มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 2809 พลังน้ำแข็งและไฟ
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2809 พลังน้ำแข็งและไฟ
โลกใบนี้กว้างใหญ่มาก แต่บางครั้งมันก็เล็กมากถึงมากที่สุด การปรากฏตัวของเมิ่งเชียนชางไม่ได้ทำให้จิตใจของหลัวซิวเกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เพราะเขารู้ดีตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวระหว่างเขาและเมิ่งเชียนชางก็ต้องถูกจัดการให้เรียบร้อยอยู่ดี
เมิ่งเชียนชางที่อยู่ที่นี่ไม่ได้ใช้ชื่อจริงแต่อย่างใด แต่ชื่อซางเซี่ย เมื่อได้ยินชื่อดังกล่าวจากคำวิพากษ์วิจารณ์ของกลุ่มคนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ หลัวซิวก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย
แน่นอนอยู่แล้วว่าชางนั่นหมายถึงเมิ่งเชียนชาง ส่วนเสี้ย ก็คือเมิ่งเสี้ยอย่างไร้ข้อสงสัยแล้วล่ะ
ความสัมพันธ์ของพวกเขาพี่น้องดีมากมาโดยตลอด ทว่าเนื่องจากไท่ซ่างฉิง ทำให้พี่น้องคู่นี้เป็นศัตรูต่อกัน และเป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง เมิ่งเชียนชางถึงได้โกรธแค้นเขามากมาโดยตลอด
พรสวรรค์ของเมิ่งเชียนชางแข็งแกร่งมาก มิเช่นนั้นก็คงไม่ถูกการถ่ายทอดสืบสานของประมุขเต๋าวัฏสงสารเลือกจากอสูรจิตหมื่นล้านดวง เขาโค่นล้มคู่ต่อสู้บนเวทีประลองยุทธ์คนแล้วคนเล่า ไม่นานนักชื่อซางเซี่ยก็กลายเป็นประเด็นที่ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์
เมื่อป้ายลำดับตัวเลขที่อยู่ในมือหลัวซิวสว่างขึ้น เขาก็กระโดดขึ้นฟ้า แล้วร่วงลงบนเวทีประลองยุทธ์เวทีหนึ่ง
ชื่อเหวิ้นเต้านี้ เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นมาโดยมีความหมายแฝงว่าการย่างกรายสู่จุดสูงสุดบนวิถียุทธ์ แต่ไม่ว่าความหมายแฝงจะเป็นอย่างไร ชื่อดังกล่าวก็เป็นชื่อที่ทุกคนในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดล้วนไม่ทราบเลย
ทว่าเมื่อเห็นหลัวซิวปรากฏบนเวทีประลองยุทธ์ ก็มีสายตาที่รวดเร็วและเฉียบคมทั้งหลายสอดส่องมาอยู่ดี และต้นเหตุของสายตาทั้งหมดนี้ ย่อมต้องเป็นเรื่องที่เขาเคยรุกรานเทพธิดาทั้งสามแห่งหอมกุฎดาบบนสนามจัตุรัสกลางเมืองอยู่แล้ว
เสี้ยววินาทีที่หลัวซิวปรากฏบนเวทีประลองยุทธ์ คู่ต่อสู้ของเขาก็ปรากฏเช่นกัน คนดังกล่าวคือชายอัปลักษณ์ที่บนใบหน้ามีไฝหลายเม็ด
โดยส่วนใหญ่แล้ว หน้าตาของจอมยุทธ์จักไม่น่าเกลียดมากเท่าไหร่นัก เพราะมีวรยุทธ์และยาจำนวนมากที่สามารถทำให้โฉมหน้าและบุคลิกลักษณะของตัวเองพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น
