มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 592
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 592
ผู้ที่มีคุณสมบัติมาเข้าร่วมการแข่งขัน อย่างน้อยก็เป็นอัจฉริยะที่มาจากกองกำลังใหญ่ชั้นหนึ่ง อัจฉริยะเหล่านี้เมื่ออยู่ในตระกูลสำนักของตนนั้น มักรู้สึกว่าตนเหนือผู้อื่นอยู่เสมอมา
ทว่าเมื่อผ่านการแข่งขันแค่เพียงในครั้งแรกนี้ กลับทำให้คนพวกนี้เข้าใจว่า อย่าว่าแต่กองกำลังใหญ่ชั้นหนึ่งที่มีผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรประจำการอยู่เลย แม้แต่ผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาเหล่านั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าอัจฉริยะของสุดยอดแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่นับอะไรเลยสักนิด
ในขณะเดียวกันนั้น หลัวซิวยังสังเกตเห็นว่า เหล่าอัจฉริยะที่ได้ยืนอยู่บนแท่นบัวเพลิงอัคคีแล้วพวกนั้น หลายคนที่มองพวกคนที่ใช้กำลังสุดชีวิตต่อต้านพลังกดดันและเดินอย่างยากลำบาก ในสายตาเต็มไม่ด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
“คิดว่าตนเหนือกว่า มองผู้อื่นด้วยสายตาเหมือนดั่งก้มมองมด แต่กลับหารู้ไม่ว่าในสายตาของผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง อย่างพวกเขานั้น ก็เป็นแค่มดเหมือนกันไม่ใช่หรอกหรือ?”
หลัวซิวทอดถอนใจอย่างเงียบ ๆ ส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วหลับตาลง นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นบัวเพลิงอัคคี
นี่เพียงแค่รอบแรกเท่านั้น ก็ได้มีผู้คนตกรอบไปกว่าครึ่งแล้ว บนแท่นบัวเพลิงอัคคีร้อยแท่นในเวลานี้ หนุ่มสาวบางคนยืนอยู่อย่างภาคภูมิใจ บางคนก็ได้นั่งขัดสมาธิลง สายตาแต่ละคู่ต่างมองไปที่เจ้ายุทธจักรอัคคีผู้ที่ดำเนินการงานประลองยุทธ์ในครั้งนี้
เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวยิ้มเบา ๆ เขายกมือขึ้นอย่างช้า ๆ และสร้างพลังตราประทับขึ้นมา
เพียงชั่วพริบตา อัจฉริยะรุ่นใหม่ร้อยคนที่อยู่บนแท่นบัวเพลิงอัคคี ก็รู้สึกว่าพลังฟ้าดินจิตที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ได้เข้มข้นขึ้นมาหลายเท่าในทันที ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ สามารถฟื้นฟูพลังจิตแท้ที่สูญเสียไปได้อย่างรวดเร็ว
“คนผู้นี้เองหรือคือหลัวซิว?” บนแท่นบัวเพลิงอัคคีแห่งหนึ่ง บุรุษหนุ่มในชุดสีเลือดจ้องมองหลัวซิวด้วยสีหน้าบึ้งตึง
บุรุษหนุ่มในชุดสีเลือดผู้นี้มีนามว่าลี่ซู่เป็นพี่ชายของลี่หยวนที่ถูกหลัวซิวทำร้านจนได้รับบาดเจ็บในภัตตาคารเทียนอี
ในตอนที่ลี่ซู่มองมาที่หลัวซิวนั่นเอง หลัวซิวก็สัมผัสได้ เขาพลันหันหน้าขวับ และสบตาเข้ากับสายตาของลี่ซู่พอดี
พบว่าอีกฝ่ายสวมเครื่องแต่งกายของแดนศักดิ์สิทธิ์จันทราสีเลือด หลัวซิวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
แต่การหันหน้าอย่างกะทันหันของเขา ก็ได้ทำให้ลี่ซู่ตะลึงเล็กน้อย “คนผู้นี้สามารถเอาชนะลี่หยวนน้องชายของข้าได้ กระแสสัมผัสว่องไวไม่เบา สัมผัสได้แม้กระทั่งว่าสายตาของข้าตกอยู่บนร่างกายของมัน”
