มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2797 ข้อเสนอของลู่ยู่จื่อ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2797 ข้อเสนอของลู่ยู่จื่อ
หลัวซิวสัมผัสเจตนาร้ายจากตัวชายหนุ่มคนดังกล่าวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งเขาก็สามารถสัมผัสได้เช่นกันว่าดูเหมือนเรื่องที่ฝ่ายตรงข้ามรู้นั้นจะมีมากกว่าเขา ดังนั้นเขาจึงสอบถามอย่างถ่อมตัวมาก
“ผู้เพื่อนยุทธ์รู้จักยุคสมัยที่เก่าแก่กว่ายุคไท่ชูหรือไม่?”
ชายหนุ่มค่อยๆ เอ่ยปากถาม หลังจากเห็นหลัวซิวพยักหน้า เขาก็พูดต่ออีกว่า “ประวัติศาสตร์ที่หอคอยนภากาศอุบัติขึ้นมานั้น ไม่มีการบันทึกตั้งนานแล้ว ข่าวลือที่น่าเชื่อถือมากที่สุดก็คือหอคอยนภากาศคงอยู่มาตั้งแต่ยุคสมัยที่เริ่มกำเนิดดาราจักรวาลแห่งนี้”
“ช่วงแรกหอคอยนภากาศมี 33 ชั้น ซึ่งเป็นตัวแทนของ 33 สวรรค์ และสอดคล้องกับธรรมดั้งเดิมทั้ง 33 และหอคอยนภากาศเผยให้เห็นกี่ชั้นนั้น มันมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ว่าปัจจุบันมีผู้แข็งแกร่งที่ฝึกธรรมดั้งเดิมที่สอดคล้องกันคงอยู่หรือไม่”
“ยกตัวอย่างที่เข้าใจง่ายที่สุด ปัจจุบันหอคอยนภากาศเผยให้เห็นทั้งหมด 12 ชั้น เจ้าเดินทางมาตั้งแต่ชั้นแรกจนมาถึงที่นี่ ก็น่าจะสัมผัสธรรมดั้งเดิมที่แตกต่างกันในทั้ง 12 ชั้นได้เช่นกัน ซึ่งนี่ก็หมายความว่าในยุคปัจจุบัน มีผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าที่ฝึกธรรมดั้งเดิมทั้ง 12 ประเภทนี้ 12 คน”
เมื่อได้ยินคำตอบดังกล่าว หลัวซิวก็รู้สึกน่าทึ่งมาก เท่าที่เขาทราบในยุคปัจจุบันไม่มีประมุขเต๋าคงอยู่นี่
เมื่อเห็นสีหน้าของหลัวซิว ดูเหมือนชายหนุ่มจะทราบความในใจเขา จึงยิ้มอ่อนพลางตอบกลับ: “เมื่อผลการฝึกตนบรรลุถึงระดับประมุขเต๋า อันที่จริงก็สามารถทำให้ตัวเราคงอยู่ร่วมกับดาราจักรวาลแล้ว แทบจะกลายเป็นอมตะ การที่ประมุขเต๋าไม่เปิดตัวสู่โลกาภายนอกนั้น ไม่ได้หมายความว่าผู้แข็งแกร่งระดับประมุขเต๋าไม่คงอยู่”
“อีกทั้งโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดที่เจ้ารู้จักนั้นไม่ใช่ทั้งหมดของดาราจักรวาล แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของดาราจักรวาลทั้งหมดเท่านั้น”
“เจ้าหมายถึงมหาโลกาพันสามในจักรวาลกันดาร รวมไปถึงโลกาดาราอื่น ๆ หรือ?”หลัวซิวถามอย่างรู้สึกสงสัย
ชายหนุ่มยิ้มพลางส่ายหน้า “อันที่จริงมหาโลกาพันสามที่เจ้ากล่าวถึง โลกาดาราอีกจำนวนมาก รวมไปถึงโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน ต่างอยู่ในห้วงดาราเดียวกัน”
“ทว่าห้วงดาราหนึ่งไม่ได้หมายความว่าจะเป็นทั้งหมดของจักรวาล แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของจักรวาล ข้าอธิบายเช่นนี้เจ้าเข้าใจหรือไม่?”คำพูดที่ชายหนุ่มพูดออกมาน่าทึ่งมาก
“เจ้าคือผู้ใด? แล้วทราบเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร?”หลัวซิวมองฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาที่ตะลึงงันเล็กน้อย เนื่องจากข้อมูลทั้งหมดที่ฝ่ายตรงข้ามกล่าวมานั้นมันน่าทึ่งมากเกินไปแล้วจริง ๆ
“ข้ามีนามว่าลู่ยู่จื่อ บางทีเจ้าอาจเคยได้ยินชื่อเสียงของข้ามาก่อน”ชายหนุ่มยิ้มอ่อน
“ลู่ยู่จื่อ? ผู้แข็งแกร่งยุคแรกแห่งโลกเสวียน?”
