มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 532
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 532
ยังไม่ต้องพูดถึงความสามารถของหลัวซิว เพียงแค่ความเร็วของผลการฝึกตนของเขาที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พูดได้ว่ามู่จื่อซิวและหนิงเหอโจวเคยได้สัมผัสมาก่อน
เมื่อหนึ่งปีก่อน ในตอนที่เขาเป็นราชายุทธ์ปฐมภูมิ ฝีมือของเขาก็สามารถทัดเทียมกับจักรพรรดิยุทธ์ได้แล้ว
ระยะเวลาสั่น ๆ เพียงแค่ปีกว่า ผลการฝึกตนของเขาไม่เพียงเพิ่มมาถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ ความสามารถของเขานั้นยังทัดเทียมได้กับมกุฎยุทธ์ สังหารแม้กระทั่งมกุฎยุทธ์ แบบนั้นถึงน่าหวาดกลัวอย่างแท้จริง
ถึงอย่างไรผลการฝึกตนยิ่งเพิ่มขึ้น ความลำบากในการต่อสู้ข้ามระดับก็ยิ่งยากขึ้น ถ้าหากรอจนเขาถึงระดับมกุฎยุทธ์สามารถต่อต้านมหายุทธ์ เช่นนั้นก็ไม่ใช่น่าหวาดกลัวแล้ว แต่เป็นเหนือมนุษย์
การคัดเลือกศิษย์เข้าสำนัก เมื่อก่อนหน้านี้เหว้ยห้าวหรานได้ทำตามความต้องการของหลัวซิวแล้ว ได้สร้างค่ายกลต่าง ๆ นานาเพื่อทดสอบ
จากการทดสอบแต่ละขั้น ภายในผู้คนนับพันคน มีเพียงร้อยกว่าคน ที่มีคุณสมบัติเข้าเป็นศิษย์นอกสำนักของสำนักไท่เสวียน
ผลการฝึกตนของคนพวกนี้ อาจจะไม่ได้สูงที่สุดให้ในคนจำนวนนับพันคน แต่ล้วนมีรากฐานที่มั่นคง หลังจากที่ได้เข้าสำนักไท่เสวียน ความสำเร็จในอนาคตอย่างน้อยก็อยู่ที่ระดับจักรพรรดิยุทธ์
ที่จริงแล้วพิธีเปิดเขานั้น เป็นการแสดงให้คนบนโลกได้เห็นถึงรากฐานและความแข็งแกร่ง
เกาเหลียนหงผู้คุมกฎของสำนักได้สังหารมกุฎยุทธ์ทั้งสามท่านของสำนักอัสนีวายุ หลัวซิวลงมือจับเป็นมกุฎยุทธ์ช่วงปลายอย่างจูชิง ได้เป็นการแสดงให้เห็นความสามารถของทำนักไท่เสวียนเป็นที่เรียบร้อย
ส่วนรากฐานของกองกำลังนั้น แน่นอนว่าก็คือการสืบทอดนั่นเอง!
หอเสวียนดำเปิดออก ส่องแสงสว่างวาบ วรยุทธ์ต่าง ๆ นานาตั้งแต่ระดับสี่ถึงระดับเจ็ด มากมายนับไม่ถ้วน เป็นการเปิดหูเปิดตาสำหรับทุกคนจริง ๆ
ทว่าหลัวซิวกลับทราบเป็นอย่างดี สำนักไท่เสวียนเริ่มก่อตั้ง พูดได้ว่าเป็นที่เคารพนับถือในประเทศเทียนหวู แต่ทั่วทั้งอาณาจักรใต้ ไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึง ยังมีเส้นทางอีกยาวไกลที่จะต้องเดิน
“ข้าหลัวซิวไม่ทำก็คือไม่ทำ ถ้าทำแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด จะต้องมีสักวัน ข้าจะทำให้สำนักไท่เสวียนส่องสว่างเจิดจรัสไปทั่วโลกแสงดาว แม้จะเกิดเคราะห์กรรมโบราณขึ้นอีกครั้ง ก็จะไม่สิ้นสลาย!”
