มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 433
บทที่ 433
ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่มีใครอยู่ในซากปรักหักพังด้านล่างอีก
หลัวซิวบินขึ้นไปบนฟ้า พลิกฝ่ามือ หยิบธงขลังสรรพสิ่ง แกว่งธงไปมา ลำแสงค่ายกลพุ่งออกมา ในชั่วพริบตา มันก็พันกันเป็นค่ายกล ปกคลุมซากปรักหักพังเบื้องล่าง
นี่คือค่ายกลระบบน้ำ หมอกจำนวนมากควบแน่นในชั้นหิน และกลายเป็นฝนขนาดใหญ่ในทันที เพื่อชะล้างซากปรักหักพัง
หลังจากนั้นหลัวซิวโบกธงอีกครั้ง ใช้ปราณแห่งความเป็นฐานสร้างค่ายกลออกมา ชีวิตพืชพรรณที่ถูกเผาจนไม่เหลือ จู่ ๆ ก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับต้นไม้ที่ตายแล้วผลิใบในฤดูใบไม้ผลิ
ในช่วงเวลาสั้นๆ สถานที่ซึ่งเดิมทีเคยเป็นซากปรักหักพังที่รกร้างก็เปลี่ยนไปเป็นรูปลักษณ์ที่แตกต่างออกไป เขียวชอุ่มและเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
พลังที่หลัวซิวแสดงออกมานี้ แสดงทำให้สมาชิกในตระกูลสวีหลายคนบนเรือรบประหลาดใจมากนัก และดวงตาที่มองมาที่เขาเต็มไปด้วยความเคารพ
เป็นในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งมี!
หลังจากนั้น หลัวซิวก็เริ่มตั้งค่ายกลอีกครั้ง หลังจากเขาได้รับช่องจิตเทียม ระดับตัวสำนึกของเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมีความสามารถในการจัดตั้งค่ายกลระดับที่ 7 ได้แล้ว แล้วยังมีคำแนะนำของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ ปรมาจารย์นักค่ายกลผู้ในสมัยโบราณ การสร้างค่ายกลของเขาได้เก่งกาจขึ้นอย่างก้าวกระโดด ความสามารถเพิ่งถึงระดับปรมาจารย์นักค่ายกลระดับ 7
เขาหยิบวัสดุต่าง ๆ ออกมาจากวงแหวนเก็บของอย่างต่อเนื่อง สร้างเป็นค่ายธงต่างๆและผังค่าย
หลังจากผ่านไปสี่ชั่วโมงกว่า เขาได้ตั้งค่ายพิทักษ์เขาระดับ 7 ขึ้นมา
เป็นค่ายพิทักษ์เขาระดับ 7 เหมือนกัน แต่การจัดตั้งหลัวซิวนั้นอ่อนแอกว่าของสำนักเสวียนหยางมากนัก และพื้นที่ครอบคลุมค่อนข้างเล็ก
ค่ายพิทักษ์เขานี้ค่อนข้างง่ายดาย แต่หากจะต้านทานผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์หนึ่งหรือสองคน ก็ไม่ยาก แต่แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์ที่มาสร้างเรื่องนั้น ระดับความแข็งแกร่งจะต้องต่ำกว่าแข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์ช่วงปลาย
หลัวซิวประมาณการว่าการฝึกฝนของอาจารย์เสวียนหยางและซุนเชียนซาง อีกคนเป้นแดนมกุฏยุทธ์ขั้น 4 อีกคนเป็นแดนมกุฏยุทธ์ขั้น 3 ด้วยค่ายพิทักษ์เขาระดับ 7 นี้ สามารถต้านทานได้อย่างง่ายดาย
เมื่อค่ายกลถูกเปิดใช้งาน บริเวณที่ล้อมรอบด้วยยอดเขาทั้งเก้าถูกห้อมล้อมด้วยพลังผสมผสานสีดำขาวขนาดใหญ่ เผยให้เห็นห้วงที่ลึกลับ
“นี่คือ……”
ดวงตาของสวีจิงเหนียนเบิกกว้าง ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ เผชิญกับค่ายกลที่สร้างขึ้นโดย หลัวซิว เขามีความรู้สึกว่าเขาไม่สามารถต้านทานได้
ค่ายกลระดับ 6 ไม่สามารถสร้างแรงกดดันแบบนี้ให้กับเขาได้เลย หรือว่านี่คือค่ายกลระดับ 7 ?
