มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 330 ถาวชิงหยุนถูกฆ่า
“ชิ้ง!”
ด้วยแรงจากนิ้วเดียวของร่างยุทธ์ระดับราชา ทุบพลังจิตแท้ที่ห่อหุ้มไว้บนกระบี่ยุทธ์ของชายหนุ่มชุดม่วงจนแหลกสลาย ภายใต้สายตาที่น่าสะพรึงกลัวของอีกฝ่าย ร่างของเขาก็บินออกไป กระบี่ยุทธ์หลุดจากมือ กระดูกแขนข้างที่ถือกระบี่ยุทธ์ก็หักสิ้นเช่นเดียวกัน
ปากของชายหนุ่มในชุดสีม่วงกระอักเลือดออกมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อและแสดงถึงความหวาดผวา
ในเวลาเดียวกัน ก่อนที่ชายชราในชุดเสื้อสีม่วงจะวิ่งไปที่ด้านหน้าของเหยียนเยว่เอ๋อร์ เขารู้สึกได้ถึงการบีบอัดมหาศาลที่กำลังมาถึง ราวกับภูเขาลูกใหญ่ และกดเขาลงไปที่พื้นโดยตรง เหงื่อออกทั่วร่างกายของเขา
ณ เวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นชายชราเสื้อม่วง หรือเป็นเจ้าสำนักน้อยในชุดสีม่วงต่างก็รู้สึกตัวขึ้นในทันที
เยียบโดนแผ่นเหล็กเข้าแล้ว!
คนหนึ่งอาศัยการบีบบังคับ ทำให้ผู้แข็งแกร่งแห่งราชายุทธ์ขั้นหนึ่งคนหนึ่งให้ไม่สามารถขยับตัวได้ ได้แต่นั่งรอความตาย
อีกคนเพียงแค่สะบัดมือก็สามารถโจมตีฝึกจิตขั้นเก้าอย่างรุนแรงได้ โดยเฉพาะกลุ่มดาบที่เปลวไฟสีดำที่ควบแน่นนั้น มันเป็นสัญลักษณ์ของใครบางคน!
“เจ้าคือหลัวซิว!”
ใบหน้าซีดของชายหนุ่มในชุดสีม่วงแสดงอาการตื่นตระหนก เขาก็สังเกตเห็นหญิงสาวสวยคนหนึ่งที่มีใบหน้าเย็นชาและมีเจตนาฆ่าที่แพร่กระจายออกมา เอาความกล้ามาจากที่ไหนถึงได้กล้าคิดลามก เพราะเกือบทุกคนที่เข้ามาในนี้รู้ดีว่า คนที่เดินอยู่กับหลัวซิวนั้น คือจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง!
และจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง มีความแค้นฝังลึกกับตำหนักจื่อนั่นเป็นเรื่องทั่วไปที่รู้กันดี
ซวยแล้ว!
นี่เป็นความคิดที่เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณของชายหนุ่มในชุดม่วง
“ตราบใดที่เจ้าไม่ฆ่าข้า ข้า’ถาวชิงหยุน’ยินยอมให้สัญญาทุกเงื่อนไข!” ชายหนุ่มชุดม่วงรีบพูด
ถ้าเป็นไปได้ เขาไม่ต้องการที่จะตายอย่างแน่นอน
หลัวซิวหัวเราะดังลั่น ระหว่างนักยุทธ์ การฆ่าและการต่อสู้เป็นเรื่องปกติ
หากต้องการฆ่าผู้อื่นและแย่งชิงทรัพยากรสมบัติของพวกเขา ก็ต้องมีจิตสำนึกว่า ตนก็สามารถถูกคนอื่นฆ่าและขโมยทรัพยากรสมบัติได้เช่นกัน
เมื่อพบว่าตนไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ ก็แค่ขอความเมตตา โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะปล่อยตนไป สิ่งดี ๆ แบบนี้ในโลกใบนี้จะมีได้อย่างไร?
สำหรับคนประเภทนี้ แม้แต่คำพูดไร้สาระหลัวซิวยังขี้เกียจจะพูดด้วย
“ปัง!”
