มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 450 งานประมูลยาร้อยปี
บทที่ 450 งานประมูลยาร้อยปี
“อาจารย์ หากมีพี่หลัวไปกับข้าละก็ พวกท่านก็กลับไปเถอะค่ะ” เมื่อได้ยินว่าหลัวซิวยินดีจะไปส่งนางด้วยตนเอง เหยียนซีโรว่ก็พูดขึ้นมาด้วยความดีใจทันที
“ไม่ได้ ถ้าไม่ได้เห็นว่าเจ้าไปถึงแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ด้วยตาตัวเองแล้วละก็ อาจารย์จะวางใจได้อย่างไร ? อีกอย่าง ใจคนนั้นยากแท้หยั่งถึง จึงไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่มีใครบางคนที่คิดไม่ซื่อ” ไป๋หุ้ยเหลียนพูดพลางขมวดคิ้ว
เมื่อหลัวซิวได้ยินเช่นนี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงตนอยู่ จึงหัวเราะเยาะออกมาทันที “เมื่อครู่ถ้าไม่ใช่เพราะข้าลงมือ เกรงว่าพวกท่านทั้งหมด คงจะถูกฝังอยู่ในป่าไปแล้ว”
“อีกอย่าง ถ้าหากข้าคิดไม่ดีต่อซีโรว่จริง อาศัยแค่พวกท่านเพียงไม่กี่คน คิดว่าจะขวางข้าได้อย่างนั้นหรือ ?”
“เจ้า……”
ใบหน้าของไป๋หุ้ยเหลียนบูดบึ้ง แต่กลับถูกราชายุทธ์สำนักเดียวกันที่อยู่ข้าง ๆ ดึงเอาไว้
พวกนางรู้ดีว่า สิ่งที่หลัวซิวพูดเป็นความจริง ด้วยความสามารถของเขาที่สังหารตาเฒ่าจักรพรรดิยุทธ์ได้ หากคิดไม่ดีต่อซีโรว่จริง ก็สามารถลงมือได้อย่างเปิดเผย ทำไมจะต้องออกแรงให้เสียเวลาด้วย ?
แต่ไป๋หุ้ยเหลียนกลับพยายามอย่างเต็มที่ที่จะคัดค้านหลัวซิว จึงแสยะยิ้มแล้วพูดว่า : “เรื่องของสำนักไป๋ซิงกู่เรา ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาห่วงหรอก”
หลัวซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาจ้องไป๋หุ้ยเหลียนตาเขม็ง เขาไม่รู้ว่าตนเองนั้นล่วงเกินอะไรหญิงชราผู้นี้เข้า จึงเอาแต่โจมตีเขาไม่หยุด
“พี่หลัว”
เหยียนซีโรว่ดึงแขนเสื้อของหลัวซิวเอาไว้ ราวกับกลัวว่าหลัวซิวจะลงมือกับไป๋หุ้ยเหลียน
แน่นอนว่าหลัวซิวไม่คิดจะถือสาหญิงชรา เขาหยิบยันต์หยกออกมาแล้วยื่นให้กับเหยียนซีโรว่ และพูดว่า : “หากพบอันตรายเข้า ให้ขยี้ยันต์ผืนนี้ให้แหลก แล้วข้าจะรีบมาในทันที”
หลังจากพูดจบ ก็ซิวก็ทำเสียงฟึดฟัดอย่างไม่พอใจ จากนั้นจึงกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้า และกลายเป็นแสงหายวับไป
เมื่อแยกจากกลุ่มคนของสำนักไป๋ซิงกู่ หลัวซิวก็เดินทางต่อไปในเทือกเขาเหิงหยุนเพื่อตามหาดินดำเหลือง เพียงแต่ภูเขาลูกนี้มีอาณาเขตที่กว้างขวาง หากเจาะจงที่จะหาวัสดุประเภทใดประเภทหนึ่ง ก็ไม่ต่างกับการงมเข็มในมหาสมุทร
ทันใดนั้นเอง หลัวซิวเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น จึงหันหน้ากลับไปมอง และเห็นลำแสงสิบกว่าเส้นกำลังพุ่งทะลุมาในอากาศ และตรงไปยังยอดเขาสูงตระหง่านกลางหมู่เมฆที่อยู่ห่างออกไป
ยอดเขาสูงตระหง่านกลางหมู่เมฆนั้น หลัวซิวรู้ดีว่าเป็นที่ตั้งของสำนักเขาสำนักไม้เสวียน ที่อยู่ใกล้ ๆ กับเทือกเขาเหิงหยุน
ตอนนี้เอง ในบรรดาลำแสงสิบกว่าเส้นที่อยู่บนท้องฟ้า มีเส้นหนึ่งที่จู่ ๆ ก็ตกลงมาตรงหน้าของหลัวซิว และปรากฏขึ้นเป็นชายหนุ่มสวมใส่ชุดสีน้ำเงิน
“สวัสดีสหายท่านนี้ ข้าคือหลินจื่อเฟิง ไม่ทราบว่าสหายเองก็ต้องการไปร่วมงานประมูลยาร้อยปีของสำนักไม้เสวียนด้วยใช่หรือไม่ ?” ชายหนุ่มชุดน้ำเงินพูดลางยกมือขึ้นคารวะ
