มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2786 หินสลักตรีภพ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2786 หินสลักตรีภพ
สหการค้ายังไม่ได้เริ่มต้นขึ้น จำนวนคนที่เร่งเดินทางมาก็ยิ่งอยู่ยิ่งมาก พื้นที่ภายในห้องโถงใหญ่กว้างขวางมาก มีคนนับพันมารวมตัวกันที่นี่ ผู้ที่สามารถเดินทางมาที่นี่ได้นั้นอย่างน้อยก็อยู่ในแดนเทพมารระดับแปด เทพมารระดับเก้าก็สามารถมองเห็นได้ทั่วไปเช่นกัน แม้นปัจจุบันศักยภาพของหลัวซิวจะสามารถเทียบทัดราชาเทพระดับเก้าแล้ว แต่เขาก็รู้ตัวดีอยู่ว่าผู้คนที่มาเข้าร่วมสหการค้าในครั้งนี้ มีคนจำนวนมากที่แข็งแกร่งกว่าเขามาก ๆ
ทั้งห้องโถงใหญ่เงียบสงบมาก แม้นจะมีคนพูดคุยกัน แต่เสียงก็ค่อนข้างเบา คนจำนวนมากล้วนสื่อสารกันผ่านตัวสำนึก
“ก๊อง!”
เสียงระฆังที่ไพเราะดังก้องขึ้นมา มีเวทีหินเวทีหนึ่งค่อย ๆ เลื่อนขึ้นมากลางห้องโถงใหญ่รูปวงรี
รูปทรงของเวทีหินคือทรงกลม และมีรัศมีทั้งหลายมาผนึกรวมกันด้านบนเวทีหิน จนทั้งสี่ด้านประกอบเป็นจอภาพที่สะท้อนออกไปจากค่ายกล ไม่ว่าจะนั่งอยู่ในตำแหน่งใดในห้องโถง ก็ล้วนสามารถมองเห็นข้อมูลที่ปรากฏบนจอภาพเงาสะท้อน
มีคลื่นสั่นกระเพื่อมออกไปจากหน้าจอค่ายกล จากนั้นก็มีชายที่รูปร่างลักษณะอ่อนโยนคนหนึ่งปรากฏบนหน้าจอ
“ข้าน้อยก็ขอไม่พูดอะไรให้มากความแล้ว คาดว่าทุกท่านที่สามารถมาเข้าร่วมสหการค้าในครั้งนี้ล้วนเข้าใจกฎเกณฑ์ดีแล้ว สหการค้าที่วังนภาทั้งสิบสองของเราร่วมมือกันจัดตั้งขึ้นมาในครั้งนี้ ก็เพื่อหวังว่าจอมยุทธ์ในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดของเราจะสามารถยกระดับศักยภาพของตัวเอง แล้วรับมือกับมหันตภัยที่จะมาเยือนในอนาคต”
สหการค้าค่อนข้างคล้ายคลึงกับงานประมูล แต่ก็แตกต่างจากงานประมูลเช่นกัน ครั้นเมื่ออยู่สถานที่อื่น หลัวซิวก็เคยเข้าร่วมงานที่เป็นทำนองนี้เช่นกัน โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่มาเข้าร่วมสหการค้าจะผลัดเปลี่ยนกันนำสมบัติออกมา จากนั้นคนอื่นก็จะแข่งประมูล ซึ่งผู้ที่เสนอราคาสูงที่สุดจะเป็นผู้ที่ได้ครอบครองสมบัติชิ้นนั้น
หลังจากเงาร่างของชายวัยกลางคนบนหน้าจอเงาสะท้อนค่ายกลหายไปแล้ว สหการค้าก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
“ชัวะ!”