รูม่านตาหลัวซิวหดลง เขาต้องเคยได้ยินชื่อลู่ยู่จื่อมาก่อนอยู่แล้ว เนื่องจากครั้นเมื่อเขายังเป็นไท่ซ่างฉิงเมื่อชาติปางก่อน ลู่ยู่จื่อก็เป็นผู้แข็งเกร็งที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ๆ
แต่ทว่าทันทีที่สิ้นสุดยุควัฏสงสาร ในยุคสมัยที่เพิ่งเริ่มยุคมหาศักดิ์ ขณะที่เขาบรรลุสู่แดนผู้สูงส่ง ลู่ยู่จื่อยังอยู่ในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า
ทว่าต่อมาหลังจากหลัวซิวมาถึงโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดแล้ว เขาก็ทราบว่าหลังจากเขาที่เป็นไท่ซ่างฉิงเมื่อชาติปางก่อนดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว คนในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดก็ฝึกถึงแดนผู้แกร่งเลิศอย่างต่อเนื่อง หรือผู้แข็งแกร่งแห่งยุคของทั้งแปดโลกนั่นเอง
“ข้าชื่อหลัวซิว”หลัวซิวตอบกลับอย่างไม่รีบไม่ร้อน
เขาสามารถยืนยันได้แล้วว่าผลการฝึกตนของลู่ยู่จื่อไม่มีทางอยู่ในแดนผู้แกร่งเลิศแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงแสดงให้เห็นเลยว่าลู่ยู่จื่อที่เขามองเห็นนั้นเป็นร่างที่กลับชาติมาเกิด
มีผู้แข็งแกร่งบางส่วนหลังจากที่กลับชาติมาเกิดและปลุกตื่นความทรงจำแล้ว ก็จะกลับไปใช้ชื่อในอดีต ก็เพื่อเดินบนวิถีเส้นทางในอดีตต่อ
แต่หลัวซิวกลับแตกต่างกัน แม้จะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ทราบว่าชาติปางก่อนของเขาคือไท่ซ่างฉิง ทว่าเขากลับเชื่อมั่นมาโดยตลอดเลยว่าเขาในภพชาติปัจจุบันเป็นเพียงหลัวซิว
สิ่งเดียวที่เขาสืบทอดมาจากชาติปางก่อนก็มีเพียงความฝันที่ยังไม่ลุล่วง รวมไปถึงประสบการณ์การฝึกตนและโลกทัศน์บนวิถียุทธ์ของชาติปางก่อน
“ข้ารู้จักเจ้าอยู่ จะว่าไปเจ้ายังเป็นผู้อาวุโสของข้าด้วย ผู้สูงส่งไท่ซ่าง!”ลู่ยู่จื่ออมยิ้ม
“ผู้เพื่อนยุทธ์หยุดล้อเล่นได้แล้ว ภพชาตินี้ข้าไม่ใช่ไท่ซ่างฉิงอีกต่อไปแล้ว มิหนำซ้ำหากพูดถึงผลสำเร็จของชาติปางก่อนแล้ว ผลสำเร็จของผู้เพื่อนยุทธ์อยู่สูงกว่าข้ามาก”หลัวซิวพูดอย่างสุขุมเรียบนิ่ง
ทั้งสองไม่ได้พูดคำพูดที่เกรงอกเกรงใจกันเยอะมากนัก จู่ ๆ หลัวซิวก็ถาม “ผู้เพื่อนยุทธ์กลับชาติมาเกิดในภพชาตินี้ ก็เพื่อแสวงหาโอกาสในการบรรลุสู่ประมุขเต๋าเช่นกันหรือ?”