เปลวไฟลุกโชน ชายชราในชุดดำซึ่งถูกกดทับโดยแรงกดของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ก็กลายเป็นคบเพลิงในทันที ร้องโหยหวนท่ามกลางเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ ในเวลาสั้นๆ เขาก็กลายเป็นขี้เถ้าไม่เหลือแม้แต่เศษกระดูก
ถาวชิงหยุนเห็นภาพตรงหน้า สีหน้าตื่นตระหนกยิ่งแย่ลงไปอีก แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรไร้สาระไปมากกว่านี้ เช่นกขอความเมตตาหรือแม้แต่คำขู่ หลัวซิวก็ได้โยนเปลวไฟสีดำออกจากมือของเขา
เพลิงมรณะของหลัวซิวหลอมรวมกับภูตอัคคีกลืนกิน เพียงพริบตาเดียวศพของถาวชิงหยุนก็ถูกแผดเผาจนหมด แม้แต่ขี้เถ้ายังไม่มีเหลือ
แต่ในวินาทีที่ถาวชิงหยุนตายนั้น ลำแสงอันเจิดจ้าพุ่งออกจากร่างของเขา หายวับไปในพริบตา และหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลัวซิวแอบรู้สึกไม่ดี เห็นได้ชัดว่าถาวชิงหยุนมีกับดักบางอย่างในร่างกายของเขา เมื่อไรก็ตามที่เขาถูกฆ่าตาย ผู้แข็งแกร่งแห่งตำหนักจื่อก็จะสามารถรู้ได้ทันที แม้แต่เจ้าตำหนักจื่อแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสี่คนนั้น ในขณะนี้ เขารู้ว่าลูกชายของเขาถูกฆ่าตาย
ครั้นตอนที่ถาวโจว่จวิ้นตายนั้น ไม่ได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เพราะในแดนปริศนาถูกแยกออกจากโลก แต่กับถ้ำเทพสถิตคีตโลกานี้ไม่เหมือนกัน เพราะเจ้าตำหนักจื่อก็อยู่ที่นี่ด้วย
……
ที่เชิงยอดเขาทองดำ ร่างของเจ้าตำหนักจื่อสั่นไหวเล็กน้อย เจตนาฆ่าที่รุนแรงแผ่ไปทั่วร่างกายของเขา
จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนที่อยู่รอบข้างเขาต่างก็เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เห็นว่าใบหน้าของเจ้าตำหนักจื่อมืดมนถึงขีดสุด
“เจ้าตำหนักจื่อ เป็นอะไรหรือ?” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ลูกชายคนหนึ่งของข้าถูกฆ่าตาย” เจ้าตำหนักจื่อกล่าวอย่างเศร้าโศก
แม้ว่าเขาจะมีลูกหลายคน แต่ก็มีลูกที่โดดเด่นไม่มากนัก ทุกคนที่ได้รับสถานะเจ้าสำนักน้อยจากเขา ต่างเป็นกระดูกสันหลังของตำหนักจื่อในอนาคต จุดประสงค์ของเขาในการแผ่กิ่งก้านสาขาและให้กำเนิดลูกจำนวนมาก คือเพื่อให้ตำหนักจื่อเป็นอมตะ
เขาเป็นถึงจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง มีคนกล้าฆ่าลูกชายของเขา ทั้งที่เขาก็อยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนในที่นี้ต่างหันมองหน้ากัน ไม่แน่ใจว่ามีคนภายใต้คำสั่งของตนฆ่าเจ้าสำนักน้อยแห่งตำหนักจื่อไปหรือไม่
“รู้หรือไม่ว่าเป็นใคร?” ฝานไท่เต๋อเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ
เจ้าตำหนักจื่อที่กำลังโกรธถึงขีดสุด แต่ฝานไท่เต๋อคือปรมาจารย์กลั่นยาขั้นหกคนหนึ่ง เขาไม่ต้องการที่จะทำให้เกิดการขุ่นเคือง จึงส่ายหัวเบา ๆ “หากข้ารู้ ข้าคงไม่โกรธมากเพียงนี้”
ลูกชายของเขาถูกฆ่าตาย แต่เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนฆ่า และลูกของเขาตายที่ไหน อีกทั้งในตอนนี้เขาก็ไปสืบสวนไม่ได้อีกด้วย
“ชิ้ง!”