มีเงาดำร่างหนึ่งปรากฏบนเวทีทรงกรมที่อยู่กลางห้องโถงใหญ่ ถัดจากนั้นเงาร่างของคนดังกล่าวก็ปรากฏบนหน้าจอเงาสะท้อนค่ายกล
นี่คือชายที่รูปร่างผอมสูงคนหนึ่ง ทว่าบนใบหน้ากลับสวมใส่หน้ากากหนึ่งใบ ซึ่งประโยชน์ของหน้ากากคือสามารถขวางกั้นการสำรวจของตัวสำนึก เห็นได้ชัดเจนเลยว่าฝ่ายตรงข้ามระมัดระวังมาก ๆ ไม่ยอมเปิดเผยตัวตนที่นี่ง่าย ๆ
“สิ่งที่ข้าจะทำการค้าขายคือวรยุทธ์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์หนึ่งวิชา ต้องการกรองแก้วโลหิตดั้งเดิม หากมีหินบรรพไท่ชูก็จักยิ่งดีเลย”
ภายใต้ผลกระทบจากค่ายกล เสียงของคนดังกล่าวก็สะท้อนเข้าไปในหูทุกคนอย่างชัดเจน
หลัวซิวไม่สนใจวรยุทธ์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เลยแม้แต่น้อย อันที่จริงต่อให้เป็นเคล็ดเซียนระดับผู้สูงส่ง ก็ทำให้เขาเกิดความสนใจได้ยากมาก มีเพียงวรยุทธ์เคล็ดเซียนระดับประมุขเต๋าเท่านั้นถึงจะสามารถทำให้เขาหวั่นไหวได้อย่างแท้จริง
ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน วรยุทธ์ที่เป็นการถ่ายทอดสืบสานของตระกูลลิ่งฮู๋ของพวกเขาก็คือระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์นี่แหละ อีกทั้งยังเป็นวรยุทธ์ขั้นสุดยอดในบรรดาเคล็ดเซียนระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ด้วย
พวกเขาทั้งสองคนไม่สนใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่สนใจ อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับโอกาสในการฝึกวรยุทธ์เคล็ดเซียนของแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอด เคล็ดเซียนระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์หนึ่งวิชาดึงดูดผู้เข้าร่วมการประมูลได้เยอะมาก
ไม่นานนัก มูลค่าของวรยุทธ์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์วิชานี้ก็เพิ่มขึ้นถึงกรองแก้วโลหิตดั้งเดิมสามล้านก้อน และตั้งแต่บัดนี้นี่เอง ช่วงราคาก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นช้าลง
กรองแก้วโลหิตดั้งเดิมสามล้านก้อนดูเหมือนจะไม่เยอะ แต่ก็ต้องดูก่อนว่าผู้ใดเป็นผู้จ่าย กรองแก้วโลหิตเป็นหินแก้วดั้งเดิมชั้นสุดยอด ยิ่งไปกว่านั้นคือหากชื่อเสียงของวรยุทธ์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ไม่โด่งดังมากพอละก็ ต่อให้ได้รับมาแล้วก็ใช่ว่าจะสามารถฝึกถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้เสมอไป
โดยส่วนใหญ่แล้วอัจฉริยะที่มั่นใจว่าอนาคตตนต้องสามารถบรรลุเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้แน่นอน ล้วนกำเนิดจากแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอด คนเหล่านั้นย่อมไม่ขาดแคลนวรยุทธ์ระดับนี้อยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อนำวรยุทธ์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์มาไว้ในสถานที่ประเภทนี้ มันก็มีมูลค่าเท่านี้เอง