“ใช่แล้ว ต่อให้เป็นผู้แกร่งเลิศก็หนีไม่พ้นพันธนาการของหนึ่งยุคตรีภพ มีเพียงบรรลุสู่ประมุขเต๋า ถึงจะย่างกรายสู่การเป็นอมตะอย่างแท้จริง นอกเสียจากดับสลายสูญสิ้นแล้ว ก็จะสามารถกลายเป็นผู้อมตะได้อย่างแท้จริง”ลู่ยู่จื่อไม่ได้ปฏิเสธในเรื่องนี้
“แล้วผู้เพื่อนยุทธ์ทราบเรื่องราวของสวรรค์ทั้ง 33 ได้อย่างไรรึ?”หลัวซิวถามอีกหนึ่งคำถาม อย่างไรเสียคำพูดที่ลู่ยู่จื่อกล่าวมาในเมื่อครู่นี้อยู่เหนือขอบข่ายของโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดแล้ว
“ผู้เพื่อนยุทธ์เมื่อชาติปางก่อนดับสลายสูญสิ้นเร็ว การที่จักไม่ทราบเรื่องเหล่านี้นั้นก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก หลังจากผู้เพื่อนยุทธ์ดับสลายสูญสิ้นไปแล้วประมาณสิบล้านกว่าปี ข้าได้รับพระราชสาส์นฉบับหนึ่งในสถานโบราณที่เก่าแก่มาก ๆ ซึ่งข้าก็ทราบเรื่องทั้งหมดนี้มาจากพระราชสาส์นฉบับนั้นนี่แหละ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ลู่ยู่จื่อก็มองไปทางหลัวซิว “หากผู้เพื่อนยุทธ์ไม่รังเกียจละก็ หากมีเวลาข้าจะพาเจ้าไปเขาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจวิน ให้เจ้ายืมอ่านพระราชสาส์น”
คำรับปากของลู่ยู่จื่อทำให้หลัวซิวรู้สึกสงสัยเล็กน้อย สิ่งที่เขาสามารถยืนยันได้คือในขณะที่เขามาถึงจุดสูงสุดของชั้น 12 ลู่ยู่จื่อก็ทราบตัวตนของตัวเองแล้ว แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับพูดคุยกับตัวเองเยอะขนาดนี้ ตกลงเขามีจุดประสงค์อย่างไรกันแน่?
แต่ทว่าในเมื่อลู่ยู่จื่อไม่บอก หลัวซิวก็สอบถามฝ่ายตรงข้ามโดยตรงไม่ได้เช่นกัน อีกทั้งหลัวซิวก็รู้สึกสนใจในพระราชสาส์นที่ลู่ยู่จื่อกล่าวถึงมากจริง ๆ อยากอ่านดูมาก ๆ
“เมื่อครู่ผู้เพื่อนยุทธ์บอกว่าหอคอยนภากาศมีชั้นที่ 13 เช่นนั้นหรือว่าผู้เพื่อนยุทธ์มีวิธีเปิดชั้น 13?”หลัวซิวเปลี่ยนประเด็นแล้วถาม
“มีวิธีการอยู่จริง แต่ข้ากลับทำคนเดียวไม่ได้ อีกทั้งหากจักทำเรื่องนี้ให้สำเร็จนั้น ยังต้องการหินนภาพลังเต๋าอีกจำนวนมาก”
เมื่อได้ยินลู่ยู่จื่อพูดเช่นนี้ หลัวซิวก็รู้แล้วว่าเหตุใดเขาถึงต้องอยู่ที่นี่ ในเมื่อเขาไม่สามารถเปิดชั้นที่ 13 ได้ด้วยตนเอง เช่นนั้นก็ย่อมต้องตามหาผู้ช่วยที่เหมาะสมอยู่แล้ว
“หลังจากเข้ามาในหอคอยนภากาศ ข้าก็มาถึงที่นี่โดยตรง ถัดจากนั้นก็มีอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศและบุตรผู้ภาคภูมิของสวรรค์มาถึงที่นี่เยอะมาก ทว่าแม้นศักยภาพของคนเหล่านั้นจะฝึกถึงเทพมารระดับเก้าช่วงปลาย แต่ก็ไม่ครบเงื่อนไขที่ข้าต้องการอยู่ดี”
ลู่ยู่จื่อส่ายหน้า สายตาเพ่งมองไปทางหลัวซิว “ทว่าผู้เพื่อนยุทธ์เจ้ากลับแตกต่างกัน ข้าเชื่อว่าหากเจ้าและข้าร่วมมือกันละก็ การที่จะเปิดประตูสู่ชั้น 13 นั้นต้องไม่มีปัญหาใด ๆ แน่นอน!”