ด้วยแรงจากนิ้วเดียวของร่างยุทธ์ระดับราชา ทุบพลังจิตแท้ที่ห่อหุ้มไว้บนกระบี่ยุทธ์ของชายหนุ่มชุดม่วงจนแหลกสลาย ภายใต้สายตาที่น่าสะพรึงกลัวของอีกฝ่าย ร่างของเขาก็บินออกไป กระบี่ยุทธ์หลุดจากมือ กระดูกแขนข้างที่ถือกระบี่ยุทธ์ก็หักสิ้นเช่นเดียวกัน
ปากของชายหนุ่มในชุดสีม่วงกระอักเลือดออกมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อและแสดงถึงความหวาดผวา
ในเวลาเดียวกัน ก่อนที่ชายชราในชุดเสื้อสีม่วงจะวิ่งไปที่ด้านหน้าของเหยียนเยว่เอ๋อร์ เขารู้สึกได้ถึงการบีบอัดมหาศาลที่กำลังมาถึง ราวกับภูเขาลูกใหญ่ และกดเขาลงไปที่พื้นโดยตรง เหงื่อออกทั่วร่างกายของเขา
ณ เวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นชายชราเสื้อม่วง หรือเป็นเจ้าสำนักน้อยในชุดสีม่วงต่างก็รู้สึกตัวขึ้นในทันที
เยียบโดนแผ่นเหล็กเข้าแล้ว!
คนหนึ่งอาศัยการบีบบังคับ ทำให้ผู้แข็งแกร่งแห่งราชายุทธ์ขั้นหนึ่งคนหนึ่งให้ไม่สามารถขยับตัวได้ ได้แต่นั่งรอความตาย
อีกคนเพียงแค่สะบัดมือก็สามารถโจมตีฝึกจิตขั้นเก้าอย่างรุนแรงได้ โดยเฉพาะกลุ่มดาบที่เปลวไฟสีดำที่ควบแน่นนั้น มันเป็นสัญลักษณ์ของใครบางคน!
“เจ้าคือหลัวซิว!”
ใบหน้าซีดของชายหนุ่มในชุดสีม่วงแสดงอาการตื่นตระหนก เขาก็สังเกตเห็นหญิงสาวสวยคนหนึ่งที่มีใบหน้าเย็นชาและมีเจตนาฆ่าที่แพร่กระจายออกมา เอาความกล้ามาจากที่ไหนถึงได้กล้าคิดลามก เพราะเกือบทุกคนที่เข้ามาในนี้รู้ดีว่า คนที่เดินอยู่กับหลัวซิวนั้น คือจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง!
และจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง มีความแค้นฝังลึกกับตำหนักจื่อนั่นเป็นเรื่องทั่วไปที่รู้กันดี
ซวยแล้ว!
นี่เป็นความคิดที่เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณของชายหนุ่มในชุดม่วง
“ตราบใดที่เจ้าไม่ฆ่าข้า ข้า’ถาวชิงหยุน’ยินยอมให้สัญญาทุกเงื่อนไข!” ชายหนุ่มชุดม่วงรีบพูด
ถ้าเป็นไปได้ เขาไม่ต้องการที่จะตายอย่างแน่นอน
หลัวซิวหัวเราะดังลั่น ระหว่างนักยุทธ์ การฆ่าและการต่อสู้เป็นเรื่องปกติ
หากต้องการฆ่าผู้อื่นและแย่งชิงทรัพยากรสมบัติของพวกเขา ก็ต้องมีจิตสำนึกว่า ตนก็สามารถถูกคนอื่นฆ่าและขโมยทรัพยากรสมบัติได้เช่นกัน
เมื่อพบว่าตนไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ ก็แค่ขอความเมตตา โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะปล่อยตนไป สิ่งดี ๆ แบบนี้ในโลกใบนี้จะมีได้อย่างไร?
สำหรับคนประเภทนี้ แม้แต่คำพูดไร้สาระหลัวซิวยังขี้เกียจจะพูดด้วย
“ปัง!”