สุดท้ายมูลค่าของวรยุทธ์ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์วิชานี้ก็เพิ่มขึ้นถึงกรองแก้วโลหิตดั้งเดิมสี่ล้านห้าแสนก้อน ถูกหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่งดงามมากซื้อไป
หลังจากยืนยันการซื้อขายแล้ว จะมีพนักงานเฉพาะทางของสหการค้านำม้วนหยกที่มีวรยุทธ์บันทึกส่งไปในมือหญิงวัยกลางคน หลังจากทั้งสองฝ่ายยืนยันของจริงเท็จเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะจ่ายกรองแก้วโลหิตดั้งเดิม จนสำเร็จการซื้อขายในครั้งนี้
ผู้ที่มีความมั่นใจในการมาเข้าร่วมสหการค้านั้น ในมือต้องมีสมบัติที่มีมูลค่าไม่ธรรมดาแน่นอน ถัดจากนั้นสมบัติที่คนที่สองที่ขึ้นไปเอาของมาคือต้นยาเซียนหนึ่งต้น
ยาเซียนต้นนี้คือผลโพธิคังจิน ซึ่งมีพลังเกฑณ์ธาตุทองที่ถูกหล่อเลี้ยงออกมาเองตามธรรมชาติแฝงซ่อนอยู่ภายใน หากกลั่นแปรมันโดยตรงละก็ จะสามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งที่ฝึกวิถีทองได้ตระหนักรู้ในพลังเต๋า หากนำมันไปกลั่นเป็นยาละก็ ประสิทธิผลจะดีกว่ามาก
ในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด กองกำลังใหญ่ที่มีการสืบสานยาวนานมีเยอะมาก ทุกแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดล้วนอยากบ่มเพาะผู้แข็งแกร่งที่นับไม่ถ้วนออกมา ต่างจึงต้องมีนักกลั่นยาที่ตนบ่มเพาะอยู่แล้ว
มูลค่าที่แท้จริงของผลโพธิคังจินอยู่ที่เม็ดยาเซียนที่ผ่านการกลั่นด้วยผลโพธิคังจิน ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากเริ่มแข่งประมูล
หลัวซิวไม่ใช่จอมยุทธ์ที่ฝึกวิถีธาตุทอง ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับยาเซียนต้นนี้มากขนาดนั้น และเบื่อที่จะประมูลแล้วนำมันกลับไปกลั่นเป็นเม็ดยาอีก
ต่อมาก็มีคนเดินขึ้นเวที แล้วนำสมบัติที่แตกต่างกันออกมาอย่างต่อเนื่อง แม้นสมบัติเหล่านี้จะไม่ธรรมดามาก แต่ล้วนไม่ใช่สิ่งที่หลัวซิวต้องการ
และในเวลานี้เองก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินขึ้นไปบนเวทีหิน แล้วหยิบก้อนหินที่มีรูปร่างลักษณะแปลกประหลาดออกมาหนึ่งก้อน หากไม่ใช่เพราะมีออร่าตรีภพแพร่กระจายออกมาจากก้อนหินก้อนนั้น คนจำนวนมากที่อยู่ในงานคงคิดว่าสิ่งที่เขาเอาออกมาเป็นเพียงก้อนหินทั่วไปก้อนหนึ่ง
“ข้าคิดว่าน่าจะมีคนรู้จักเจ้าสิ่งนี้อยู่ นี่คือหินสลักตรีภพที่ข้าได้รับมาจากส่วนลึกของสมุทรตรีภพ มันผ่านการชะล้างจากออร่าตรีภพมายาวนานอย่างไม่รู้จบ ด้านบนมีพื้นผิวธรรมเวชตรีภพพรสวรรค์ประทับอยู่ หากท่านเป็นจอมยุทธ์ที่ฝึกวิถีตรีภพ ไม่แน่อาจตระหนักความล้ำลึกของตรีภพดั้งเดิมได้จากหินสลักตรีภพพรสวรรค์ก็เป็นได้”
