มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 359 สมาคมหมิงกวง
ตำหนักจื่อบนเรือรบ สำหรับชายวัยกลางคน เพียงแค่การฆ่าผู้ฝึกจิตแค่คนเดียว ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
เขาสะบัดเสื้อคลุม และก็โบกมืออย่างเย็นชา “ลูกศิษย์ของตำหนักจื่อฟังคำสั่ง เข้าไปในเมืองจับกุมตัวครอบครัวของหลัวซิว ใครก็ตามที่กล้าขัดขวาง สังหารอย่างไร้ความปรานี!”
ตามคำสั่งของชายวัยกลางคน บนเรือสัมฤทธิ์ ก็มีร่างหลายร้อยร่างก็ดิ่งลงมาในทันที ทั้งหมดก็อยู่เหนือผลการฝึกตนของปรมาจารย์ฝึกจิต นำโดยหลายสิบคน ก็เป็นผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์
ความแข็งแกร่งมหาศาลแบบนี้ เพียงพอที่จะโค่นล้มผู้ครอบครองสำนักเซียวเหยาของเขตการปกครองหยุนหลง นับประสาอะไรกับเมืองชิงหยุนเล็กๆแห่งหนึ่งกัน?
ในเมือง สีหน้าของเย่เซี่ยงโต่วมืดมนไม่แน่นอน ผู้คนของตระกูลหลัวและตระกูลหลิว ก็สีหน้าซีดเซียวเช่นกัน
แม้แต่ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนที่ได้รับผลประโยชน์จากหลัวซิวเหล่านั้น รับปากว่าจะช่วยเขาปกป้องครอบครัวของเขา สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า ไม่กล้าหุนหันพลันแล่น
เพราะว่า บนเรือรบเหนือเมืองชิงหยุน อาจารย์ของตำหนักจื่อออกนั่งบัญชาการรักษาการณ์ด้วยตัวเอง ผู้แข็งแกร่งมกุฏยุทธ์!
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
ในเวลานี้เอง เสียงตะโกนโกรธก็ดังขึ้น ร่างของทั้งสองปรากฏตัวขึ้น ขัดขวางนักยุทธ์ตำหนักจื่อหลายคนที่กำลังดิ่งลงมา
ร่างทั้งสองคนนี้ ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ชายสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน หญิงสวมใส่หน้ากาก ปลดปล่อยลมปราณของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ออกมา
“ผู้น้อยขอคารวะผู้อาวุโสอาจารย์ตำหนักจื่อ”
ทั้งสองคนนี้ไม่ได้ลงมือ แต่หันไปทางอาจารย์ตำหนักจื่อบนเรือรบสัมฤทธิ์ และคำนับด้วยความเคารพ
ชายวัยกลางคน เป็นเจ้าสำนักของสำนักฉางเหอ หญิงสาวที่สวมหน้ากาก เป็นเจ้าสำนักเสวียนหยาง
อาจารย์ตำหนักจื่อบนเรือรบขมวดคิ้วเล็กน้อย: “คนรุ่นหลังอย่างพวกเจ้าสองคน ก็ต้องการจะขวางข้างั้นหรือ?”
“ผู้อาวุโสล้อเล่นแล้ว ผู้น้อยก็ย่อมไม่กล้าขัดขวางการกระทำของผู้อาวุโส”เจ้าสำนักฉางเหอและเจ้าสำนักเสวียนหยางรีบพูด
“ในเมื่อไม่กล้า งั้นก็หลีกไป ไม่อย่างนั้นอย่าหากว่าข้าลงมือได้โหดเหี้ยม!”อาจารย์ตำหนักจื่อพูดอย่างเย็นชา และกดดันเป็นอย่างมาก
คีตโลกาถ้ำเทพสถิตกลุ่มหนึ่ง ตำหนักจื่อประสบความสูญเสียอย่างหนัก ไม่ต้องพูดถึงการเสียชีวิตของผู้อาวุโสจักรพรรดิยุทธ์ เจ้าสำนักทุกวันนี้ก็เหลือเพียงเทพจิตดวงหนึ่ง เขาในฐานะอาจารย์มกุฏยุทธ์ จะไม่โกรธได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เขาสนใจ คือมรดกโบราณที่คนรุ่นหลังที่ชื่อว่าหลัวซิวได้รับ ถ้าหากสามารถจับตัวครอบครัวไปได้ ข่มขู่ด้วยเรื่องนี้ บางทีตัวเองอาจจะได้รับมรดกโบราณ และก็ก้าวหน้าไปขั้นหนึ่ง
เกี่ยวกับอนาคตฝึกยุทธ์ของตัวเอง อาจารย์ตำหนักจื่อก็ย่อมไม่มีทางใจอ่อนเป็นธรรมดา ใครกล้าขวางเขา เขาก็กล้าฆ่าใคร
“เหอะ อาจารย์ตำหนักจื่อโอ่อ่ามาก!”