เปลวไฟลุกโชน ชายชราในชุดดำซึ่งถูกกดทับโดยแรงกดของเหยียนเยว่เอ๋อร์ ก็กลายเป็นคบเพลิงในทันที ร้องโหยหวนท่ามกลางเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ ในเวลาสั้นๆ เขาก็กลายเป็นขี้เถ้าไม่เหลือแม้แต่เศษกระดูก
ถาวชิงหยุนเห็นภาพตรงหน้า สีหน้าตื่นตระหนกยิ่งแย่ลงไปอีก แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรไร้สาระไปมากกว่านี้ เช่นกขอความเมตตาหรือแม้แต่คำขู่ หลัวซิวก็ได้โยนเปลวไฟสีดำออกจากมือของเขา
เพลิงมรณะของหลัวซิวหลอมรวมกับภูตอัคคีกลืนกิน เพียงพริบตาเดียวศพของถาวชิงหยุนก็ถูกแผดเผาจนหมด แม้แต่ขี้เถ้ายังไม่มีเหลือ
แต่ในวินาทีที่ถาวชิงหยุนตายนั้น ลำแสงอันเจิดจ้าพุ่งออกจากร่างของเขา หายวับไปในพริบตา และหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลัวซิวแอบรู้สึกไม่ดี เห็นได้ชัดว่าถาวชิงหยุนมีกับดักบางอย่างในร่างกายของเขา เมื่อไรก็ตามที่เขาถูกฆ่าตาย ผู้แข็งแกร่งแห่งตำหนักจื่อก็จะสามารถรู้ได้ทันที แม้แต่เจ้าตำหนักจื่อแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสี่คนนั้น ในขณะนี้ เขารู้ว่าลูกชายของเขาถูกฆ่าตาย
ครั้นตอนที่ถาวโจว่จวิ้นตายนั้น ไม่ได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เพราะในแดนปริศนาถูกแยกออกจากโลก แต่กับถ้ำเทพสถิตคีตโลกานี้ไม่เหมือนกัน เพราะเจ้าตำหนักจื่อก็อยู่ที่นี่ด้วย
……
ที่เชิงยอดเขาทองดำ ร่างของเจ้าตำหนักจื่อสั่นไหวเล็กน้อย เจตนาฆ่าที่รุนแรงแผ่ไปทั่วร่างกายของเขา
จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนที่อยู่รอบข้างเขาต่างก็เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เห็นว่าใบหน้าของเจ้าตำหนักจื่อมืดมนถึงขีดสุด
“เจ้าตำหนักจื่อ เป็นอะไรหรือ?” จักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิงถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ลูกชายคนหนึ่งของข้าถูกฆ่าตาย” เจ้าตำหนักจื่อกล่าวอย่างเศร้าโศก
แม้ว่าเขาจะมีลูกหลายคน แต่ก็มีลูกที่โดดเด่นไม่มากนัก ทุกคนที่ได้รับสถานะเจ้าสำนักน้อยจากเขา ต่างเป็นกระดูกสันหลังของตำหนักจื่อในอนาคต จุดประสงค์ของเขาในการแผ่กิ่งก้านสาขาและให้กำเนิดลูกจำนวนมาก คือเพื่อให้ตำหนักจื่อเป็นอมตะ
เขาเป็นถึงจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง มีคนกล้าฆ่าลูกชายของเขา ทั้งที่เขาก็อยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนในที่นี้ต่างหันมองหน้ากัน ไม่แน่ใจว่ามีคนภายใต้คำสั่งของตนฆ่าเจ้าสำนักน้อยแห่งตำหนักจื่อไปหรือไม่
“รู้หรือไม่ว่าเป็นใคร?” ฝานไท่เต๋อเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ
เจ้าตำหนักจื่อที่กำลังโกรธถึงขีดสุด แต่ฝานไท่เต๋อคือปรมาจารย์กลั่นยาขั้นหกคนหนึ่ง เขาไม่ต้องการที่จะทำให้เกิดการขุ่นเคือง จึงส่ายหัวเบา ๆ “หากข้ารู้ ข้าคงไม่โกรธมากเพียงนี้”
ลูกชายของเขาถูกฆ่าตาย แต่เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนฆ่า และลูกของเขาตายที่ไหน อีกทั้งในตอนนี้เขาก็ไปสืบสวนไม่ได้อีกด้วย
“ผู้อาวุโสว่าน เจ้าไปที่พื้นที่นั้นและดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
เจ้าตำหนักจื่อพูดกับชายชราข้าง ๆ เขา ชายชราคนนี้ เป็น ผู้อาวุโสจักรพรรดิยุทธ์แห่งตำหนักจื่อ ชื่อว่าว่านเหลียนเฉิง มีผลการฝึกตนแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสอง
และตัวเขาเองจะยังคงอยู่ที่นี่ สำรวจวังที่ด้านบนสุดของยอดเขาทองดำนี้
“ขอรับ!”