“ข้าคิดว่าผู้เพื่อนยุทธ์ก็น่าจะค้นพบแล้วเช่นกันว่าเริ่มตั้งแต่ชั้นแรกของหอคอยนภากาศ เมื่อระดับชั้นยิ่งสูง ออร่าเกณฑ์พลังเต๋าในฟ้าดินก็ยิ่งสมบูรณ์แบบยิ่งชัดเจน หากสามารถเข้าสู่ชั้นที่ 13 ต้องได้สัมผัสกับเกณฑ์พลังเต๋าที่ลึกซึ้งมากกว่าเดิมแน่นอน เมื่อฝึกตนอยู่ในสถานที่ประเภทนั้น ประสิทธิผลต้องดีกว่าชั้นที่อยู่ต่ำกว่าหลายเท่าตัวแน่นอน!”ลู่ยู่จื่อกล่าวเช่นนี้
หลัวซิวพยักหน้า ที่ลู่ยู่จื่อกล่าวมาไม่มีผิดเลยสักนิด ระดับชั้นยิ่งสูง เกณฑ์พลังเต๋าในหอคอยนภากาศก็ยิ่งสมบูรณ์แบบ เมื่อฝึกตนอยู่ในพื้นที่ที่เกณฑ์สมบูรณ์แบบ ย่อมต้องมีการพัฒนาที่รวดเร็วกว่าอยู่แล้ว และตระหนักรู้ในเกณฑ์ได้ง่ายกว่าด้วย
“ต้องการให้ข้าทำอะไรบ้าง?”หลัวซิวสอบถาม ในเมื่อเขาถามเช่นนี้ก็หมายความว่าเขาตกลงร่วมมือกับลู่ยู่จื่อแล้ว
อย่างไรก็ตามลู่ยู่จื่อกลับส่ายหน้าแล้วพูด: “ตั้งแต่ข้าเข้ามาในหอคอยนภากาศ ก็รอคอยผู้ที่เหมาะสมกับการร่วมมือกับข้าอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ดังนั้นสิ่งแรกที่เราต้องทำ ณ บัดนี้ก็คือรวบรวมหินนภาพลังเต๋าจำนวนมาก”
“ต้องการเท่าไหร่หรือ?”หลัวซิวยกมือโบกทีหนึ่ง เสกหินนภาพลังเต๋าทั้งหมดที่เขาพบในชั้นแรกตลอดจนชั้น 12 ออก ซึ่งมีจำนวนประมาณ 20 กว่าก้อน
เขาไม่ได้ตั้งใจไปตามหาหินนภาพลังเต๋าแต่อย่างใด เขานำเวลาส่วนมากไปตระหนักรู้เกณฑ์พลังเต๋าในหอคอยนภากาศมากกว่า
“ไม่พอ!”ลู่ยู่จื่อยังคงส่ายหน้าอยู่เช่นเคย “อย่างน้อยเราสองคนก็ต้องเจอหินนภาพลังเต๋าคนละหนึ่งร้อยก้อน”
“เยอะเช่นนี้เลยรึ?”หลัวซิวขมวดคิ้วลง สมบัติอย่างหินนภาพลังเต๋าที่ถูกหล่อเลี้ยงออกมาในหอคอยนภากาศต้องมีไม่มากแน่นอน การที่ต้องตามหาหนึ่งร้อยก้อนนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ไม่มีผู้ใดรังเกียจที่ตนมีสมบัติประเภทนี้เยอะ ผู้เพื่อนยุทธ์ก็น่าจะสามารถสัมผัสพลังเกณฑ์อันบริสุทธิ์ที่แฝงซ่อนอยู่ในหินนภาพลังเต๋าได้เช่นกัน เล่ากันว่ามียาเซียนประเภทหนึ่งที่กลั่นโดยใช้หินนภาพลังเต๋าเป็นหลัก และยาเซียนประเภทนั้นมีนามว่ายาเซียนนภาเต๋า ซึ่งสามารถยกระดับแดนวิถีเกณฑ์ได้โดยตรง”
หลัวซิวปฏิเสธไม่ได้เลยว่าข่าวลับที่ลู่ยู่จื่อทราบนั้นมีมากกว่าเขา อย่างน้อยหลัวซิวก็ไม่เคยได้ยินของอย่างยาเซียนนภาเต๋าเลย มาตรแม้นว่าในคัมภีร์โอสถที่เขาได้รับมาก็ไม่มีการบันทึกเช่นกัน
คัมภีร์โอสถได้รับสมญานามว่าเป็นปรมาจารย์แห่งวิถียา วิถียาทั้งปวงในโลกหล้าล้วนกำเนิดจากคัมภีร์โอสถ ทว่าสิ่งหลัก ๆ ที่บันทึกอยู่ภายในคือเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณ รวมไปถึงวิชากลั่นยา ซึ่งมีการบันทึกตำรับยาไว้น้อยมาก ๆ