แต่ก็มีคนบางส่วนที่แสวงหาพลังโดยเฉพาะ แล้วมองข้ามเรื่องอื่น ๆ สาเหตุที่ทำให้โฉมหน้าของตัวเองดูอัปลักษณ์น่าเกลียดปานนี้ ก็น่าจะเป็นเพราะฝึกเคล็ดวิชาบางอย่างที่ชั่วร้าย
หลังจากเดินขึ้นเวทีประลองยุทธ์แล้ว ชายอัปลักษณ์หน้าไฝไม่พูดอะไรเลยสักคำ แต่หลัวซิวกลับสามารถสัมผัสออร่าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความชั่วร้ายได้จากตัวเขา และผลการฝึกตนของคนดังกล่าวก็ไม่ต่ำด้วย อยู่ในแดนเทพมารระดับแปดขั้นสูง
มีออร่าผลการฝึกตนเทพมารระดับแปดช่วงปลายแพร่กระจายออกไปจากตัวหลัวซิว นี่จึงทำให้มีรัศมีแห่งความดูหมิ่นปรากฏบนใบหน้าชายอัปลักษณ์หน้าไฝ ก่อนที่เขาจะพูดอย่างเย็นชา “ถ้าเกิดมึงไสหัวลงไปจากเวทีตั้งแต่ตอนนี้ละก็ กูสามารถไว้ชีวิตมึงได้หนหนึ่ง มิเช่นนั้นละก็เมื่อจอมเทพทมิฬกูลงมือ กูไม่เคยปล่อยให้ผู้ใดมีชีวิตรอดไปได้เลยนะ”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ก็มีออร่าที่ชั่วร้ายแพร่กระจายออกมาจากตัวชายอัปลักษณ์หน้าไฝ อาณาจักรประเภทนี้มีคุณสมบัติพิเศษในการกัดกร่อน ราวกับพิษยังไงอย่างนั้น ซึ่งจะทำการกัดกร่อนอาณาจักรเกณฑ์ของคู่ต่อสู้
“ธรรมเวชมืดหรือ?”
หลัวซิวพูดพึมพำในใจ ทุกสรรพสิ่งในโลกหล้ามีทั้งด้านบวกและด้านลบ ซึ่งกฎเกณฑ์ธรรมทั้งปวงในโลกหล้าก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน ส่งผลกระทบต่อกันและกัน
แม้แต่เทียนเต้าก็มีด้านบวกและลบเช่นกัน มีการสาดส่องและหล่อเลี้ยงจากแสงสว่าง ย่อมมีการกัดกร่อนและทำลายล้างจากความมืดอยู่แล้ว
เกณฑ์ประเภทหนึ่งก็สามารถพัฒนาเป็นเส้นทางที่แตกต่างกันได้ ยกตัวอย่างเช่นสิ่งที่ชายอัปลักษณ์หน้าไฝตรงหน้านี้เน้นฝึกก็คือพลังการกัดกร่อนกัดเซาะในเกณฑ์ความมืด ใช้พลังของเกณฑ์ความมืดไปคัดกรอกกัดเซาะพลังเกณฑ์อื่น ๆ
“เวิ่งง!”
หลัวซิวโคจรวิถีไร้ลักษณ์ มีรัศมีเทวที่แวววาวจับตาแย้มบานออกมาจากตัวเขา เขา ณ วินาทีนี้ราวกับกลายร่างเป็นเทพแห่งแสงตะวัน รัศมีเทวที่อยู่รอบกายสาดส่องทุกสรรพสิ่งในโลกหล้าให้สว่าง
“ไอ้ชาติชั่ว ไม่นึกเลยว่าสิ่งที่มึงฝึกจะเป็นเกณฑ์สว่างที่ต่ำทราม!”
ใบหน้าของชายอัปลักษณ์หน้าไฝดุร้ายน่ากลัว ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกเกณฑ์ความมืด สัญชาตญาณจึงรังเกียจและกีดกันผู้ที่ฝึกเกณฑ์สว่างง่ายมาก
“ครึก……ครึก……ครึก……”
มีเสียงที่น่าขนลุกดังออกมาจากคอของชายอัปลักษณ์หน้าไฝ ถัดจากนั้นก็มีควันดำแผ่กระจายออกมาจากตัวเขา แล้วผนึกรวมกันอยู่ด้านหลังเขาจนกลายเป็นเงาของงูดำตัวใหญ่ตัวหนึ่ง
“ชิ่ว!”