ทันใดนั้น เสียงเยาะเย้ยดังเข้ามา พื้นที่บนท้องฟ้าอันไกลโพ้นที่ไม่มั่นคง ร่างหนึ่งค่อยๆปรากฏขึ้นมา ล้อมรอบด้วยแสงทอง
ในแสงทอง ร่างหนึ่งก้าวเดินออกมา สีหน้าเยาะเย้ย มือซ้ายไพล่หลัง ผมยาวสีขาวก็กระจัดกระจาย ปลิวไปตามสายลม ราวกับเทพลงมา
ทันทีที่บุคคลนี้ปรากฏตัวขึ้น โลกก็ดูเหมือนจะอยู่ภายใต้การควบคุมของความคิดเดียว
“เสวียนหยาง เจ้าจะขัดขวางข้างั้นหรือ?”อาจารย์ตำหนักจื่อมองดูคนคนนี้ ดวงตาสั่นไหวด้วยความดุร้าย
บุคคลที่ปกคลุมไปด้วยแสงทองนี้ สามารถที่ทำให้อาจารย์ตำหนักจื่อสมาธิจดจ่อ เห็นได้ชัดว่าเป็นอยู่ในระดับเดียวกัน อาจารย์มกุฏยุทธ์ของสำนักเสวียนหยาง!
“ไม่ใช่ว่าข้าต้องการขัดขวางเจ้า แต่ครอบครัวของหลัวซิวนี้ ห้ามทำการหุนหันพลันแล่น”
อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมา คลื่นที่ซัดเข้ามาอย่างรวดเร็วรุนแรงของแม่น้ำที่รุกคืบอยู่บนท้องฟ้า ในคลื่นที่ซัดกระหน่ำ ร่างของชายชรายืนอยู่บนเกลียวคลื่น มือจับเคราสีขาวอยู่ และใบหน้ายิ้มแย้ม
อาจารย์ฉางเหอกับอาจารย์เสวียนหยาง มาพร้อมเพรียงกัน!
มาถึงตอนนี้ สามผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดในพื้นที่โดยรอบของประเทศเทียนหวู ก็ได้รวมตัวกันในเมืองชิงหยุนขนาดเล็กแห่งนี้
และผู้ที่ริเริ่มกระทำเป็นคนแรกก่อให้เกิดฉากนี้ ก็คือหลัวซิว จนถึงตอนนี้เพิ่งจะอยู่ในช่วงวัยรุ่นสิบกว่าปีเท่านั้น!
ก็เป็นชายหนุ่มที่ไม่อยู่ในสายตาแบบนี้ กลับสามารถที่จะล้วงคองูเห่าท่ามกลางผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ได้ ยึดเอามรดกโบราณไปไม่ว่า ยังก่อให้เกิดการเสียชีวิตของจักรพรรดิยุทธ์หลายคน ก่อให้เกิดความปั่นป่วนโกลาหล ทำให้อาจารย์มกุฏยุทธ์ระดับสูงตื่นตระหนก
……
“ที่นี่คือที่ไหน?”
หลัวซิวยืนอยู่ในอากาศ มองลงไปเห็นพื้นดินรกร้างแห่งหนึ่ง ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่แผดเผา ทรายเล็กๆ ส่องประกายแสงสีทองอร่าม
นี่คือทะเลทรายแห่งหนึ่ง สามารถที่จะมองเห็นเนินทรายที่ยกขึ้นสูงในระยะไกลได้ ก้อนหินรูปร่างแปลกประหลาด และยังมีกระบองเพชรไม่กี่ต้นที่ยืนอยู่ในทะเลทรายเป็นครั้งคราว
สิ่งเดียวที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ก็คือท้องฟ้าสีครามที่ไม่มีที่สิ้นสุด
อยู่ในคีตโลกาถ้ำเทพสถิตเริ่มต้นเคลื่อนย้ายด้วยพลังวิชาวิชาห้ามค่ายกล หลัวซิวไม่รู้ว่าตัวเองถูกเคลื่อนย้ายมาที่ไหน
“สถานที่บ้าแห่งนี้ร้อนจริงๆ”หลงหมิงสะบัดมือ พลังจิตแท้ก็กลายเป็นพัดในมือ ตอนนี้กลายเป็นร่างมนุษย์แล้ว แต่กลับเป็นเหมือนกับชายหนุ่มรูปงามของครอบครัวที่ร่ำรวย
ติดต่อกับตัวสำนึกของวิญญาณเสวียนดำในฝ่ามือข้างซ้าย“ท่านรู้ไหมว่าที่นี่เป็นที่ไหน?”
