มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 397 ความคิดของลู่เจิ้งเซี๋ยง
ตามบันทึกในม้วนหยก หุบเขาจิตนภาเป็นสถานที่ที่ดีในการฝึกฝนตัวสำนึก เมื่อเข้าไปในหุบเขา จะถูกโจมตีโดยวิญญาณเมื่อใดก็ได้ แค่สามารถต้านทานการโจมตีวิญยาณได้ ก็สามารถฝึกฝนตัวสำนึก เพิ่มระดับตัวสำนึก
“การโจมตีวิญญาณในหุบเขาจิตนภาอยู่ในระดับใด?” หลัวซิวถามความสงสัยของตนออกมา
“ข้าเคยไปที่นั่นเพียงครั้งเดียว แค่รอบๆหุบเขาจิตนภา มันเป็นการโจมตีวิญญาณระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 1 ถึง 3 ” ลู่เจิ้งเซี๋ยงกล่าว
“ถ้าผู้น้อยซิวหลัวจะไป ข้าขอแนะนำว่าไม่ควรเข้าไปในหุบเขา นอกหุบเขาก็จะมีการโจมตีวิญญาณรัดับราชายุทธ์เหมือนกัน เจ้าสามารถฝึกฝนตัวสำนึกของเจ้านอกหุบเขาได้” ลู่เจิ้งเซี๋ยงกล่าวเสริมอีกประโยค
หลัวซิวยิ้มอย่างไม่เห็นด้วย “ไม่เป็นไร ข้ามีสมบัติที่ป้องกันการโจมตีของวิญญาณ การโจมตีวิญญาณระดับจักรพรรดิยุทธ์ธรรมดาข้าไม่กลัว”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา ทั้งลู่เจิ้งเซี๋ยงและไป๋หลิงเซวียน ก็มองหลัวซิวอย่างประหลาดใจ
“ฮ่าฮ่า น้องชายผู้นี้มีโอกาสที่ดีจริงๆ สมบัติป้องกันวิญญาณหายาก” ไป๋หลิงเซวียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
อันที่จริง มีเพียงหลัวซิวเท่านั้นที่รู้ว่าเขาไม่มีสมบัติที่จะป้องกันการโจมตีของวิญญาณทั้งนั้น แม้จะมี อย่างมากก็ป้องกันการโจมตีระดับราชายุทธ์ได้เท่านั้น
เหตุผลที่เขาพูดเช่นนี้ก็เพราะว่าในตัวหยั่งรู้ของเขาได้รับการปกป้องกฎเบญจธาตุ ไม่ต้องกลัวการโจมตีวิญญาณของจักรพรรดิยุทธ์ธรรมดาทั่วไป เขาพูดออกมาก่อน เมื่อเข้าไปในหุบเขาจิตนภา จะไม่ไม่ทำให้ผู้อื่นสงสัย
“โอกาสของผู้น้อยซิวหลัว ทำให้ข้าอิจฉาจริง ๆ” ลู่เจิ้งเซี๋ยงพูดด้วยรอยยิ้ม แต่หลัวซิวรู้สึกได้ มีมีดคมซ่อนอยู่ในรอยยิ้มของเขา
“ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะไปถึงหุบเขาจิตนภา?” หลัวซิวถามอีกครั้ง
“หุบเขาจิตนภาตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ไม่เช่นนั้นจะถูกค้นพบนานแล้ว น่าจะใช้เวลามากกว่าครึ่งเดือนกว่าจะไปถึง” ลู่เจิ้งเซี๋ยงกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวก็หัวเราะในใจ เขาลุกขึ้นยืนและกำหมัด “เมื่อต้องใช้เวลานานมากเช่นนี้ ผู้น้อยจะไปที่ห้องในเรือรบเพื่อปิดขังฝึกตน”
พื้นที่ภายในเรือรบมีขนาดใหญ่มากและมีห้องไม่น้อย ทันทีที่หลัวซิวออกไป เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ตามไปกับเขาด้วย
บนดาดฟ้าเรือ เหลือเพียงไป๋หลิงเซวียนและลู่เจิ้งเซี๋ยง จักรพรรดิยุทธ์สองคนเท่านั้น
“หัวหน้าแก๊งลู่ มิตรภาพระหว่างเจ้ากับข้า ยาวนานกว่าสองร้อยปีแล้วใช่ไหม?” ไป๋หลิงเซวียนมองดูลู่เจิ้งเซี๋ยงและพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าฮ่า ใช่ สองร้อยปีผ่านไปในพริบตา ความงามของเทพธิดาไป๋ งดงามกว่าเมื่อก่อน” ลู่เจิ้งเซี๋ยงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ไป๋หลิงเซวียนหัวเราะคิกคัก “หัวหน้าแก๊งลู่ ในเมื่อเจ้ากับข้ามีมิตรภาพเช่นนี้ ไม่คิดจะบอกข้าหน่อยหรือว่าเจ้าพาสองคนนี้มาด้วยทำไม?”
