมาปรับพลังอมตะเต๋าชิงเทียนที่เขาอนุมานออกมาให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น