หลังจากเงางูดำปรากฏแล้ว มันก็โจมตีมากะทันหัน ความเร็วเร็วปานสายฟ้า ภายใต้การฟาดหางงู มันจึงปกคลุมไปทั้งเวทีประลองยุทธ์ ทำให้หลัวซิวไม่มีพื้นที่ที่สามารถหลบหลีกได้เลยแม้แต่น้อย
“สว่างอุบาทว์ ไปตายซะเถอะ!”ชายอัปลักษณ์หน้าไฝพูดอย่างดุดัน
แม้นความคิดของเขาจะดิบดีมาก แต่กลับไม่รู้ระดับความสูงต่ำของตัวเอง ไม่เข้าใจว่าระหว่างตนและหลัวซิวแตกต่างกันเยอะมาก
กระบี่ร่องฟ้าปรากฏในมือ ก่อนที่หลัวซิวจะฟาดฟันออกไป กระบี่นี้ยังได้รับการปลุกเสกจากธาตุพลังเต๋าของพลังฉีกชั้นฟ้าและพลังแห่งเวหาด้วย มาตรแม้นว่าเป็นเกราะป้องกันภัณฑ์ราชาเทพระดับเก้าชิ้นหนึ่ง ก็ล้วนสามารถถูกเขาทำลายล้างได้
“ฮิฮิ……”
ชายอัปลักษณ์หน้าไฝหัวเราะอย่างเยือกเย็น เสี้ยววินาทีที่กระบี่ร่องฟ้าพุ่งชนเข้ากับเงางูดำ หลัวซิวกลับสัมผัสแรงกระทบกระเทือนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย กระบี่ทะลุผ่านงำงูดำโดยตรง ราวกับพลังโจมตีนี้ได้โจมตีเข้ากับอากาศที่ว่างเปล่า
“พลังโจมตีวิญญาณ?”
รูม่านตาของหลัวซิวหดลง เขาก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าเจ้าอัปลักษณ์นี่จะเป็นยอดฝีมือที่เข้าใจเรื่องพลังโจมตีวิญญาณด้วย
เพียงชั่วพริบตาเดียว จิตสำนึกของหลัวซิวก็ถูกฉุดกระชากเข้าไปในตัวหยั่งรู้ มีงูดำที่ใหญ่โตมโหฬารตัวหนึ่งปรากฏในตัวหยั่งรู้ของเขา จากนั้นมันก็พุ่งตรงไปยังจุดศูนย์กลางของตัวหยั่งรู้ หวังจะกลืนกินวิญญาณดั้งเดิมของเขา
หากเปลี่ยนเป็นจอมยุทธ์คนอื่น บางทีอาจจะถูกชายอัปลักษณ์นี่เล่นงานแล้ว แต่หลัวซิวกลับแตกต่างกัน เนื่องจากเขาก็เชี่ยวชาญพลังอมตะด้านวิญญาณเช่นกัน
ตรงใจกลางตัวหยั่งรู้ ญาณเทวร่างมนุษย์ของหลัวซิวกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็นเหมือนมนุษย์ ในมือเขากำลังเล่นลูกแก้วที่มีสีขาวดำตัดสลับกันหนึ่งลูก ซึ่งลูกแก้วลูกนี้ก็คือสมบัติที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตาในภพชาตินี้ของเขา ลูกแก้วความเป็นตาย!
“ตู้มม!”
มีเสียงระเบิดดังลั่นออกมาจากตัวหยั่งรู้ที่ขมุกขมัวดั่งธาตุกลุ่มอากาศที่สลัว ศีรษะของงูดำที่ใหญ่โตมโหฬารทลายธาตุกลุ่มอากาศที่สลัว แล้วกัดเขมือบไปทางญาณเทวร่างมนุษย์
และในเวลานี้เอง ญาณเทวร่างมนุษย์ก็โยนลูกแก้วความเป็นตายในมือออกมา มือทั้งสองข้างประสานอินกันสำเร็จอย่างรวดเร็ว
วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ!