เมื่อลู่เจิ้งเซี๋ยงถูกถามเรื่องนี้ สีหน้าไม่เปลี่ยน ยิ้มเล็กน้อย “ในเมื่อเทพธิดาไป๋ ในเมื่อเทพธิดาไป๋ถาม ข้าบอกเจ้าก็ไม่เป็นไร”
“นางนามสกุลเหยียนผู้นั้น เมื่อที่ปีกว่ายังอยู่ในอาการสลบ ถูกชายหนุ่มที่ชื่อซิวหลัว ให้พักอยู่ในองค์กรนักล่ายุทธ์เมืองโม่โหลว”
“ต่อมา ข้าไปสำรวจด้วยตัวเองและพบว่าสาเหตุที่นางที่นามสกุลเหยียนอยู่ในอาการสลบและนอนหลับก็เพราะชีวีพลังเลือดของนางใช้มากเกินไป เห็นได้ชัดว่าก่อนที่นางจะสลบหลับไป นางเคยแผดพลังและเลือดมาก่อน!”
“แผดเผาพลังและเลือด? สายเลือดโบราณ?” ไป่หลิงซวน หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
ทุกคนล้วนมีพลังและเลือด แต่การแผดเผาพลังและเลือด ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้แข็งแกร่งขึ้นในระยะเวลาอันสั้น มีเพียงสายเลือดบางสายที่สืบทอดมาแต่โบราณเท่านั้นที่สามารถใช้ได้
อย่าดูถูกวิธีการนี้ หากไม่แผดเผาเกินไป หลังจากผ่านช่วงระยะเวลาของความอ่อนแอ ก็จะฟื้นตัวเต็มที่ และในกระบวนการของการแผดเผาสามารถต่อสู้กับผู้ที่มีแดนสูงกว่าตนเองได้
ยิ่งการฝึกฝนสูงเท่าไหร่ การต่อสู้กับแดนที่สูงกว่าตนเองยิ่งยาก ดังนั้นสายเลือดโบราณจึงยิ่งมีค่ามากขึ้น
แน่นอน หากแผดเผาพลังและเลือดมากเกินไป จะทำให้เกิดการขาดแคลนอย่างใหญ่หลวง เช่นเดียวกับเหยียนเยว่เอ๋อร์ สลบและหลับไปและไม่รู้ว่าจะตื่นขึ้นมาเวลาไหน
เมื่อได้ยินคำว่าสายเลือดโบราณ ปฏิกิริยาแรกของไป๋หลิงเซวียนคือลู่เจิ้งเซี๋ยงต้องการสายเลือดโบราณของอีกฝ่าย
มิฉะนั้น นางไม่เชื่อว่าลู่เจิ้งเซี๋ยงจะใจดีขนาดนี้ที่จะแบ่งปันประโยชน์จากซากปรักหักพังโบราณกับพวกเขา
“ฮ่าฮ่า แค่สายเลือดโบราณ ก็ทำให้เทพธิดาไป๋ตื่นเต้น ถ้าข้าบอกเทพธิดา ผู้หญิงที่นามสกุลเหยียนอยู่ในอาการสลบไปหนึ่งปีกว่า หลังจากที่ซิวหลัวกลับมา ได้ขายสมบัติมากมายแลกหินพลังจิตชั้นสูงสองแสนก้อน ไม่รู้ว่าให้นางทานยาวิเศษอะไร นางถึงตื่นขึ้นจากอาการสลบ”
ลู่เจิ้งเซี๋ยงยิ้มเล็กน้อย “เมื่อเทียบกับแม่นางเหยียนที่มีสายเลือดโบราณ ข้าอยากรู้เรื่องที่เกี่ยวกับซิวหลัวมากกว่า ข้ามักจะรู้สึกว่าเขาไม่ธรรมดา ต้องมีความลับบางอย่างบนร่างเขาแน่ ชายหนุ่มแดนราชายุทธ์ขั้น 2 หินพลังจิตชั้นสูงสองแสนกว่าก้อน เอาความมั่งคั่งนี้มาได้อย่างไร?”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ไป๋หลิงเซวียนก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก ๆ นางเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4 สมบัติมูลค่าทั้งหมดของนางไม่ถึงหนึ่งแสนก้อนของหินพลังจิต
บางที ลู่เจิ้งเซียงอาจมีสมบัติมูลค่ามากกว่า สองแสนก้อนของหินพลังจิตก็ได้ และนั่นก็เป็นเพราะการฝึกฝนที่สูง แข็งแกร่ง แล้วยังเป็นหัวหน้าแก๊งของแก๊งสาขานักล่าอสูร
ทันใดนั้น ไป๋หลิงเซวียนนึกอะไรบางอย่างได้ “คราวนี้ในการต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งแต่งตั่งราชา ผู้ที่ได้รับตำแหน่งอันดับหนึ่งคือคิงซิวหลัว และผู้นี้ชื่อซิวหลัว เป็นไปได้ไหมว่า.. .”