ลู่ยู่จื่อหยิบไข่มุกสื่อสารออกมาสองลูก ยื่นให้หลัวซิวหนึ่งลูกแล้วพูดว่า: “เจ้าและข้าแยกกันไปตามหาหินนภาพลังเต๋า หลังจากมีปริมาณที่เพียงพอแล้ว เจ้าและข้าค่อยกลับมารวมตัวกันที่นี่”
“ได้เลย!”หลัวซิวพยักหน้าตอบตกลง จากนั้นเงาร่างของทั้งสองก็กระพริบทีหนึ่ง กลายเป็นแสงกลหายไปจากขอบฟ้า
หลัวซิวและลู่ยู่จื่อไม่ได้ออกตามหาพร้อมกันแต่อย่างใด แต่เป็นการแยกย้ายกันออกตามหาหินนภาพลังเต๋า ในระหว่างทางที่ตามหาหินนภาพลังเต๋านั้น หลัวซิวก็พลางตระหนักรู้เกณฑ์พลังเต๋าที่แฝงซ่อนอยู่ในชั้นที่ 12 เช่นกัน
“เจ้าหมอนั่นน่ะ อย่าขยับ!”
มีชายหนุ่มชุดเทาคนหนึ่งบินมาอย่างรวดเร็ว ขวางทางเดินของหลัวซิวเอาไว้ แววตาไม่เป็นมิตรอย่างยิ่ง
“เจ้ามีเรื่องอันใดรึ?”หลัวซิวถามอย่างเย็นชา
ชายชุดเทากวาดตามองหลัวซิวตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ได้ตอบคำถามของหลัวซิวแต่อย่างใด แต่เป็นการแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด: “ข้าไม่คุ้นหน้าเจ้าเลย น่าจะไม่ใช่พวกที่ค่อนข้างรับมือยากในวังนภาสิบสองสินะ การที่เจ้าสามารถขึ้นมายังชั้นที่ 12 ของหอคอยนภากาศได้นั้น คาดว่าคงได้รับหินนภาพลังเต๋ามาไม่น้อยเลยสินะ? ส่งแหวนเก็บของของเจ้ามาให้ข้าดูหน่อย”
ลักษณะท่าทีของชายชุดเทาจองหองพองขนมาก ๆ ท่าทีดูไม่ได้นำหลัวซิวมาไว้ในสายตาเลยด้วยซ้ำ อย่างไรเสียออร่าผลการฝึกตนที่แพร่กระจายออกมาจากตัวหลัวซิวก็เป็นเพียงเทพมารระดับแปดช่วงปลาย ทั้ง ๆ ที่เป็นเสือที่ดุดันอย่างยิ่ง แต่กลับถูกผู้อื่นมองว่าเป็นแกะอ้วนที่น่ากินตลอดมา
“จะว่าไปเจ้าก็ได้ย้ำเตือนข้าเช่นกัน หากแก่งแย่งหินนภาพลังเต๋าของผู้อื่น ก็จะสามารถย่นระยะเวลาในการรวบรวมหินนภาพลังเต๋าแล้ว”หลัวซิวมองชายชุดเทาที่อยู่ตรงหน้ารอบหนึ่ง แล้วพูดอย่างเย็นชาคนเดียว
“มึงจะพูดมากทำมะเขืออะไรวะ? ส่งแหวนเก็บของของมึงมา แล้วกูจะไว้ชีวิตมึงครั้งหนึ่ง มิเช่นนั้นผลการฝึกตนเทพมารระดับแปดช่วงปลายกระจอก ๆ ของมึงน่ะ ไม่มีทางใช่คู่ต่อสู้กูด้วยซ้ำ”
ขณะที่ชายชุดเทาพูดคำพูดเหล่านี้อยู่นั้น จู่ ๆ เขากลับลงมือกะทันหัน เห็นได้ชัดเจนเลยว่าคำพูดที่เขาพูดในเมื่อครู่นี้ เป็นการทำให้คู่ต่อสู้ชินชา มาตรแม้นว่าเป็นเทพมารระดับแปดช่วงปลายคนหนึ่งที่ไม่ถูกเขานำไปไว้ในสายตา เขาก็ยังคงใช้วิธีการทุ่มสุดกำลังสามารถอยู่เช่นเคย