ชายหนุ่มคนนี้พูดเก่งมาก ๆ เมื่อเขาพูดมูลค่าของหินสลักตรีภพออกมา ก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ในงานฮือฮาขึ้นมาทันที
จอมยุทธ์ที่สามารถฝึกถึงเทพมารระดับเก้าได้นั้น ล้วนทราบกันดีว่าวิถีตรีภพครอบจักรวาล และได้รับฉายาว่าเป็นหนึ่งในวิถียุทธ์ที่ฝึกยากที่สุด
แม้แต่วิถีเวลาที่ลึกลับจนไม่อาจคาดเดาได้ รวมไปถึงวิถีปริภูมิ ก็ล้วนฝึกไม่ยากเท่าวิถีตรีภพ
เนื่องจากสิ่งที่ตรีภพครอบคลุมมีมากเกินไป ซึ่งภายในครอบคลุมการทำลายล้าง แล้วก็ธรรมชาติรังสรรค์
แต่ทว่าเพราะคุณสมบัติพิเศษประเภทนี้นี่เอง ต่อให้เจ้าจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่ฝึกวิถียุทธ์อื่น หากสามารถตระหนักรู้ในเกณฑ์ตรีภพได้ละก็ ก็สามารถรู้ซึ้งและเข้าใจถึงแขนงวิชาใกล้เคียงได้ด้วย ทำให้การตระหนักรู้และความเข้าใจในเกณฑ์พลังเต๋าลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะสมบัติที่มีลายเกณฑ์พรสวรรค์แฝงซ่อนอยู่ เพราะเกณฑ์ที่ถูกหล่อเลี้ยงขึ้นมาเองโดยธรรมชาติจักล้ำลึกกว่าเกณฑ์ที่ตัวจอมยุทธ์ไปตระหนักรู้ด้วยตนเอง ทำให้มูลค่าของหินสลักที่ดูธรรมดาเรียบง่ายก้อนนี้พุ่งสูงขึ้นทันที
แน่นอนอยู่แล้วว่าหากความสามารถในการตระหนักรู้ไม่ล้ำเลิศละก็ ต่อให้ได้รับหินสลักตรีภพแล้วก็ตระหนักรู้อะไรไม่ได้ มีเพียงจะทำให้สมบัติชิ้นนี้เสียหายเปล่า ๆ
ด้วยเหตุนี้ขอแค่เป็นผู้ที่เข้าร่วมการประมูล ทุกคนล้วนมั่นใจความสามารถในการตระหนักรู้ของตัวเองมาก
มูลค่าของหินสลักตรีภพพุ่งสูงขึ้นเร็วมาก เพียงชั่วพริบตาเดียวก็เพิ่มขึ้นไปถึงกรองแก้วโลหิตดั้งเดิมสี่ล้านก้อน อีกทั้งมันยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย
หลัวซิวรู้อยู่ว่าวิถีที่หนิงหานหลิงฝึกก็คือวิถีตรีภพ แต่หนิงหานหลิงกลับไม่ได้เข้าร่วมการแข่งประมูล ทว่าผู้ที่แข่งประมูลกลับเป็นสตรีผู้มีนามว่าเยว่อิ่งนั่น
เดิมทีหลัวซิววางแผนไว้ว่าหากหนิงหานหลิงเข้าร่วมการประมูลละก็ เขาก็จะไม่แข่งประมูลด้วยแล้ว แต่ถ้าเกิดเป็นเยว่อิ่งที่ไร้มารยาทนั่น หลัวซิวย่อมไม่มีทางเกรงใจอยู่แล้ว
เมื่อปีนั้นภายใต้การชี้แนะของเขา เสิ่นปิงหยูได้ย่างกรายสู่เส้นทางแห่งการฝึกวิถีตรีภพ หลัวซิววางแผนที่จะซื้อหินสลักตรีภพก้อนนี้มา แล้วนำกลับไปมอบให้นางเป็นของขวัญ
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง มูลค่าของหินสลักตรีภพก็เพิ่มขึ้นไปถึงกรองแก้วโลหิตดั้งเดิมห้าล้านก้อน บัดนี้ผู้ที่เข้าร่วมการแข่งประมูลเหลือไม่มากแล้ว
“กรองแก้วโลหิตห้าล้านสอง!”เสียงที่ไพเราะดังก้องขึ้น ถัดจากนั้นก็มีเงาร่างของเยว่อิ่งปรากฏบนหน้าจอเงาสะท้อนค่ายกล ทำให้ทุกคนล้วนทราบว่าผู้ใดเป็นผู้ประมูล
“ห้าล้านห้า!”