“ไม่ผิด เป็นค่ายกลระดับ 7 แต่การฝึกฝนของข้ายังไม่เพียงพอ ดังนั้นค่ายกลนี้จึงมีเพียงความสามารถในการป้องกันเท่านั้น ไม่มีความสามารถในการโจมตี” หลัวซิวกล่าวด้วยความเสียดาย
ค่ายพิทักษ์เขาที่แท้จริงควรเป็นการผสมผสานระหว่างการโจมตีและการป้องกัน ตัวอย่างเช่น ค่ายพิทักษ์เขาระดับ 7 ของ สำนักเสวียนหยาง หลังจากเปิดใช้งาน ด้วยพลังของค่ายกลก็สามารถฆ่าผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์ได้
สำนักเสวียนหยางสามารถยืนหยัดได้นับพันปีโดยไม่ล้มค่ายพิทักษ์เขา สามารถกล่าวได้ว่าช่วยได้มากทีเดียว
สำนักฉางเหอ ก็มีค่ายพิทักษ์เขาระดับ 7 หนึ่งค่ายกลเหมือนกัน ดังนั้นหลังจากที่อาจารย์ของฉางเหอได้รับบาดเจ็บสาหัสเขาก็ปิดประตูเขา และเปิดค่ายกลผนึกเขา สำนักเสวียนหยางและตำหนักจื่อต่างก็ไม่กล้าไปต่อสู้อย่างง่ายดาย
ทางเข้าของแดนตำหนักจื่อ อยู่ในพื้นที่ส่วนกลางของค่ายพิทักษ์เขาระดับ 7 นี้
หลัวซิวเก็บเรือรบ ให้ทุกคนลงมาเดินเท้า
พื้นที่ที่ปกคลุมด้วยค่ายกลระดับ 7 นั้นมีขนาดประมาณเท่ากับเมืองทั่วไป ตำหนักต่างๆก่อนหน้านี้ถูกทำลายไปแล้ว แม้ว่าด้วยพลังค่ายกลจะได้รับการชุบตัวและล้างสิ่งสกปรกออกไป แต่อยากจะสร้างขึ้นใหม่ จะไม่สามารถได้ในเวลาสั้นๆ
“ทุกคนที่อยู่ในแดนราชายุทธ์ ออกมา!” หลัวซิวหันกลับมา มองไปยังคนตระกูลสวี
สมาชิกตระกูลสวี ทุกคนตกใจเล็กน้อย พวกเขาหันสายตาไปที่สวีจิงเหนียน เห็นได้ชัดว่าแม้ว่าพวกเขาจะมากับหลัวซิวแต่จากก้นบึ้งของหัวใจพวกเขายังคงเชื่อฟังคำสั่งของสวีจิงเหนียน
สวีจิงเหนียนขมวดคิ้ว “ท่านชายหลัว ตั้งใจจะสร้างกองกำลัง อาจารย์ ข้า พาคนของตระกูลสวีเข้าร่วมภายใต้กองกำลังของท่านชายหลัว พวกเจ้ามองข้าทำไม?”