และนี่ก็คือพลังอมตะที่หลัวซิวอนุมานให้สมบูรณ์แบบขึ้นโดยการอ้างอิงจากเส้นทางแห่งวัฏสงสาร อีกทั้งนำพลังอมตะวิชานี้หลอมรวมเข้าไปในวิญญาณอมตะ
เมื่อเห็นว่าลูกแก้วความเป็นตายกำลังขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะกลายเป็นวงล้อที่ใหญ่โตมโหฬารหนึ่งวง สองระดับความเป็นตายตัดสลับกันหมุนเวียน ทำลายล้างทุกสรรพสิ่งในโลกหล้า
“ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! ……”
ศีรษะของงูดำใหญ่ถูกทำลายล้างภายในพริบตา จากนั้นวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพก็หมุนโคจรอย่างรวดเร็ว ดึงกระชากทั้งลำตัวของงูใหญ่เข้าไปในวงล้อแล้วทำการบดขยี้จนกลายเป็นฝุ่นผง
งูดำที่ใหญ่โตมโหฬารตัวนี้ผนึกรวมออกมาจากตัวสำนึกวิญญาณของชายอัปลักษณ์หน้าไฝ พลังวิญญาณที่บริสุทธิ์แพร่กระจายออกมาจากลำตัวของงูใหญ่ที่ถูกบดสลายจนกลายเป็นฝุ่นผง จากนั้นก็ถูกวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพกลั่นแปร ทำให้หลัวซิวรู้สึกว่าพลังตัวสำนึกวิญญาณของตัวเองมีการพัฒนาขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง
“อ๊ากก!”
ณ เสี้ยววินาทีที่งูดำใหญ่ถูกวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพบดขยี้ ชายอัปลักษณ์หน้าไฝที่อยู่โลกาภายนอกก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา จากนั้นช่องจิตที่อยู่ในตัวหยั่งรู้ของเขาก็หม่นหมองลงมาเช่นกัน ตัวสำนึกวิญญาณเสียหายเป็นจำนวนมาก ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง ใบหน้าขาวซีดถึงขีดสุด
“ฟึ่บ!”
มีแสงกระบี่เล่มหนึ่งฟาดฟันเข้ามา ก่อนที่ศีรษะของชายอัปลักษณ์หน้าไฝจะบินกระเด็นออกไป ร่างตายธรรมสูญ
การต่อสู้ในครั้งนี้ดำเนินการไปได้รวดเร็วมาก ตลอดการประลองก็ไม่มีภาพเหตุการณ์ที่น่าทึ่งอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ได้ก่อให้เกิดเสียงอื้ออึงอะไร
ทว่าก็มียอดฝีมือบางส่วนที่มองเห็นความลี้ลับของเรื่องนี้ ดูเหมือนชายอัปลักษณ์หน้าไฝจะใช้พลังอมตะวิญญาณที่ทรงพลังมาก แต่กลับถูกชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำคนนั้นต้านทานเอาไว้ได้ ถัดจากนั้นก็ถูกย้อนสังหารเลย
ขณะที่เดินลงมาจากเวทีประลองยุทธ์ หลัวซิวได้ยินมีคนพูดถึงความเป็นมาของชายอัปลักษณ์หน้าไฝนั่น ดูเหมือนเขาจะมาจากกองกำลังที่มีนามว่าสำนักดำทมิฬ อีกทั้งดูเหมือนสำนักดำทมิฬดังกล่าวจะเป็นพรรคพวกของตำหนักเวหาด้วย
หลังจากลงมาแล้ว หลัวซิวก็ผสมรวมเข้ากับกลุ่มคน ตลอดขั้นตอนการประลองเขาไม่ได้เปิดเผยอุบายและตัวตนของตัวเองเลย แม้แต่ขณะที่ใช้กระบี่ร่องฟ้า เขาก็ใช้วิถีไร้ลักษณ์วิวัฒนาการ อำพรางออร่ารวมไปถึงลักษณะของกระบี่ร่องฟ้า มาตรแม้นว่าเมิ่งเชียนชางจะเข้าใจในกระบี่ร่องฟ้าดีมาก ๆ แต่ก็อย่าคิดว่าจะสามารถมองทะลุอะไรได้