ผู้อาวุโสว่านตอบโดยไม่ลังเล สำแดงวิชาท่าร่างในทันที และออกไปจากยอดเขาทองดำแห่งนี้ด้วยความรวดเร็ว มุ่งตรงไปยังพื้นที่ที่เจ้าตำหนักจื่อชี้บอก
การสั่งการนี้ของเจ้าตำหนักจื่อ ทำให้จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งคนอื่น ๆ พากันขมวดคิ้ว เพราะว่าบรรดาผู้ที่เข้ามาสำรวจในถ้ำเทพสถิตคีตโลกาแห่งนี้ ล้วนแต่เป็นผู้อยู่ใต้อำนาจของจักรพรรดิยุทธ์ จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งแห่งตำหนักจื่อเข้าร่วมด้วย หากโจมตีราชายุทธ์ของกองกำลังอื่น เกรงว่าจะไม่มีใครต้านทานมันได้
เมื่อคิดเรื่องนี้ จักรพรรดิยุทธ์ทุกคนก็คิดถึงคน ๆ หนึ่งขั้นมา นั่นก็คือจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่ง เพราะในบรรดาจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งทั้ง20คน มีเพียงนางคนเดียวที่ไม่ได้เข้าร่วมกับคนอื่น
ขอบเขตของคีตโลกาแห่งนี้ถือว่าไม่ใหญ่มากนัก ด้วยความเร็วของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ ใช้เวลาเพียงเศษเสี้ยวของชั่วโมง ก็สามารถมาถึงสถานที่ที่ถาวชิงหยุนถูกฆ่า
ตัวสำนึกที่ทรงพลังถูกแพร่ออกไป ครอบคลุมระยะเกือบพันเมตร ว่านเหลียนเฉิงเห็นขี้เถ้าอยู่ไม่ไกล
“ไม่ใช่อสูรกายของที่นี่ แต่เป็นการกระทำของนักยุทธ์คนอื่น และยังเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์!”
ว่านเหลียนเฉิงมีสีหน้าหม่นลง เพราะเขาสัมผัสได้ถึงร่องรอยพลังชีวิตของจักรพรรดิยุทธ์ที่เหลืออยู่ในอากาศโดยรอบ
จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งที่เข้าไปในถ้ำเทพสถิตคีตโลกามีทั้งหมดยี่สิบคนเท่านั้น สิบเก้าคนอยู่ด้วยกันที่ตีนเขาของยอดเขาทองดำ มีเพียงจักรพรรดิยุทธ์เทียนเฟิ่งคนเดียวที่ไม่ได้ตามมา คนร้ายคือใคร เห็นได้อย่างชัดเจน!
ว่านเหลียนเฉิงหยิบเอากล่องส่งเสียงออกมา และพูดการคาดเดาของเขาให้เจ้าตำหนักจื่อได้รู้
การตอบรับของเจ้าตำหนักจื่อนั้นง่ายดายมาก เพียงแค่คำคำเดียว “ฆ่า!”
สำหรับคำสั่งของเจ้าตำหนักนี้ ว่านเหลียนเฉิงไม่มีข้อสงสัยใดใด เก็บกล่องส่งเสียง ทันใดนั้น ร่างนั้นก็วูบวาบและหายไปจากที่แห่งนี้