เขารู้ดีว่าเขาต้องอธิบายเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นเขาจะถูกสงสัยว่าเขาต้องการเข้ายึดอำนาจ
อาจารย์ได้กล่าวออกมาแล้ว นักยุทธ์ของตระกูลสวี ทุกคนมีแดนต่ำกว่าราชายุทธ์ ได้เดินออกมาและมองไปที่หลัวซิว
หลัวซิวรู้ว่า ต้องการให้คนเหล่านี้เชื่อฟังเขา ไม่สามารถทำได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพราะคนเหล่านี้เกิดในตระกูลสวี แม้จะเข้าร่วมกองกำลังเขา ก็ไม่ได้ภักดีต่อเขา ผู้ที่พวกเขาภักดีก็เป็นสวีจิงเหนียน อาจารย์ผู้นี้
แต่หลัวซิวไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก ตราบใดที่สวีจิงเหนียนเชื่อฟังคำสั่งของเขา ผู้คนในตระกูลสวีเหล่านี้ก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาธรรมดา
ทั้งหมดนี้ สิ่งสำคัญก็คือ ความแข็งแกร่งส่วนตัวของเขาสามารถอยู่เหนือผู้คนภายใต้มือของเขาได้
ผู้คนที่มีระดับการฝึกฝนต่ำกว่าราชายุทธ์นั้นค่อนข้างมาก มีคนเกือบ 30 คน
หลัวซิวหันมือแล้วหยิบแหวนเก็บของออกมาแล้วโยนให้สวีจิงเหนียนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา กล่าวว่า “จัดราชายุทธ์คนหนึ่ง เพื่อนำพาคนเหล่านี้ไปยังเมืองใกล้เคียงเพื่อรับช่างฝีมือมา สร้างตำหนัก วังในค่ายกลคุ้มเขา ที่พักอาศัยและสนามฝึกซ้อม”
สวีจิงเหนียนไปจัดการอย่างรวดเร็ว หลัวซิวยังให้เหยียนเยว่เอ๋อร์นำเรือรบออกมาให้คนเหล่านี้ไปที่เมืองใกล้เคียงเพื่อรับช่างฝีมือมา
หลัวซิวประมาณว่าอย่างมากจะเป็นเวลาครึ่งเดือน นอกพื้นที่ของแดนตำหนักจื่อ ก็สามารถสร้างใหม่ได้สำเร็จ
สำหรับจะสร้างตำหนักแบบไหนในพื้นที่นี้ หลัวซิวมีความคิดคร่าวๆ อยู่ในใจแล้ว ดังนั้นเขาจึงสลักความคิดของเขาไว้บนม้วนหยก ให้พวกเขาจ้างช่างฝีมือมาสร้างตามแบบจำลองนี้
ภารกิจในการสร้างตำหนักที่พักอาศัยด้านนอกได้สั่งลงไปแล้ว หลัวซิวก็พาผู้ที่เหลือไปยังพื้นที่ใจกลางของค่ายกลคุ้มเขา
เขาสะบัดมืออากาศตรงหน้าก็เกิดลวดลายดวงดาวเปล่งประกาย ภาพนี้เกิดขึ้นกวางอากาศเหมือนผนึก ที่ปิดผนึกทางเข้าแดนปริศนา
เว้นแต่จะมีระดับปรมาจารย์ที่มีทักษะค่ายกลระดับ 7 หรือสูงกว่า แม้ว่าจะมีผู้แข็งแกร่งระดับมกุฏยุทธ์หลายคนร่วมมือกันโจมตี ก็ไม่สามารถเปิดทางเข้าสู่แดนปริศนาได้
ภายใต้สายตาของทุกคน หลัวซิวเริ่มใช้มือผนึกค่ายกล ผนึกแต่ละอันยุ่งยากมาก ทำให้คนมองสายตาพร่างพรายไปหมด
หลังจากผ่านไปสิบห้านาที เขาได้บีบผนึกไปแล้วกว่าพันผนึก ในที่สุดผนึกทั้งหมดก็ควบแน่นเป็นลำแสงอันเจิดจ้า ถูกเขายกมือขึ้นและสะบัดออกไปกระแทกลงไปที่ภาพลวดลายดวงดาวบนอากาศ
ฮึ่ม! …
ความว่างเปล่าสั่นสะเทือน ระลอกคลื่นซัดออกมาไม่หยุด เผยให้เห็นทางเข้าในอากาศที่เต็มไปด้วยพลังปราณสีม่วง