การประลองในแต่ละรอบจบลงอย่างรวดเร็ว นอกจากการประลองของกลุ่มคนที่มีศักยภาพสูสีกันจะยาวนานเล็กน้อยแล้ว การประลองสิบกว่ารอบล้วนทราบผลแพ้ชนะภายในระยะเวลาสั้น ๆ อัตราการตายนั้นสูงมาก ๆ
ในระหว่างนี้ ฮู๋ชิงชิงก็ได้ขึ้นไปประลองสองครั้งเช่นกัน ด้วยผลการฝึกตนเทพมารระดับเก้าช่วงปลาย สามารถพูดได้เลยว่าเป็นยอดฝีมือขั้นสุดยอดในหมู่จอมยุทธ์ที่เข้าร่วมการแข่งขันแล้ว ศักยภาพอยู่เหนือผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ จึงเข้ารอบได้อย่างง่ายดาย
นอกจากฮู๋ชิงชิงแล้ว หลัวซิวก็มองเห็นลู่เมิ่งเหยาบนเวทีประลองยุทธ์เช่นกัน ลู่เมิ่งเหยา ณ ปัจจุบันแตกต่างจากสตรีครั้นเมื่ออยู่ในโลกแสงดาวที่เขารู้จักโดยสิ้นเชิงแล้ว อาวุธของนางคือมีดเล็ก ๆ ที่มีขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้น ทุกครั้งที่เดินขึ้นเวที ใช้เพียงกระบวนท่าเดียว นางก็กำจัดคู่ต่อสู้ไปได้อย่างง่ายดายแล้ว
จากการที่การประลองยุทธ์ได้ดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อถึงช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ตกดิน ผู้เข้ารอบก็เหลือเพียง 50 กว่าคนแล้ว
โควต้าที่ได้รับจากการแข่งขันประลองยุทธ์มีเพียงสิบที่เท่านั้น ซึ่งนี่ก็หมายความว่ามีแค่ขึ้นไปในอันดับสิบคนสุดท้าย ถึงจะได้รับโอกาสในการเข้าไปในสถานแหล่งเต๋า
กฎเกณฑ์ในการประลองยุทธ์ยังคงเรียบง่ายมากอยู่เช่นเคย ทำการต่อสู้กันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง จากนั้นผู้เข้ารอบก็เหลือเพียง 25 คนแล้ว
จอมยุทธ์ที่สามารถเป็นผู้โดดเด่นในการแข่งขันหลายรอบได้นั้น ทุกคนล้วนเป็นวัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศที่มีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่วัยรุ่นยุคใหม่ โดยส่วนใหญ่แล้วคนเหล่านั้นจะไม่ค่อยปรากฏในการต่อสู้ที่สามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย
มีเสียงตะโกนโห่ร้องดังมาจากรอบเวทีประลองยุทธ์ เคล็ดวิชาพลังอมตะต่าง ๆ ที่อยู่ในมือวัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศล้วนตระการตาอย่างยิ่ง ทำให้คนจำนวนมากมองดูจนเหมือนถูกสะกดจิต
เมื่อถึงคราวหลัวซิวอีกครั้งหนึ่ง คู่ต่อสู้ของเขาคือชายหนุ่มเตี้ยเล็กที่ดูแล้วสูงแค่ร้อยห้าสิบคนหนึ่ง คนที่ดูไม่โดดเด่นเช่นนี้ แต่กลับมีผลการฝึกตนอยู่ในแดนเทพมารระดับเก้าช่วงกลาง
ด้านหลังของคนดังกล่าวมีกงล้อเทพวงแรกผนึกรวมออกมาแล้ว ซึ่งคุณภาพของมันบรรลุถึงชั้นกลาง ส่วนกงล้อเทพวงที่สองของเขายังเป็นเพียงเงาลวงเท่านั้น เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขาวางแผนที่จะอาศัยโอกาสในสถานแหล่งเต๋า ผนึกรวมกงล้อเทพวงที่สองที่มีคุณภาพไม่ต่ำกว่าชั้นสูงออกมา
คุณภาพสูงต่ำของกงล้อเทพ เกี่ยวเนื่องถึงระดับความสูงต่ำของผลสำเร็จในอนาคตของจอมยุทธ์คนหนึ่ง ดังนั้นคู่ต่อสู้ทุกคนที่อยู่ในการประลองในครั้งนี้ ล้วนเป็นศัตรูตัวฉกาจในชั่วชีวิตนี้!