ยามพลบค่ำพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า พิธีเปิดเขากำลังจะสิ้นสุด แขกที่ได้มาร่วมพิธีมากมาย ต่างก็ได้ทยอยจากไป
หลัวซิวยืนอยู่ที่ด้านหน้าตำหนักวัฏสงสาร ก้มมองแผ่นดินอันกว้างใหญ่ ทอดมองความว่างเปล่าอันกว้างขวาง ความฮึกเหิมเกิดขึ้นมาภายในใจ
เขาจะทำให้สำนักไท่เสวียน รุ่งเรืองและเกรียงไกรยิ่งกว่าสมัยโบราณด้วยมือของเขา ทางเส้นนี้ถูกกำหนดว่าจะต้องเดินอย่างยากลำบาก แต่เขากลับเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
การฝึกยุทธ์ แย่งชิงชีวิตกับสวรรค์ เหตุใดต้องกลัวความยากลำบากและอันตราย?
แม้ว่าเยว่คงจวินผู้แข็งแกร่งมหายุทธ์คนนี้จะไม่ได้สร้างปัญหา แต่ก่อนที่เขาจะจากไป กลับได้ฝากไว้กับหลัวซิวหนึ่งประโยค
“เรื่องของศิษย์ไม่ได้เรื่องของข้าคนนั้น เห็นแก่หัวหน้าลาดตระเวน ข้าสามารถไม่เอาเรื่องเป็นการชั่วคราวได้ แต่ข้าให้โอกาสเจ้าเพียงแค่สิบปีเท่านั้น หลังจากสิบปีผ่านไป ถ้าหากเจ้าไม่มีความสามารถที่จะเผชิญหน้ากับข้าได้ เช่นนั้นเมื่อข้าลงมือต่อเจ้า หัวหน้าลาดตระเวนก็ไม่อาจที่จะปกป้องเจ้าได้!”
เยว่คงจวินไม่ได้ถามว่าเป็นหลัวซิวที่สังหารหยูเชียนฮั่วหรือไม่ เพราะสำหรับผู้แข็งแกร่งมหายุทธ์คนหนึ่ง แหล่งที่มาของข่าวคราวของเขานั้นกว้างขวางมาก ต้องการสืบหาต้นสายปลายเหตุของเรื่องราว มันไม่ใช่เรื่องอยากอะไร
สำหรับผู้ที่พึ่งบรรลุถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์ คิดจะต่อกรกับมหายุทธ์ได้ในระยะเวลาภายในสิบปี ก็เท่ากับการเอาไข่ไปกระทบหิน ไม่มีความเป็นไปได้เลยสักนิด อย่าว่าแต่สิบปีเลย ต่อให้เวลาเป็นร้อยปี ก็ไม่มีทางที่จะทำได้
ทว่าหลัวซิวกลับทราบดี แทนที่จะบอกว่าเป็นสัญญาสิบปีนี้ เป็นผลกรรมระหว่างเขากับเยว่คงจวิน สู้บอกว่าเป็นบททดสอบที่หัวหน้าลาดตระเวนแห่งอาณาจักรใต้ให้เขาจะดีกว่า
“บางที หากหัวหน้าลาดตระเวนผู้สูงส่งท่านนั้นได้รู้ว่าข้าบรรลุแดนจักรพรรดิยุทธ์ได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงสิบปี คิดจะยืมมือเยว่คงจวินให้ความกดดันแก่ ดูว่าข้าจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้อีกครั้งหรือไม่?”
ความคิดของบุคคลใหญ่โตเหล่านั้น คาดเดาได้ยาก แต่หลัวซิวทราบดีว่าตนเองทำได้เพียงเดินไปข้าง จะต้องมีสักวันที่ตนนั้นมีความสามารถทัดเทียมได้ ถึงจะสามารถตัดขาดกับสถานะของการเป็นหมากของผู้อื่น