เนื่องจากการเคลื่อนย้ายของวิชาห้ามค่ายกลโบราณนั้น มาจากมือของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ
“คือเคลื่อนย้ายตามโอกาส ข้าก็ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นโลกในสมัยโบราณนั้น ค่อนข้างแตกต่างจากโลกปัจจุบันทีเดียว”
จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำก็ไม่สามารถระบุได้ว่าอยู่ที่ไหน สิ่งเดียวที่สามารถแน่ใจได้ ก็คือที่นี่ไม่ได้อยู่ภายในประเทศเทียนหวูอย่างแน่นอน เพราะว่าวิชาห้ามค่ายกลโบราณของคีตโลกาถ้ำเทพสถิตเริ่มที่จะเคลื่อนย้าย อย่างน้อยสามารถที่จะข้ามผ่านไปได้หลายล้านไมล์
ภายใต้ความจนปัญญา หลัวซิวก็ทำได้เพียงเลือกมุ่งหน้าไปทิศทางด้านใดด้านหนึ่ง สิ่งแรกที่เขาต้องทำ ก็คือแน่ใจว่าตัวเองมาถึงสถานที่ไหน
ในชี่ไห่จุดตันเถียน สมบัติวิเศษสามชิ้นของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำไม่ได้เคลื่อนไหวเลยสักนิด และวิญญาณที่อาศัยอยู่ในฝ่ามือซ้าย ก็อ่อนแอมากเช่นกัน ดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน ยังไม่สามารถเป็นภัยคุกคามตัวเองได้ชั่วคราว
สำหรับจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ หลัวซิวไม่ได้ไว้วางใจทั้งหมด เหตุผลที่รับปากให้วิญญาณของอีกฝ่ายอาศัยอยู่ในร่างกาย ประเด็นหลักยังเป็นเพราะว่าสถานการณ์ตอนนั้น ร่างกายอยู่นอกเหนือการบังคับ
ในทะเลทรายที่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่สามารถที่จะแยกแยะทิศทางได้ด้วยซ้ำ หลัวซิวบินอย่างไร้จุดหมายเป็นเวลาหลายวัน อย่างน้อยก็บินห่างออกไปหลายพันไมล์ และสภาพแวดล้อมโดยรอบยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ก็เหมือนกับว่าวนอยู่ที่เดิมตลอดเวลา
ในวันนี้ หลัวซิวลงมาอยู่ที่ยอดเขารกร้างแห่งหนึ่ง และสายตาก็มองไปที่ขอบฟ้าอันไกลโพ้นอย่างพรวดพราด
ในสายตาของเขา มีจุดสีดำพร่ามัวมองเห็นได้จากระยะไกลและใกล้ เมื่อหลัวซิวมองเห็นจุดสีดำนั้นชัดเจน รูม่านตาก็หดตัวลงทันที
นั่นเป็นเรือรบสีดำลำหนึ่ง ตัวเรือทั้งลำถูกหลอมจากโลหะสีดำ ความเร็วในการบินนั้น เทียบเท่ากับความเร็วเต็มที่ของผู้แข็งแกร่งราชายุทธ์ช่วงหลัง
อยู่ในอาณาเขตของประเทศเทียนหวู สามารถที่จะขับเคลื่อนเรือรบได้ อย่างน้อยก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์
เมื่อระยะทางใกล้เข้ามา หลัวซิวมองดูเรือรบสีดำสนิทด้านบน แขวนธงไว้ และเขียนว่า: สมาคมหมิงกวง
ตูมตาม…….
ในไม่ช้าเรือรบก็พุ่งขึ้นไปในอากาศ และอากาศโดยรอบที่ถูกบดขยี้ทำให้เกิดเสียงแตกดังสนั่น
หลัวซิวรีบบินเข้าไป เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด ยังไม่เข้าใกล้ เขาก็ตะโกนเสียงดังพร้อมกับพลังจิตแท้: “ข้าหลงทาง ไม่ทราบว่าข้าติดเรือไปด้วยได้ไหม ข้าขอบพระคุณเป็นอันมาก”
บนดาดฟ้าของเรือรบ นักยุทธ์หลายสิบคนสวมใส่ชุดเกราะ มือถือนักยุทธ์ ผู้นำผู้แข็งแกร่งทั้งสามปลดปล่อยลมปราณราชายุทธ์
สัมผัสได้ถึงลมปราณราชายุทธ์ที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างของหลัวซิว ผู้นำทั้งสามของเรือรบก็มองหน้ากัน และชายวัยกลางคนหนึ่งในนั้นก็ก้าวออกมา และพูดเสียงดังว่า: “เพื่อนเชิญขึ้นเรือ!”