หลังจากทั้งสองฝ่ายเดินขึ้นเวทีแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน ชายเตี้ยเล็กเป็นฝ่ายลงมือก่อน โบกมือทีเดียวก็มีรัศมีเทวหลายดวงพุ่งไปยังรอบเวทีประลองยุทธ์
“ตึก! ตึก! ตึก! ……”
รัศมีเทวทั้งหลายปรากฏบริเวณรอบ ๆ เห็นได้ชัดเจนเลยว่ามันคือธงค่ายนับร้อยผืน มีธาตุพลังเต๋าสองประเภทที่แตกต่างกันแพร่กระจายออกมาจากธงค่ายเหล่านั้น ซึ่งได้แก่ธาตุน้ำและธาตุไฟ
“ค่ายอัคคีน้ำแข็งสี่ด้าน!”
ชายเตี้ยเล็กใช้เท้าย่ำพื้นทีหนึ่ง มือทั้งสองข้างประสานอินกันอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาเดียวก็มีน้ำแข็งและไฟพรั่งพรูออกมา เปลวไฟที่มากมายมหาศาลกลายเป็นมังกรเพลิงที่ดุร้ายตัวหนึ่ง พลังเกณฑ์ธาตุน้ำแข็งที่เย็นยะเยือกถึงขีดสุดกลายเป็นหงส์น้ำแข็งที่ราวกับสร้างมาจากผลึกน้ำแข็ง
ธาตุน้ำและไฟเป็นสองขั้วที่อยู่ตรงกันข้าม ณ เสี้ยววินาทีที่พลังทั้งสองประเภทนี้ปะทะกัน ก็จะมีพลังสุดแข็งแกร่งที่อยู่เหนือธาตุทั้งสองประเภทนี้ถูกระเบิดออกมา
หลัวซิวจมหายเข้าไปในแรงระเบิดและเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นที่น่ากลัวภายในพริบตา นี่จึงทำให้คนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ด้านล่างเวทีต่างอุทานอย่างตะลึง เนื่องจากไม่มีผู้ใดคาดถึงเลยว่าพลานุภาพของค่ายกลดังกล่าวจะทรงพลังเช่นนี้ พลานุภาพระดับนี้ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งราชาเทพระดับเก้าก็คงไม่มีทางหลบเลี่ยงได้อย่างปลอดภัยหรอกกระมัง?
“นี่ก็คือพลังที่เกิดจากเกณฑ์สองประเภทหลอมรวมเข้าด้วยกันหรือ? น้ำแข็งและไฟทั่วไปไม่แข็งแกร่งแต่อย่างใด แต่ถ้าเกิดน้ำแข็งไฟกีดกันและปะทะกัน ก็จะสามารถระเบิดพลานุภาพที่น่ากลัวออกมาได้”
“ผู้ที่เข้าใจหลักการนี้มีเยอะมาก ทว่าผู้ที่สามารถทำมันได้อย่างแท้จริงนั้นกลับมีไม่มาก แม้แต่ชายเตี้ยเล็กนั่นก็ต้องใช้ค่ายกลมาทำให้อุบายประเภทนี้เป็นจริงได้”
ในจำนวนคนทั้งหมดที่อยู่ด้านล่างเวที ย่อมไม่ขาดแคลนผู้ที่โลกทัศน์สูงอยู่แล้ว ดูออกแล้วว่าชายเตี้ยเล็กอาศัยค่ายกล ถึงจะสามารถกระตุ้นพลังแห่งน้ำแข็งไฟออกมาได้