ราคาที่สูงกว่าแทบจะไม่มีความลังเลใจและชะงักงันเลยแม้แต่น้อย อยู่เหนือราคาที่เยว่อิ่งเสนอทันที
นี่จึงทำให้สีหน้าของเยว่อิ่งดูย่ำแย่เล็กน้อย เมื่อเห็นใบหน้าที่ปรากฏบนหน้าจอเงาสะท้อนค่ายกล สายตาเขาก็จับจ้องไปทางหลัวซิวทันที
“เป็นเพียงเทพมารระดับแปดกระจอก ๆ มึงมีกรองแก้วโลหิตมากเช่นนั้นเลยรึ?”น้ำเสียงของเยว่อิ่งเยือกเย็นมาก และยิ่งมีจิตสังหารปนอยู่เล็กน้อย
“กูจะมีกรองแก้วโลหิตหรือไม่มี มันเกี่ยวอะไรกับมึงรึ? ถ้าไม่มีเงินก็อย่ามาแสร้งทำเป็นใหญ่ที่นี่”ภาพจำของหลัวซิวที่มีต่อสตรีนางนี้ย่ำแย่มาก ดังนั้นคำพูดคำจาก็ไม่เกรงใจมากเช่นกัน
“ศิษย์น้องหนิง ดูท่าแววตาของเจ้าย่ำแย่มากเลยนี่ ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะคบค้าสมาคมกับคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้”
เยว่อิ่งกวาดตามองหนิงหานหลิงที่อยู่ข้างกายรอบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากพูดอีกครั้ง “กรองแก้วโลหิตหกล้านก้อน!”
แม้สีหน้าอารมณ์ของนางจะดูเรียบนิ่งมาก แต่หลัวซิวกลับสามารถดูออกอยู่ว่านิ้วมือของสตรีนางนี้สั่นเล็กน้อย เห็นได้ชัดเจนเลยว่าแม้นางจะกำเนิดจากตำหนักเยว่เทียน แต่ไม่สามารถควักกรองแก้วโลหิตหกล้านก้อนออกมาได้ง่าย ๆ แน่นอน
บางทีกรองแก้วโลหิตหกล้านก้อนอาจจะเป็นทรัพย์สินทั้งหมดของนางแล้ว อย่างไรเสียทรัพยากรอย่างกรองแก้วโลหิตดั้งเดิมก็เป็นทรัพยากรที่ผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพระดับเก้าเป็นต้นไปใช้
“หกล้านห้า”หลัวซิวไม่ได้ปราณีเลยแม้แต่น้อย บวกเพิ่มอีกห้าแสนโดยตรง
“มึง! ……”
ครั้งนี้เยว่อิ่งโกรธแล้วจริง ๆ แววตาที่มีจิตสังหารเข้มข้นมากกว่าเดิมจ้องมองไปทางหลัวซิวอย่างเยือกเย็นรอบหนึ่ง มดตัวจ้อยตัวนี้ช่างกล้าหาญยิ่งนัก บังอาจมาเก่งแย่งสมบัติที่นางหมายตาไว้อย่างนั้นหรือ
นางตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าคนดังกล่าวจะรู้จักหนิงหานหลิงหรือไม่ และไม่สนเช่นกันว่าอดีตพวกเขาจะอยู่ในความสัมพันธ์แบบใด ขอแค่สิ้นสุดสหการค้าในครั้งนี้ นางก็จะทำการสังหารคนดังกล่าวแน่นอน ถึงครานั้นตนไม่ต้องเสียกรองแก้วโลหิตแม้แต่ก้อนเดียว ก็ครอบครองหินสลักตรีภพได้เช่นกัน