“พวกเจ้าทั้งหนึ่งร้อยคน ให้แบ่งเป็นสิบกลุ่ม กลุ่มละสิบคน แบ่งไปประลองกันบนเวทีประลองยุทธ์ที่อยู่ด้านล่างทั้งสิบเวทีตามลำดับ”
เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวเอ่ยปากกล่าวอย่างช้า ๆ ยกมือขึ้นโบกสะบัด แท่นบัวเพลิงอัคคีที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของทุกคนก็ได้เริ่มเคลื่อนที่ บนแต่ละเวทีประลองยุทธ์ มีแท่นบัวเพลิงอัคคีลอยอยู่สิบแท่น รวมเป็นหนึ่งกลุ่ม
จากตะวันตกไปตะวันออก เรียงตามลำดับจากหนึ่งถึงสิบ หลัวซิวอยู่ในกลุ่มที่สาม
ทุกคนต่างพิจารณาดูคู่แข่งทั้งเก้าคนของตนเอง รายชื่อผู้ผ่านเข้ารอบของแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างมีเพียงยี่สิบคนเท่านั้น แบบนี้ก็หมายความว่า สองอันดับแรกของแต่ละกลุ่ม ถึงจะมีความหวังเข้าฝึกตนในแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่าง
ทันใดนั้นเอง เสียงดังสนั่นเหมือนดั่งฟ้าผ่าได้ดังลอยมาจากท้องฟ้าสูงที่อยู่ห่างไกลออกไป รถม้าปีกฟ้าที่เปล่งประกายดั่งสายฟ้าคันหนึ่งก็ได้ลอยมาในอากาศ ที่ลากรถม้านั้นคืออสูรอัสนีสามตัว แผ่ซ่านรัศมีอันแข็งแกร่งที่ดูหมิ่นใต้หล้าออกมา
“ช่างเป็นกระแสพลังที่น่ากลัวยิ่งนัก แค่อสูรอัสนีทั้งสามตัวที่ลากรถม้า เกรงว่าคงเทียบได้กับผู้แข็งแกร่งระดับมหายุทธ์อสูรยักษ์ระดับห้าแล้ว!”
“เป็นบุคคลใหญ่โตของเขาว่านเหลยมาแล้ว!”
“ว่ากันว่าเขาว่านเหลยเป็นหนึ่งในแดนศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรตะวันตก มีผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ประจำการอยู่หลายท่าน”
ผู้คนจำนวนมากที่ทราบที่มาที่ไปของอสูรอัสนีและรถม้าปีกฟ้าคนนี้ และต่างใช้ตัวสำนึกสื่อสารกันเป็นการส่วนตัว วิพากษ์วิจารณ์กันไปมา
“เขาว่านเหลย?” หลัวซิวได้ยินสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก
รถม้าปีกฟ้าอสูรอัสนีไม่ได้ลงจอด แต่ได้จอดอยู่ในกลางอากาศที่ห่างไกลออกไป
จากนั้น แดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ จากสี่อาณาจักรใหญ่ ต่างก็ได้มีผู้แข็งแกร่งมาด้วยตนเอง เพื่อชมการประลองยุทธ์ในครั้งนี้
พวกบุคคลใหญ่โตที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่แรก ในตอนนี้การประลองยุทธ์กำลังจะเริ่มขึ้น พวกเขาถึงได้ปรากฏตัว
สำหรับพวกผู้แข็งแกร่งจากที่ต่าง ๆ ที่มาชมการประลองยุทธ์เหล่านี้ สี่เจ้ายุทธจักรที่มีเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวเป็นผู้นำก็ไม่ได้มีการแสดงออกใด ๆ จากนั้นเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็ได้ยกมือขึ้นโบกสะบัด “การประลองยุทธ์เริ่มขึ้น ณ บัดนี้!”
เวทีประลองยุทธ์สิบเวที แต่ละเวทีมีผู้แข่งขันสิบคน กฎในการแข่งขันนั้นก็ง่ายมาก ทุกคนต่างสามารถเสนอตัวเป็นผู้รับคำท้า เพื่อรับคำท้าประลองจากคนอื่น ๆ สุดท้ายผู้ท้าประลองเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่บนเวที ก็จะสามารถเข้าสู่รอบที่สองได้