มีออร่าเกณฑ์พลังเต๋าทั้งหลายแผ่กระจายออกไป ชายชุดเทาปลดปล่อยอาณาจักรเกณฑ์ของตนเองออกไป ทำการปกคลุมหลัวซิวอยู่ภายในอาณาจักร ภายในอาณาจักรของคนดังกล่าวมีพลังแห่งเกณฑ์ธาตุดินแฝงซ่อนอยู่ด้วย ภายใต้การปกคลุมจากอาณาจักรประเภทนี้ จะทำให้คู่ต่อสู้สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มากล้น ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือผลการฝึกตน ต่างได้รับผลกระทบ
เมื่อเห็นว่าอาณาจักรของตัวเองได้ปกคลุมคู่ต่อสู้เอาไว้ได้อย่างง่ายดาย จึงทำให้มีรอยยิ้มที่ดุร้ายปรากฏบนใบหน้าชายชุดเทา ถัดจากนั้นเขาก็ยกมือโบกครั้งหนึ่ง ที่ครอบที่มีรัศมีสีเหลืองเป็นประกายระยิบระยับก็ร่วงหล่นลงมา ในขณะเดียวกันเขาก็เรียกขวานหนึ่งเล่มออกมาด้วย แล้วจามไปทางหลัวซิว
ชายชุดเขาคิดเองเออเองว่าตัวเองยึดกุมชัยชนะอยู่ในกำมือ และการที่หลัวซิวไม่ตอบโต้นั้นก็ถูกเขามองว่าไร้แรงขัดขืน แต่แท้จริงแล้วชายชุดเทาที่อยู่ในสายตาหลัวซิวก็ไม่ต่างอะไรจากตัวตลกตัวหนึ่ง
“เวิ่ง!”
มีแสงสีทองแย้มบานขึ้น ๆ ลง ๆ แผ่กระจายออกไปจากตัวหลัวซิว ราวกับคลื่นน้ำบนผิวน้ำทะเลสาบ ภายใต้การสาดส่องจากแสงทอง อาณาจักรธาตุดินของชายชุดเทาจึงค่อย ๆ พังทลายแตกสลายเป็นฝุ่นผง
“ชัวะ!”
ปริภูมิสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างต่อ จากนั้นร่างกายของหลัวซิวก็หายวับไปกับที่ หลบเลี่ยงพลังโจมตีทั้งหมดจากของขลังที่ครอบและขวาน และวินาทีต่อไปเงาร่างของเขาก็ปรากฏตรงหน้าชายชุดเทา
“มึง……”
สีหน้าของชายชุดเทาเปลี่ยนไปอย่างมาก หว่างคิ้วกระพริบระยิบระยับแล้วเรียกโล่ออกมาหนึ่งชิ้น เห็นเพียงกำบั้นของหลัวซิวซัดลงบนโล่ดังกล่าวจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น พลังออร่าที่มากมายมหาศาลม้วนซัดออกไปทั่วทุกสารทิศ จนเกิดเป็นเสียงระเบิดดังลั่นอย่างต่อเนื่อง
“ตู้มม!”
ถึงแม้จะมีเกราะป้องกันจากโล่ ชายชุดเทาก็ถูกพลังที่เกะกะระรานม้วนซัดจนกระเด็นออกไปอยู่ดี มองไปทางหลัวซิวด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อ เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจอมยุทธ์เทพมารระดับแปดช่วงปลายคนหนึ่งจะมีพลังที่น่ากลัวเช่นนี้เลยหรือ?
เมื่อคิดเช่นนี้ ชายชุดเทาก็รู้แล้วว่าตนเตะเข้ากับแผ่นเหล็กแล้ว การที่เขาสามารถมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้นั้น ก็เป็นเพราะอาศัยอุปนิสัยที่ระมัดระวัง หากไม่ได้อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม เขาจะไม่ลงมือง่าย ๆ และถ้าเกิดลงมือแล้วไม่เป็นผล สิ่งแรกที่เขาจะทำก็คือหลบหนี
“คิดที่จะหนีหรือ? ทิ้งแหวนเก็บของบนตัวมึงไว้ บางทีกูอาจไว้ชีวิตมึงได้……”