“ข้าเองก็สงสัยเช่นกัน แต่เขาปฏิเสธ แต่ข้าคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะระดับการฝึกฝนของเขาแดนราชายุทธ์ขั้น 2 คิงซิวหลัวสามารถฉายาราชายุทธ์ อันดับหนึ่ง จะมีชื่อเสียงและเป็นเกียรติหนึ่งร้อยปี อย่างน้อยก็อยู่ที่แดนราชายุทธ์ขั้น 7” ลู่เจิ้งเซี๋ยงส่ายหัวและพูด
เมื่อกล่าวถึงที่นี้ ลู่เจิ้งเซี๋ยงจ้องไปที่ ไป๋หลิงเซวียน “เทพธิดาไป๋ เจ้ากับข้าเป็นเพื่อนกันมานานกว่าสองร้อยปี ดังนั้นข้าจึงบอกเจ้า คราวนี้ไปหุบเขาจิตนภา ข้าตั้งใจจะหาโอกาสฆ่าสองคนนี้ เลือดโบราณของหญิงนามสกุลเหยียนเป็นของเจ้า และที่เหลือเป็นของข้า เป็นอย่างไร?”
……
ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา หลัวซิวได้ปิดขังฝึกตนอยู่ห้องของเรือรบนี้ เพราะเรือรบลำนี้เป็นของลู่เจิ้งเซี๋ยงและเขาสามารถรับรู้การเคลื่อนไหวใดๆ ในห้องโดยสารได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นเมื่อหลัวซิวอยู่ในการปิดขังฝึกตน เขาได้จัดค่ายกลรอบๆไว้ กั้นการสำรวจของออร่าและตัวสำนึก
ลู่เจิ้งเซี๋ยงก็สังเกตเห็นการจัดค่ายกลหลัวซิวเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย เขาไม่ได้สัมผัสค่ายกลเหล่านี้อย่างจริงจังเพื่อตรวจสอบการเคลื่อนไหวภายใน
หลัวซิวนำแท่นบัวทิพย์ห้าสีที่ได้รับจากแดนแต่งตั้งราชาออกมา จากนั้นนำหินพลังจิตชั้นสูงจำนวน หนึ่งแสนก้อนออกมา และทำค่ายผนึกปราณรอบแท่นบัวทิพย์ห้าสี
พื้นที่เหนือแท่นบัวทิพย์สามารถรองรับได้เพียงคนเดียวในการฝึกฝน ตอนนี้หลัวซิวจำเป็นต้องเพิ่มแข็งแกร่งของเขาอย่างเร่งด่วน และเวลาครึ่งเดือนไม่เพียงพอทำให้เหยียนเย่วเอ๋อร์แข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงใช้แท่นบัวทิพย์ห้าสีนี้ด้วยตนเอง
กลั่นหินพลังจิตชั้นสูงจำนวนหนึ่งแสนก้อนเพื่อวิวัฒนาการปราณทิพย์ฟ้าดิน ผลของการฝึกฝนจะเห็นได้ชัดมาก
ควบคู่ไปกับเม็ดยาจำนวนมากที่เขากลั่นก่อนหน้านี้ที่ใช้เวลาสามวัน หลัวซิวเชื่อว่าความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มอย่างก้าวกระโดดก่อนที่จะไปถึงหุบเขาจิตนภา