“งานประมูลยาร้อยปี ?” หลัวซิวรู้สึกตกใจ จากนั้นสมองของเขาก็หวนนึกไปถึงข้อมูลบางอย่างที่ตนเองเคยอ่านเจอเกี่ยวกับสำนักไม้เสวียน
สำนักไม้เสวียนแห่งนี้ ตั้งอยู่ใกล้กับเทือกเขาเหิงหยุน และภายในเทือกเขาเหิงหยุนก็อุดมไปด้วยยาวิเศษชนิดต่าง ๆ สำนักไม้เสวียนขึ้นชื่อเรื่องการกลั่นยา ทุก ๆ หนึ่งร้อยปีจะจัดงานประมูลยาขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นจะมีกองกำลังต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้กับเทือกเขาเหิงหยุน รวมไปถึงยอดฝีมือโลกยุทธ์เดินทางมาเข้าร่วม
เพราะหนึ่งร้อยปีจึงจะจัดขึ้นหนึ่งครั้ง ดังนั้นจึงถูกเรียกว่างานประมูลยาร้อยปี จะมีการจัดแสดงตัวยาหายากบางชนิด หรือไม่ก็มีการประมูล หรือการซื้อขาย อีกทั้งนอกจากยาแล้ว นักยุทธ์คนอื่น ๆ เองก็สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนสมบัติล้ำค่าที่อยู่ในมือได้ นับได้ว่าเป็นงานแสดงสินค้าที่ยิ่งใหญ่งานหนึ่งก็ว่าได้
หลัวซิวคิดไม่ถึงเลยว่าจะพบกับเรื่องบังเอิญเช่นนี้ ตนเองมีโอกาสได้เข้าร่วมงานประมูลยาของสำนักไม้เสวียนจริงหรือ ?
ตนเองพยายามควานหาสิ่งที่ต้องการในเทือกเขาเหิงหยุน หากคิดจะหาดินดำเหลืองให้พบคงไม่ใช่เรื่องง่าย หากสามารถเข้าร่วมงานประมูลยาของสำนักไม้เสวียนได้ ไม่แน่ว่าภายในงานแสดงสินค้า อาจมีคนนำวัสดุประเภทนี้ออกมาขายก็ได้
ชายหนุ่มชุดน้ำเงินตรงหน้าที่ชื่อว่าหลินจื่อเฟิงผู้นี้ หลัวซิวไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายจะมีเจตนาร้าย แต่กลับมีความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างซ่อนอยู่ ราวกับว่าเคยพบหน้ากันมาก่อน เพียงแต่จำไม่ได้เท่านั้น
“ข้าชื่อหลัวซิว มาร่วมงานประมูลยาสำนักไม้เสวียนด้วยเช่นกัน” หลัวซิวเองก็ยกมือขึ้นคารวะเช่นเดียวกัน
“ฮ่าฮ่า ในเมื่อมีจุดประสงค์เดียวกัน ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางไปพร้อมกันดีไหม ?” หลินจื่อเฟิงเชิญชวนด้วยรอยยิ้ม
ในเวลาเดียวกันนี้ ลำแสงอีกสิบกว่าเส้นที่อยู่บนท้องฟ้าต่างก็หยุดลง ดูไปแล้วทุกคนล้วนเป็นหนุ่มสาวที่อายุยังน้อย ต่างมีผลการฝึกตนในแดนราชายุทธ์ มีทั้งระดับสูงและต่ำปะปนกัน
หลัวซิวไม่ได้ปิดบังออร่าผลการฝึกตนของตนเอง ผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ขั้น 5 ในบรรดาคนเหล่านี้ไม่ถือว่าอยู่ในระดับสูงสุด แต่ก็อยู่ในระดับกลางค่อนไปทางสูง
ดังนั้นนักยุทธ์หนุ่มสาวเหล่านี้ จึงมีท่าทีที่ค่อนข้างเป็นมิตรกับหลัวซิว ต่างก็ยิ้มแย้มและยกมือขึ้นคารวะพร้อมกล่าวทักทาย
ด้วยการแนะนำของหลินจื่อเฟิง ทำให้หลัวซิวได้รู้ว่าพวกเขาเหล่านี้ บ้างก็เป็น散修 บ้างก็เป็นศิษย์รุ่นหนุ่มสาวจากสำนักตระกูลที่อยู่ใกล้กับเทือกเขาเหิงหยุน พวกเขาเองเป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมทางเท่านั้น ไม่ได้สนิทสนมกันนัก
ศิษย์วัยหนุ่มสาวจำนวนมากที่เข้ามาฝึกจนในกองกำลัง ต่างก็ทำความรู้จักกับเพื่อนเอาไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อพัฒนาเครือข่ายของตนเองให้กว้างขวาง ด้วยเหตุนี้ การที่คนหนุ่มสาวที่ไม่สนิทกันนักแต่มารวมตัวอยู่ด้วยกัน กลับไม่ได้ทำให้หลัวซิวรู้สึกประหลาดใจนัก
“พี่หลัว ไม่ทราบว่าพวกเราเคยพบหน้ากันมาก่อนไหม ?” จู่ ๆ หลินจื่อเฟิงที่เหาะอยู่บนอากาศ เพื่อมุ่งหน้าไปยังสำนักไม้เสวียนพร้อมกัน ก็พูดขึ้นกับหลัวซิว