หลังจากจ่ายกรองแก้วโลหิตเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่เก็บหินสลักตรีภพเข้าที่อยู่นั้น เขาก็สัมผัสได้ว่ามีสายตาสองคู่กำลังจับจ้องมาทางตัวเอง หนึ่งในนั้นย่อมต้องเป็นแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารของเยว่อิ่งอยู่แล้ว ส่วนอีกแววตานั้นมาจากหนิงหานหลิง
หนิงหานหลิงก็เป็นจอมยุทธ์ที่ฝึกวิถีตรีภพเช่นกัน อีกทั้งอดีตนางกำเนิดจากตระกูลหนิง บนตัวก็น่าจะมีทรัพยากรสมบัติที่มีมูลค่าไม่ธรรมดาติดตัวอยู่ แม้นตระกูลหนิงจะเทียบเคียงกับตำหนักเยว่เทียนไม่ได้ ทว่าเยว่อิ่งที่อยู่ในตำหนักเยว่เทียนเป็นเพียงศิษย์ทั่วไป ส่วนหนิงหานหลิงนั้นกลับเป็นองค์หญิงน้อยของตระกูลหนิง
จากกำลังทรัพย์ของหนิงหานหลิง นางสามารถซื้อหินสลักตรีภพมาได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว แต่สาเหตุที่นางกลั้นใจไม่ประมูลนั้น น่าจะเป็นเพราะเยว่อิ่ง
แต่หลัวซิวไม่มีความคิดที่จะยกหินสลักตรีภพให้หนิงหานหลิงแต่อย่างใด มาตรแม้นว่าอดีตหนิงหานหลิงจะเคยช่วยชีวิตเหยียนซีโรว่เอาไว้ ทว่าตนก็เคยช่วยชีวิตนางเช่นกัน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เสิ่นปิงหยูเป็นคนฝ่ายตน ส่วนหนิงหานหลิงนั้นเป็นเพียงคนนอก
ไม่ว่าจะตัดสินใจทำเรื่องอะไร หลัวซิวล้วนมีหลักการของตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งไม่เคยลังเลใจเลย
สหการค้ายังคงดำเนินการต่อไปเรื่อย ๆ หลังจากสิ้นสุดหินสลักตรีภพแล้ว ก็มีสมบัติอีกชิ้นหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของหลัวซิว
สมบัติชิ้นนี้มีนามว่ากรองแก้วจิตนภา ซึ่งประสิทธิผลที่ดีที่สุดของมันก็คือนำมันมาชุบตัวสำนึก!
นอกจากผลการฝึกตนที่ยกระดับช้ามาโดยตลอดแล้ว พลังตัวสำของหลัวซิวก็ยกระดับค่อนข้างช้าเช่นกัน เนื่องจากระดับของเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณสูงเกินไป อย่างน้อยก็เป็นเคล็ดเซียนกลั่นวิญญาณระดับประมุขเต๋า เพราะฉะนั้นแดนตัวสำนึก ณ ปัจจุบันของเขาจึงหยุดอยู่แค่แดนเทพมารระดับเก้า
ทว่ากรองแก้วจิตนภากลับเป็นสมบัติที่สามารถทำให้แดนตัวสำนึกของผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าได้รับการยกระดับหนึ่งแดนเล็ก!
ยกตัวอย่างเช่นเมื่อตัวสำนึกของเจ้าบรรลุถึงเทพมารระดับเก้าช่วงปลาย หลังจากใช้กรองแก้วจิตนภาแล้ว ก็จะสามารถทำให้พลังตัวสำนึกยกระดับขึ้นไปถึงเทพมารระดับเก้าขั้นสูง!
แต่ถ้าเกิดอยากบรรลุจากขั้นสูงสู่ราชาเทพระดับเก้าละก็ จำเป็นต้องใช้กรองแก้วจิตราชาที่มีระดับขั้นสูงกว่าแล้ว