“ข้าว่าพวกเราไม่น่าจะเคยพบกันมาก่อนนะ” หลัวซิวส่ายหัว
“ข้าเองก็คิดว่าพวกเราไม่น่าจะเคยพบกันมาก่อน แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ก่อนหน้านี้ตอนที่เหาะผ่านพี่หลัวซิวไป จู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกเหมือนเคยพบกันมาก่อน” หลินจื่อเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลัวซิวเองก็รู้สึกใจสั่นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่รู้สึกเช่นนี้ ที่หลินจื่อเฟิงคนนี้เชื้อเชิญให้ตนเองร่วมเดินทางไปด้วย ก็คงเป็นเพราะเหตุผลนี้
แต่บนโลกใบนี้ เต็มไปด้วยเรื่องน่าแปลกมากมาย หลัวซิวเองจึงไม่ได้คิดมาก ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงบริเวณใกล้ ๆ กับสำนักเขาสำนักไม้เสวียน
สำนักไม้เสวียน ตั้งอยู่ใกล้กับเทือกเขาเหิงหยุน ถือว่าเป็นหนึ่งในกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เจ้าสำนักคือผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ท่านหนึ่ง ได้ยินมาว่ายังมีอาจารย์แดนมหายุทธ์อีกหนึ่งท่าน ที่เก็บตัวจากโลกภายนอกมาหลายปี
บริเวณใกล้ ๆ สำนักเขา ถูกปกคลุมไปด้วยแนวค่ายกลคุ้มเขาที่กินพื้นที่ขนาดใหญ่ ไม่สามารถใช้วิชาเหาะเหินเดินฟ้าเข้าไปได้ พวกเขาจึงต้องลงมาจากท้องฟ้า แล้วเดินขึ้นบันไดหินไป
“แนวค่ายกลคุ้มเขาระดับ 8”
ทันทีที่หลัวซิวมาถึงบริเวณใกล้ ๆ กับสำนักเขาสำนักไม้เสวียน เขาก็สัมผัสได้ถึงออร่าของแนวค่ายกลคุ้มเขาทันที
แนวค่ายกลคุ้มเขาระดับ 8 มีกระแสที่เพียงพอจะทำให้ผู้แข็งแกร่งแดนมหายุทธ์ต้องล่าถอยไป แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรก็ไม่อาจทำลายได้
เพียงแค่ค่ายกลคุ้มเขาเพียงอย่างเดียว ก็พอจะคาดเดาถึงบรรยากาศและภูมิหลังของสำนักไม้เสวียนได้ เทียบได้กับสำนักเสวียนหยางซึ่งอยู่ในประเทศเทียนหวูที่ไกลออกไป หรือจะพูดได้ว่าห่างกันกว่าหนึ่งแสนแปดพันลี้
ในเมื่อสำนักไม้เสวียนตั้งอยู่ที่นี่ ก็เป็นธรรมดาที่ยอดเขาแห่งนี้จะมีชื่อว่ายอดเขาไม้เสวียน
บริเวณครึ่งทางของไหล่เขา มีสิ่งก็สร้างแบบต่าง ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก อย่างเช่นคูเมืองขนาดเล็ก ซึ่งเป็นที่ตั้งของนอกสำนักและในสำนักของสำนักไม้เสวียน
หลัวซิวแห่งนักยุทธ์ที่แต่งกายด้วยชุดสีเขียวเดินไปมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งทุกคนล้วนเป็นศิษย์ของสำนักไม้เสวียน มีจำนวนที่มากและมีผลการฝึกตนที่ไม่ธรรมดา
ตามที่เขารู้มา สำนักไม้เสวียนแห่งนี้มีศิษย์นอกสำนักสามพันคน และมีผลการฝึกตนในระดับต่ำสุดคือแดนพรสวรรค์ และยังมีศิษย์ในสำนักอีกแปดร้อยคน มีผลการฝึกตนต่ำสุดในระดับแดนฝึกจิต ส่วนศิษย์ใจกลางนั้นมีอยู่ทั้งสิ้นยี่สิบแปดคน ผลการฝึกตนต่ำสุดอยู่ในระดับราชายุทธ์
นี่จึงจะเป็นบรรยากาศที่สำนักใหญ่ควรมี สำนักเขาตั้งอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มีผู้มีพรสวรรค์อยู่กันอย่างคับคั่ง และมียอดฝีมืออยู่เป็นจำนวนมาก
เมื่อเทียบกันแล้ว สำนักไท่เสวียนที่หลัวซิวเพิ่งสร้างขึ้นมา ก็เปรียบได้กับชั้นเรียนของเด็กอนุบาลเท่านั้น ทางที่ต้องเดินต่อไปในวันข้างหน้า ถือได้ว่ามีภาระที่หนักอึ้งและหนทางยังอีกยาวไกลนัก